19 ส.ค. เวลา 07:03 • ความคิดเห็น

#หมูกระทะแรกของปี 2567

(พอดีร้านนี้มีเตาย่างซีฟู้ดด้วย) แถมยังใจป้ำให้กินได้ไม่จำกัดเวลา
ผมเชื่อว่าถ้าใครมีครอบครัวที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หรืออย่างน้อยๆ ได้ปรับความเข้าใจในเรื่องที่เคยขุ่นหมองข้องใจกันมานานจนดีขึ้นมากแล้ว - - “ครอบครัว” คือหน่วยย่อยระดับปฐมภูมิที่เล็กที่สุดของสังคม แต่กลับเป็นพื้นที่ที่ทรงพลังมากที่สุด
ตั้งแต่ผมเลยหลักสี่เข้าสู่โค้งที่ห้าเรียบร้อยแล้ว ไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปกินบุฟเฟ่ต์อะไรพวกนี้สักเท่าไหร่ หนึ่ง...คือไม่ว้อนท์ สอง...คือชอบทำกับข้าวกินเองที่บ้านมากกว่า เพราะทั้งประหยัดและได้กินอย่างที่เราต้องการ (ถึงผมจะเริ่มทำกับข้าวกินเองมานานหลายปีแล้ว หลังจากแต่ก่อนซื้อเค้ากินเป็นหลัก แต่...ฝีมือทำครัวของผมยังอยู่ในขั้นฝึกหัดนะครับ เพิ่งสำเหนียกได้เองก็ตอนนี้ว่า...การทำอาหาร มันเป็นศาสตร์ดีๆ นี่เอง ไม่ใช่สำคัญแค่เรื่องวัตถุดิบ แต่ยังต้องเล่นกับ ไฟ จังหวะ และกะระยะเวลาให้เป็นด้วย)
เมื่อวาน (18 ส.ค. 2567) เป็น #วันสารทจีน คือเทศกาลไหว้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ รวมถึงไหว้เทพเจ้าช่วงกลางปีของชาวไทยเชื้อสายจีน ปีนี้ทุกๆ อย่างแม่ผม (อาม่าของหลานๆ) ยังคงเป็นคนจัดการเหมือนเดิม แต่...ตัวผมเองรู้สึกว่าหากเป็นรุ่นผม คงไม่มีใครมาตั้งถาดไหว้อะไรกันแบบนี้อีกแล้ว แต่การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับน่าจะยังคงอยู่ แต่อาจกลายเป็นเลือกวันที่สะดวกซะมากกว่าการรอวันเทศกาล
หลังไหว้ที่บ้านเสร็จ ก็ไปทำบุญถวายสังฆทานก่อนพระฉันเพลที่วัดต่อ กรวดน้ำอุทิศให้เตี่ย ถือเป็นอันเสร็จพิธี ช่วงเย็นๆ พี่ชายชวนไปกินหมูกระทะ (จองล่วงหน้าไว้แล้ว) นัดไปเจอกันที่ร้านตามสัญญา เราเป็นครอบครัวไม่ใหญ่มาก นับกันราวๆ 9 คน (พี่น้อง 3 คน/เขย/สะใภ้ รวมหลานๆ) ถึงผมจะเคยมีปัญหากับที่บ้าน จนปริแตกออกมาเป็นผลงานภาพวาดชุดสุดหดหู่ (ผมเรียกผลงานช่วงนี้เล่นๆ ว่าช่วง Dark Age) เคยนำไปร่วมแสดงในนิทรรศการศิลปะ “สานเกลียวศิลป์” เมื่อปี พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001)
แต่ ณ วันนั้น...ผมเองก็มีปัญหาด้วยเข้าทำนอง “ติสต์แตก” ประกอบกับในครอบครัวเอง ยังไม่เข้าใจปัญหาไปจนถึงแก่นราก ส่วนตัวผมเองก็มองภาพอาชีพในอนาคตตัวเองไม่ชัด เพราะอคติด้วยหนึ่ง สองคือขาดทั้งความรู้ในเชิงลึกและวิสัยทัศน์ มองกันแต่...ปัญหาเฉพาะหน้า การทะเลาะเบาะแว้งอย่างหนักจึงเกิด และนำมาซึ่งภาวะ “จิตตกอย่างรุนแรง” ของผมซึ่งกินเวลายาวนานกว่า 10 ปี (ทุกวันนี้ก็ยังไม่หายขาด)
แต่...เมื่อเราแก่ตัวลงและผ่านประสบการณ์ชีวิตมากขึ้นๆ ทำให้ความเข้าใจโลกตามความเป็นจริงทวีขึ้นตามไป ไม่เพ้อฝันเหมือนสมัยหนุ่มๆ ทุกวันนี้...ไม่คิดโทษใครอีก แต่...สิ่งสำคัญที่ได้กลับมาคือ ความรู้สึกรักและผูกพันกับคนในครอบครัวมากขึ้นกว่าเดิม
การกินบุฟเฟ่ต์จนพุงแตกเมื่อคืน (ไม่ดีเลยนะครับ ขอเตือนสำหรับคนมีอายุแล้ว ว่าอย่า “งก” จนตบะแตก (ฮา) ไม่ได้สำคัญเท่ากับ นานๆ ครั้ง พี่น้องที่แยกกันอยู่คนละที่ จะได้โคจรมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว อาหารตรงหน้า...จึงเป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น
จิด.ตระ.ธานี : #เล่าสู่กันฟังนะครับ
#Jitdrathanee

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา