29 ส.ค. เวลา 10:41 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 154

ศึกต้าหมิงฝู่ (2) ล้อมเว่ยช่วยเจ้า
เหลียงจ้งซูประชุมหารือแผนรับศึก หลี่เฉิงว่า
“ทัพโจรประชิดเมืองเป็นเรื่องเร่งด่วน ชักช้าอาจสูญเสีย นายท่านควรรีบทำหนังสือให้คนสนิทรีบถือไปรายงานท่านราชครูไฉ้ที่เมืองหลวง ให้เพ็ดทูลราชสำนัก ให้จัดทัพมาช่วย นี่เป็นอุบายลำดับหนึ่ง ลำดับสองให้ทำหนังสือด่วนแจ้งแก่หัวเมืองใกล้เคียงให้ส่งทหารมาช่วย ลำดับสาม ให้ออกประกาศในเมืองเป่ยจิง เชิญชวนชาวเมืองต้าหมิงอาสาขึ้นรักษากำแพงเมือง ตระเตรียมหินก้อนท่อนไม้ ขวดผงฝุ่น เคี่ยวเหล็กหลอม ใช้หน้าไม้และธนู เฝ้าระวังทั้งวันคืน เช่นนี้จึงปลอดภัย”
เหลียงจ้งซูว่า “หนังสือเมื่อเขียนแล้ว จะให้ใครไปส่ง”
ในวันนั้น จึงสั่งการให้ขุนพลหวางติ้ง 王定 และทหารจำนวนหนึ่งฝ่าวงล้อมนำสาส์นไปส่งยังเมืองหลวงและหัวเมืองใกล้เคียง และให้หวางไท่โส่ว 王太守 เกณฑ์อาสาสมัครขึ้นรักษากำแพงเมือง
ทางฝ่ายซ่งเจียงให้ทัพตั้งล้อมเมืองไว้สามด้าน ทางเหนือ ตะวันออกและตะวันตก เปิดเอาไว้แต่ทางใต้ ให้ทหารยกเข้าตีเมืองวันละด้านสลับกัน ให้เร่งเสบียงจากค่ายใหญ่บนเขา เตรียมล้อมเมืองทำศึกระยะยาว เพื่อเข้าเมืองช่วยหลูจวิ้นอี้และสือสิ้ว ฝ่ายหลี่เฉิง เหวินต๋าก็ยกทัพออกมารับศึกอยู่หลายวันแต่ไม่อาจเอาชัย ด้านสว่อเชาพักรักษาแผลธนูยังไม่หาย
หวางติ้งกับทหารม้าอีกสองนายมาถึงเมืองหลวงนำหนังสือของเหลียงจ้งซูมอบให้ราชครูไฉ้จิง 蔡京 และเล่าเรื่องราวของหลูจวิ้นอี้ การศึกที่ด่านบ้านหวี่ ลาดต้นไหวย และหุบเสือบินให้ฟังโดยละเอียด ราชครูได้ฟังก็ตกใจบอกให้หวางติ้งไปพักยังที่รับรอง แล้วขอหารือกับซูมี่ย่วน 枢密院 (สภากลาโหม) ถงก้วน 童贯 แห่งซูมี่ย่วนนำไท่เว่ยสามนายมาร่วมหารือ
ไฉ้จิงเล่าเรื่องภัยเร่งด่วนที่มาติดเมืองต้าหมิงให้ฟัง “บัดนี้จะมีแผนใด หรือมีขุนพลฝีมือดีท่านใดที่จะให้ขับไล่ทัพโจรให้พ้นเมือง” เหล่าผู้เข้าประชุมต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าตระหนก
มีขุนพลในบัญชาของไท่เว่ยพลเดินเท้า 步军太尉 ก้าวออกมาเสนอความเห็น ขุนพลผู้นี้แซ่เซวียน 宣 ชื่อจ้าน 赞 ใบหน้าเหมือนก้นหม้อ รูจมูกรั้นขึ้นฟ้า ผมหยิกเคราแดง สูงแปดฉื่อ ใช้ดาบเหล็กกล้าเป็นอาวุธ ฝีมือเข้มแข็ง เคยเป็นจวิ้นหม่า 郡马 เขยเจ้าในจวนอ๋องท่านหนึ่ง จึงมีฉายาว่า เขยเจ้าอัปลักษณ์ 丑郡马 เนื่องจากยิงธนูร้อยมุกได้ต่อเนื่อง 连珠箭 เอาชนะขุนศึกต่างด้าวได้ จวิ้นอ๋อง 郡王 ท่านนั้นชมชอบในฝีมือ จึงให้เป็นเขย ทว่า 郡主 บุตรสาวที่ยกให้เป็นภรรยา เห็นสามีอัปลักษณ์จึงตรอมใจตาย เซวียนจ้านจึงไม่ได้เลื่อนสู่ตำแหน่งสำคัญอันใด
(จวิ้นหม่า 郡马 ไม่ใช่ชื่อเรียกตำแหน่งอันแท้จริง เป็นคำเรียกของชาวบ้าน โดยล้อคำมาจากตำแหน่ง ฟู่หม่า 驸马 ราชบุตรเขยของฮ่องเต้ มาเรียกเขยของบรรดาท่านอ๋องว่า จวิ้นหม่า 郡马)
เซวียนจ้านว่า “ข้าน้อยรู้จักคนผู้หนึ่งที่บ้านเดิม เป็นเชื้อสายท่านอู่อันอ๋อง 武安王 ยุคแผ่นดินแตกเป็นสามสมัยปลายราชวงศ์ฮั่น แซ่กวน 关 ชือเสิ้ง 胜 เกิดมาละม้ายท่านหยุนฉาง 云长 เป็นอย่างยิ่ง ใช้ง้าวมังกรเขียวเป็นอาวุธ มีฉายาว่า ง้าวใหญ่กวนเสิ้ง 大刀关胜 ปัจจุบันเป็นผู้ตรวจการ 巡检 อยู่ที่ผู่ตง 蒲东 ถูกกดไว้ให้เป็นเพียงข้าราชการชั้นผู้น้อย คนผู้นี้ศึกษาพิชัยสงครามมาแต่ยังเยาว์ ฝีมือรบเข้มแข็ง กล้าหาญต้านศึกได้นับหมื่น หากเชิญมาเป็นแม่ทัพ อาจสามารถกวาดล้างโจรชายน้ำ ปกป้องบ้านเมืองและราษฎร ขอโปรดมีบัญชา”
ไฉ้จิงชอบใจยิ่งนัก ให้เซวียนจ้านเป็นผู้ถือสาส์นไปยังผู่ตงเชิญกวนเสิ้งมาร่วมหารือการศึกที่เมืองหลวง
เซวียนจ้านนำผู้ติดตามมาห้าคนเชิญสาส์นมาผู่ตง ตรงมายังสำนักผู้ตรวจการ ในวันนั้นกวนเสิ้งกำลังถกเรื่องความรุ่งเรืองและล่มสลายแต่โบราณจนถึงปัจจุบันอยู่กับ เห่าซือเหวิน 郝思文 พอรู้ว่ามีผู้เชิญสาส์นมาจากตงจิง กวนเสิ้งกับเห่าซือเหวินก็รีบออกมาต้อนรับ คารวะกันตามธรรมเนียมแล้วเชิญเข้ามาในห้องโถง
กวนเสิ้งเป็นคนบ้านเดียวกันกับเซวียนจ้านจึงทักทายว่า “คนบ้านเดียวกันไม่ได้พบกันนาน วันนี้มีเรื่องอันใด จึงเดินทางไกลมาด้วยตัวเองถึงที่นี่”
เซวียนจ้านตอบว่า “ก็เพราะว่ามีพวกโจรเขาเหลียงซานยกทัพมาตีเมืองเป่ยจิง ผู้แซ่เซวียนจึงเสนอชื่อท่านต่อท่านราชครูว่าท่านเป็นผู้มีความสามารถรบทัพจับศึกปกปัองบ้านเมือง ท่านราชครูจึงมีบัญชาให้นำเงินทองและอานม้ามากำนัลและขอเชิญพี่ท่านไปเมืองหลวง พี่ท่านก็เตรียมตัวเดินทางเถิด อย่ามัวรีรออยู่เลย”
กวนเสิ้งชอบใจยิ่งนัก แล้วจึงกล่าวแนะนำคนแก่เซวียนจ้านว่า
“น้องชายผู้นี้แซ่เห่า 郝 ชื่อซือเหวิน 思文 เป็นน้องชายร่วมสาบานของข้า เมื่อจะเกิดมารดาฝันเห็นดาวจิ่งมู่อั้น 井木犴 เข้ามาอยู่ในครรภ์ คนจึงเรียกเป็นฉายาว่า จิ่งมู่อั้น น้องชายผู้นี้เชี่ยวชาญอาวุธทั้งสิบแปดชนิด เมื่อท่านราชครูเรียกใช้ ก็ไปทำศึกเสียด้วยกัน”
เซวียนจ้านก็ชอบใจยอมรับ แล้วเร่งให้เตรียมตัวเดินทาง
กวนเสิ้งกลับไปสั่งเสียภรรยาทางบ้าน แล้วก็พาเห่าซือเหวิน และคนสนิทชาวกวนซีอีกสิบกว่าคนติดตามเซวียนจ้านมายังเมืองหลวง ตรงไปยังจวนท่านราชครูไฉ้จิง
ไฉ้จิงเห็นลักษณะของกวนเสิ้ง ร่างสูงแปดฉื่อครึ่ง ไว้เครายาวดังใบหลิ่วสามแหยม นัยน์ตาดังหงส์ คิ้วยาวจรดขมับ สีหน้าดังผลพุทราสุก ปากแดงดังแต้มชาด ชอบใจยิ่งนัก ถามว่า “ปีนี้ท่านขุนพลอายุเท่าไร”
กวนเสิ้งว่า “ข้าน้อยสามสิบสอง”
ไฉ้จิงว่า “โจรไพร่เขาเหลียงซานล้อมเมืองเป่ยจิง ขอถามท่านขุนพลว่ามีแผนการใด แก้วงล้อมเมือง”
กวนเสิ้งว่า “ฟังมานานว่าโจรไพร่อาศัยอยู่หนองน้ำ สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้คน วันนี้บังอาจทิ้งรัง นับว่าหาเคราะห์ใส่ตัว หากจะช่วยเป่ยจิง ต้องใช้ทหารฝึกฝนมาดีหลายหมื่นสิ้นเปลืองกำลังพล ควรเข้าตีเหลียงซานก่อนแล้วค่อยย้อนมาจับโจร ให้พวกมันห่วงหน้าพะวงหลัง”
ไฉ้จิงได้ฟังชอบอกชอบใจ หันมากล่าวกับเซวียนจ้านว่า “นี่เรียกแผนล้อมเว่ยช่วยเจ้า 围魏救赵 ถูกใจข้านัก”
ไฉ้จิงจึงให้ซูมี่ย่วน 枢密院 เกณฑ์พลรบฝีมือเข้มแข็งจากซานตง เหอเป่ยรวมหนึ่งหมื่นห้าพันคน ให้เห่าซือเหวินเป็นแม่ทัพหน้า เซวียนจ้านเป็นแม่ทัพหลัง กวนเสิ้งเป็นแม่ทัพหลวง ไท่เว่ยพลเดินเท้า 步军太尉 ดูแลงานส่งเสบียง กำหนดวันยกทัพโจมตีเขาเหลียงซาน
ทางด้านซ่งเจียงตั้งล้อมเมืองเป่ยจิงอยู่ ให้ทหารเข้าตีเมืองทุกวันแต่ไม่เป็นผล ทางฝ่ายเหวินต๋า หลี่เฉิงก็ไม่ยกออกรบแล้ว แต่ซ่งเจียงตั้งล้อมอยู่นานไม่เห็นมีทัพยกมาช่วยก็เริ่มแปลกใจ เย็นวันหนึ่งซ่งเจียงจุดตะเกียงนั่งศึกษาหนังสือฟ้าอยู่ในค่าย ทหารแจ้งว่าท่านเสนาธิการขอเข้าพบ
อู๋ย่งว่า “พวกเราตั้งล้อมมาแล้วหลายวัน เหตุใดไม่มีทัพยกมาช่วย ในเมืองก็ไม่ยกออกมารบ ทั้งที่เห็นทหารสามนายควบม้าฝ่าวงล้อมออกไป ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้ส่งสาส์นขอความช่วยเหลือ ราชครูไฉ้เป็นพ่อตาของเจ้าเมือง ควรหาแม่ทัพที่มีฝีมือในเมืองหลวงได้ ชรอยจะเป็นแผนล้อมเว่ยช่วยเจ้า ไม่มาแก้ล้อมเมือง แต่ยกไปตีค่ายเหลียงซานเรา พี่ท่านมิควรวางใจ ให้ทหารของเราเตรียมพร้อมไว้ อาจจำเป็นต้องถอยทัพ”
ระหว่างหารือกันอยู่นั้น จอมเวทเทพเดินหนไต้จงมาถึงเข้ามารายงานว่า “ราชครูไฉ้แห่งตงจิงเรียนเชิญผู้สืบสกุลพระโพธิสัตว์กวน 关菩萨 ง้าวใหญ่กวนเสิ้งมาจากผู่ตง ให้เป็นแม่ทัพนำกำลังบุกมาโจมตีเหลียงซานป๋อ เหล่าหัวหน้าที่อยู่ที่ค่ายอาจรับมือไม่ได้ ขอให้พี่ท่านและท่านเสธ.ถอยทัพกลับไปแก้วิกฤตที่ค่ายใหญ่ก่อน”
อู๋ย่งว่า “ถึงจะต้องถอย ก็รีบร้อนนักไม่ได้ คืนวันนี้ให้ทัพพลเดินเท้าถอยกลับไปก่อน เหลือทัพม้าไว้สองทัพ ซุ่มไว้สองฟากตำบลหุบเสือบิน ในเมืองรู้ว่าพวกเราถอยทัพจะต้องตามตี หากไม่ทำเช่นนี้ เราจะถูกตีแตกยับเยิน”
ซ่งเจียงว่า “ท่านเสธ.กล่าวได้ถูกต้อง”
ซ่งเจียงจึงให้หลีกว่างน้อยฮวาหยงนำทหารห้าร้อยซุ่มไว้ฝั่งซ้ายของตำบลหุบเสือบิน ให้หัวเสือดาวหลินชงนำทหารห้าร้อยซุ่มไว้ฝั่งขวา ให้กระบองคู่ฮูหยันจว๋อนำพลสองร้อยห้าสิบ พาหลิงเจิ้นและหน่วยปืนไฟไปซุ่มห่างจากเมืองสิบกว่าลี้ หากเห็นทัพในเมืองยกมาตามตี ให้ยิงปืนอาณัติสัญญาณ เพื่อให้ทหารที่ซุ่มอยู่ทั้งสองทัพยกออกตีกระหนาบ
ทัพพลเดินเท้าที่ถอยให้เก็บธงทิว ไม่รัวฆ้องกลอง ถอยทัพเงียบเงียบ เจอทัพศัตรูไม่เข้าสู้รบ ทัพพลเดินเท้าให้เริ่มออกเดินทางกลางดึก ทยอยถอยกันตามลำดับให้เป็นระเบียบ กว่าจะถอยครบทั้งหมดก็ล่วงเข้ายามสื้อ 巳牌 (10:00 น.) วันรุ่งขึ้น
ในเมืองเห็นทหารของซ่งเจียงเก็บธงและอาวุธและรื้อถอนค่าย ดูเหมือนจะกลับเขา สังเกตจนมั่นใจแล้วจึงรายงานแก่เหลียงจ้งซูว่า “ทหารในค่ายของซ่งเจียง บัดนี้เลิกค่ายกลับกันไปหมดแล้ว”
เหลียงจ้งซูจึงเรียกหลี่เฉิง เหวินต๋ามาปรึกษา
เหวินต๋าว่า “คาดว่าท่านราชครูให้ทัพที่ยกมาช่วยเข้าโจมตีค่ายเขาเหลียงซาน เจ้าพวกนี้กลัวค่ายแตกจึงรีบหนีกลับไป ควรจะฉวยโอกาสนี้ตามตี อาจจะจับซ่งเจียงได้”
หารือกันไม่ทันแล้ว มีม้าเร็วนำสาส์นมาจากเมืองหลวงนัดหมายให้เตรียมทัพยกไปยึดรังโจร หากแม้ถอยทัพ ให้ตามตีได้ เหลียงจ้งซูจึงให้หลี่เฉิง เหวินต๋านำทัพออกทางประตูตะวันตก และตะวันออก สองทัพออกตามตีทัพซ่งเจียง
ซ่งเจียงนำทัพล่าถอย เห็นในเมืองส่งทัพมาตามตี จึงเร่งหนีให้ถึงตำบลหุบเสือบินที่นัดหมายทัพซุ่มไว้
เสียงปืนใหญ่ดังขึ้นด้านหลัง หลี่เฉิง เหวินต๋าที่กวดตามมาชะงักตกใจ เหลียวดูเห็นด้านหลังมีธงโบกสะบัด เสียงกลองรบดังขึ้น จึงรีบกลับหลังหนี ทางด้านซ้ายหลีกว่างน้อยฮวาหยง ทางด้านขวาหัวเสือดาวหลินชงนำทหารคนละห้าร้อยตีกระหนาบเข้ามา หลี่เฉิง เหวินต๋ารู้ตัวว่าต้องกลศึกเสียแล้ว รีบหนีกลับเมืองโดยไว เบื้องหน้ากระบองคู่ฮูหยันจว๋อนำทัพมาสะกัดไว้อีก จึงกลับเป็นฝ่ายถูกล้อมตีหนีตายกันจ้าละหวั่นทิ้งชุดเกราะกันคาสนามรบ พอหนีเข้าเมืองได้ก็รีบปิดประตูเมืองแน่นหนาไม่ยอมออกรบ
ซ่งเจียงจึงถอยทัพอย่างเป็นระบียบจนใกล้จะถึงเขาเหลียงซาน พบทัพของเขยเจ้าอัปลักษณ์เซวียนจ้านตั้งสะกัดไว้ ซ่งเจียงจึงให้ทหารตั้งค่ายยันกันไว้ แล้วให้คนลักลอบข้ามหนองขึ้นเขาไปส่งข่าว และนัดแนะประสานงานกัน
กล่าวถึงค่ายน้ำของเหลียงซาน คนเรือจางเหิงคุยกับน้องชายขาวคะนองคลื่นจางซุ่น
“พวกเราสองคนพี่น้อง นับแต่มาอยู่ค่ายก็ยังไม่มีโอกาสสร้างผลงาน ฟังแต่คนอื่นคุยโตโอ้อวด ข่มกันมาตลอด ตอนนี้ง้าวใหญ่กวนเสิ้งจากผู่ตงยกทัพมาตีค่ายเรา เจ้ากับข้าชิงตีค่ายก่อนจับตัวกวนเสิ้ง สร้างผลงานใหญ่ จะได้มีเรื่องอวดกับเขาบ้าง”
จางซุ่นว่า “พี่ท่าน ท่านกับข้ามีแต่กำลังทหารน้ำ หากไม่มีกำลังอื่นมาหนุน จะกลายเป็นตัวตลกให้คนหัวเราะเยาะเสียมากกว่า”
จางเหิงว่า “เจ้าพูดเช่นนี้ แล้ววันไหนจะได้โอกาสสร้างผลงาน เจ้าไม่ไปก็แล้วแต่ คืนนี้ข้าไปของข้าเอง”
จางซุ่นจะห้ามอย่างไร จางเหิงก็ไม่ยอมฟัง คืนนั้นจึงเตรียมเรือเล็กห้าสิบกว่าลำ แต่ละลำมีทหารห้าคน ไม่มีเกราะหนัก ใช้ทวนไม้ไผ่เป็นอาวุธ คาดมีดใบไผ่น้ำ เวลายามสอง อาศัยแสงจันทร์สลัว แอบนำเรือเทียบฝั่งเงียบเงียบ
กวนเสิ้งอ่านหนังสือใต้แสงตะเกียงอยู่ในกระโจม ทหารมารายงานว่า “มีเรือเล็กราวห้าสิบลำแล่นมาในพงอ้อ ทหารทั้งหมดใช้ทวนยาว ขี้นมาซุ่มอยู่ในพงอ้อ ยังไม่ทราบเจตนา จึงเรียนมาเพื่อทราบ”
กวนเสิ้งได้ฟังก็ยิ้มเยือกเย็น เรียกทหารมาสั่งการไป
จางเหิงนำทหารสองร้อยกว่าสามร้อยคน ลัดเลาะมาในพงอ้อปกปิดความเคลื่อนไหว มาถึงริมค่าย เข้าถอนขวากเขากวาง แล้วกรูเข้าค่าย เห็นแสงตะเกียงในกระโจมสว่างไสว กวนเสิ้งเอามือลูบเครานั่งอ่านหนังสืออยู่ จางเหิงแอบดีใจ ถือทวนยาวบุกเข้ามาในกระโจม
รอบข้างมีเสียงม้าล่อ และเสียงโห่ร้องดังปานฟ้าถล่ม ทหารที่ซุ่มอยู่รอบด้านกรูกันออกมา จางเหิงกลับลำหนี  แต่ไม่ทันเสียแล้ว แม้จะเชี่ยวชาญทางน้ำ แต่มาติดร่างแหบนดอน ทหารที่พามาทั้งสองร้อยกว่าคนถูกจับมัด หนีไม่รอดแม้แต่คนเดียว จางเหิงถูกนำตัวมาหน้ากวนเสิ้ง
กวนเสิ้งหัวเราะไปด่าไป “โจรไพร่ไร้สัมมาคารวะ กล้ามาลบหลู่ข้า” แล้วสั่งให้จับใส่รถนักโทษ ทหารที่ถูกจับ ให้ต่อกรงขังไว้ รอจับซ่งเจียงแล้วส่งเข้าเมืองหลวงพร้อมกัน
ตอนก่อนหน้า : รบกลางแปลง
ตอนถัดไป : สยบง้าวใหญ่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา