9 ก.ย. เวลา 02:19 • ท่องเที่ยว

"ผี" ที่เซนต์อัลบันส์ (3) วิญญาณพยาบาทในผับ

ผู้เขียนได้เล่าเรื่องวิญญาณในเมืองเซนต์อัลบันส์ (St.Albans) ประเทศอังกฤษมา 2 ตอนแล้ว แต่เรื่องผีของเมืองโบราณนี้ ยังไม่จบ ในตอนนี้ เราจะมาพูดถึงบรรดาสถานบันเทิง ซึ่งสถานบันเทิงที่ขึ้นชื่อของอังกฤษก็หนีไม่พ้น “ผับ” ว่าแล้ว ก็ขอพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวผับที่โด่งดัง ได้รับการแนะนำจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวหลากหลายแห่งว่า หากมีโอกาส จะต้องแวะมาดื่มที่นี่ให้ได้สักครั้ง นั่นคือ ผับที่มีนามว่า เดอะ บูท (The Boot) ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนมาร์เก็ตเพลส (Market Place) อันเป็นใจกลางเมืองเซนต์อัลบันส์
ก่อนอื่นต้องขอเล่าก่อนว่า ไม่ห่างจากถนนมาร์เก็ตเพลสนั้น มีถนนที่เกือบขนานกัน คือเฟรนช์ โรว์ (French Row) ซึ่งจุดที่ถัดออกไปจากเฟรนช์ โรว์นั้น มีอาคารเก่าแก่แห่งหนึ่ง ที่สร้างคร่อมทางเดินสาธารณะไว้ เกิดเป็นตรอกแคบๆ ตรอกนี้สร้างด้วยลักษณะแบบทิวดอร์ คือ เป็นพื้นสีขาว และมีริ้วไม้สีดำ พื้นปูด้วยหินแบบสมัยเก่า ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ตรอกแห่งนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ในช่วงประมาณราวคริสตศตวรรษที่ 18 นั้น เป็นที่ขึ้นชื่อว่า เหล่าโสเภณีจะมายืนเตร่ๆ สูบบุหรี่รอลูกค้าอยู่ที่นี่
ย้อนไปที่เดอะบูท
อาคารสูง ๓ ชั้นที่มีลักษณะหน้าจั่วแหลม ทาสีขาวแบบคลาสสิคนี้ สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1420 หรือเมื่อ 604 ปีมาแล้ว ในช่วงแรก มันถูกออกแบบมาให้เป็นบ้าน 2 หลังติดกัน โดยมีหลังหนึ่งเปิดเป็นผับ ให้บริการนักดื่ม
ผับเดอะบูท ที่เปิดให้บริการมากว่า ๖ ศตวรรษแล้ว และเชื่อกันว่า วิญญาณพยาบาทของโสเภณีที่ถูกสังหารโหดที่นี่ ยังวนเวียนไม่ไปไหน
แต่ต่อมาในช่วงคริสตศตวรรษที่ 17 ก็ถูกซื้อไปโดยเจ้าของเดียว ซึ่งได้เชื่อมอาคารทั้งสองหลังเข้าด้วยกัน และปรับปรุงอาคาร ให้เป็นทั้งผับ และโรงเตี๊ยมในปี ค.ศ.1719 แต่ก็เป็นโรงแรมที่มีขนาดเล็กมาก คือ สามารถรับแขกได้เพียงครั้งละ 4 คนเท่านั้น และผู้ที่มาเข้าพักส่วนใหญ่เป็นทหารที่ผลัดเปลี่ยนมาประจำการที่เมืองเซนต์อัลบันส์
ทีนี้ ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะเริ่ม "จับทาง" เดาเรื่องออกได้บ้างแล้วว่า เมื่อมีทหารที่ต้องมาประจำการห่างบ้านห่างเมือง และพักในโรงแรมเล็กๆ ที่ถัดออกไปเพียงเดินประมาณ 1-2 นาที ก็จะเจอตรอกที่เป็น "ที่รอแขก" ของหญิงโสเภณี แล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนั้น
ตรอกเล็กๆ ที่อยู่ไม่ห่างจากเดอะบูท เป็นสถานที่โสเภณีจะมายืนรอลูกค้าในช่วงคริสตศตวรรษที่ 18
ใช่ค่ะ ทหารใจเปลี่ยวนายหนึ่งได้ซื้อบริการหญิงสาว และ "หิ้ว" เธอขึ้นไปชั้นบนของโรงแรม แต่ไม่มีใครทราบว่า ในคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น จบจนรุ่งเช้า ทหารนายนั้นเดินสะโหลสะเหลลงมาจากข้างบน ตอนนั้นเองที่ทุกคนได้เห็นความผิดปกติ
เสื้อผ้าของนายทหารที่ควรจะเป็นสีเขียว มันกลับกลายเป็นสีแดงฉาน สีแดงของเลือดที่ท่วมตัวเขา เป็นเลือดของหญิงโสเภณีที่เขาพามาเมื่อคืน และถึงตอนนี้ เธอไม่มีชีวิตอีกแล้ว หลังจากที่คนในโรงแรมจับกุมนายทหารผู้สวมเสื้อเปื้อนเลือดไว้ได้ ก็ไปพบศพของหญิงสาวอยู่ที่ห้องพักชั้นบน
นายทหารอาจจะแทงเธอหลังจากการทะเลาะเบาะแว้ง หรือเกิดเหตุอื่นอันไม่มีใครคาดฝัน แต่ที่แน่ๆ ทหารนายนี้ถูกพิพากษาความผิด และส่งตัวไปรับโทษทัณฑ์ที่ฆ่าคนตาย ณ แทสเมเนีย (Tasmania) ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นแหล่งที่อังกฤษส่งนักโทษไปอยู่ในช่วง ค.ศ.1788-1868
เรื่องน่าจะจบลงตรงนี้ แต่ไม่เลย โสเภณีที่ถูกแทงอย่างทารุณจนเลือดท่วมไปทั้งห้องนั้นได้ชื่อว่า เต็มไปด้วยแรงพยาบาท เธอปรากฎกายออกมาในหลายโอกาส อาจจะเป็นไปได้ว่า เธอรอคอยที่จะหาโอกาสแก้แค้นคนที่สังหารเธออย่างทารุณ โดยที่เธอไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่า เขาไม่มีวันที่จะได้ข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมา
ทำให้เดอะบูทนั้น นอกจากจะขึ้นชื่อในฐานะผับเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงแล้ว ยังโด่งดังเรื่องมี "ผีสิง" ด้วย มีรายงานว่า จวบจนปัจจุบันนี้ โสเภณีผู้โชคร้ายยังตาม "หลอน" คนที่โชคร้ายอยู่ที่เดอะบูท ทำให้ผับแห่งนี้ เป็นอีกสถานที่หนึ่ง ที่เมื่อถึงช่วงฮาโลวีนทีไร เป็นต้องมีคนแห่มา “ลองของ” และบางคนก็ “เจอของ” สมใจ โดยเห็นเป็นร่างโปร่งแสงเลือนรางของสตรีโชกเลือดที่มีสีหน้าเคียดแค้น หรือบางทีก็มาในใบหน้าที่เศร้าหมอง
ที่น่าสงสารอีกประการหนึ่งคือ การเป็นโสเภณีที่มาเร่รอรับแขกในตรอกแคบๆ นั้น ทำให้ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า เธอเป็นใครมาจากไหน มีญาติ มีครอบครัวรออยู่หรือไม่ การตายอันโหดร้ายของเธอ “ปิด” ข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเธอไปโดยปริยาย แต่ไม่เคย “ปลดเปลื้อง” ความพยาบาทของเธอได้
ไม่เพียงเท่านั้น ในคราวหนึ่งที่มีการบูรณะเดอะบูท บรรดานายช่างที่เปิดกระเทาะกำแพงออก ได้พบดอกไม้แห้งจำนานหนึ่งซ่อนอยู่หลังกำแพง โดยไม่มีคำอธิบายใดๆ ว่าใครเป็นผู้นำดอกไม้มาแอบไว้ และทำไปเพื่ออะไร แต่ที่แน่ๆ หลังจากมีการนำดอกไม้แห้งออกมาแล้ว ก็เกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้นในเดอะบูทบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาไฟฟ้า ที่เดี๋ยวติด เดี๋ยวดับ ตู้เพลงที่ตั้งเอาไว้นั้น อยู่ๆ โดยไม่มีใครหยอดเหรียญ มันก็เล่นเพลงเอง
เช่นเดียวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ เช่น เครื่องปั่นน้ำผลไม้ ก็ปั่นเองขึ้นมาทั้งๆ ที่ไม่มีใครไปยุ่งเกี่ยว จึงอาจจะเป็นไปได้ว่า ดอกไม้ที่ถูกซ่อนเอาไว้หลังกำแพงนั้น เป็นเครื่องเซ่น หรือเป็นสิ่งที่แสดงคำขอโทษต่อใคร หรืออะไรบางอย่าง ดังนั้น เมื่อดอกไม้ที่ซ่อนไว้ถูกนำออกมาจากแหล่งที่ของมัน สิ่งที่เคยสงบเงียบก็สำแดงฤทธิเดช
เดอะบูท จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ ที่ดังเรื่องความ “เฮี้ยน”
เมื่อพูดถึงการบูรณะ ว่ากันว่า เดอะบูทถูกปรับเปลี่ยนไปบ้างหากนับจากการก่อสร้างแต่ดั้งเดิม ทว่าก็ไม่ค่อยจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก เพราะอาคารแห่งนี้ได้กลายเป็นอาคารที่ขึ้นทะเบียนอนุรักษ์ เช่นเดียวกับตู้โทรศัพท์สาธารณะสีแดงสดใส อันเคยเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของประเทศอังกฤษ แต่ในยุคปัจจุบัน ตู้โทรศัพท์กลายเป็นของล้าสมัย แต่ไม่ใช่ที่เดอะบูท เพราะเมื่อมีการขึ้นทะเบียนให้เดอะบูทเป็นอาคารอนุรักษ์ ตู้โทรศัพท์ข้างๆ อาคารก็ถูกขึ้นทะเบียนไปด้วย
อาคารเดอะบูท รวมถึงตู้โทรศัพท์สีแดงด้านข้าง ล้วนถูกขึ้นทะเบียนอนุรักษ์
ใครที่อยากสัมผัสบรรยากาศผับที่สนุกสนาน และยังได้เห็นอาคาร และตู้โทรศัพท์อนุรักษ์ ก็สามารถมาเยือนเดอะบูทได้
ผู้เขียนเคยเข้าไปนั่งรับประทานอาหารภายในเดอะบูท และในยามที่มีการแข่งกีฬาสำคัญ เช่น ฟุตบอล ผับแห่งนี้ก็จะเปิดการถ่ายทอดสดให้นักดื่มได้ชมกีฬาไปด้วยเป็นที่ครื้นเครง ทำให้บรรยากาศไม่ได้น่ากลัวอย่างที่มีเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับวิญญาณพยาบาท แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีรายงานว่า มีผู้พบเห็นหญิงสาวตัวเปื้อนเลือดในยามดึกดื่นอยู่เนืองๆ
จากถนนมาร์เก็ตเพลส อันเป็นที่ตั้งของเดอะบูท เมื่อเดินเลยไปอีกไม่ไกล จะเจอถนนที่เชื่อมต่อกัน คือ ถนนเซนต์ปีเตอร์ส (St Peter's St) ซึ่ง ณ บ้านเลขที่ 16 บนถนนนี้ มีผับที่เพิ่งจะเปิดให้บริการเมื่อปี ค.ศ.2023 ที่ผ่านมานี้เอง ชื่อ เดอะ เซนต์ แอนด์ ซินเนอร์ (The Saint & Sinner Pub) หรือผับนักบุญและคนบาป
ตอนที่ผับแห่งนี้เพิ่งเปิด ผู้เขียนก็รีบเข้าไปลองทานอาหาร พบว่า อาคารผับแห่งนี้ ใหญ่โตโอ่อ่า อลังการงานสร้างจริงๆ และแม้ผับจะเปิดใหม่ แต่ตัวอาคารนั้น "เก๋า" กว่าที่คิด เพราะนี่คือตึกที่สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1764 หรือ 260 ปีมาแล้ว โดย จอห์น ออสบอร์น (John Osborn) ผู้ซึ่งได้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีแห่งเมืองเซนต์อัลบันส์ถึง 3 สมัย แล้วจะไม่ให้สร้างบ้านอย่างโอฬารได้อย่างไร
บ้านหลังใหญ่นี้ ถูกเรียกขานว่าเป็นบ้านตากอากาศแบบชนบท แต่อยู่ใจกลางเมือง มีทั้งตัวอาคารที่พัก สวนดอกไม้ สวนผลไม้ คอกม้า และที่โดดเด่นคือ มีสวนเมล่อน ที่เลื่องชื่อ เพราะปกติแล้ว การจะปลูกเมล่อนได้ จะต้องมีการสร้างเรือนกระจก ซึ่งคนที่จะทำได้ต้อง "รวย" เท่านั้น บ้านหลังนี้ จึงเป็นอาคารที่แสดงฐานะอย่างแท้จริง
ดังนั้นเราจึงอาจจะอนุมานได้ว่า คนในบ้านก็น่าจะมีความสุขกันดี
แต่เปล่าเลย บ้านหลังใหญ่นี้ "มีตำหนิ" เมื่อเกิดการตายขึ้นในบ้าน !
โดโรธี ออสบอร์น (Dorothy Osborn) ผู้เป็นลูกสะใภ้ของท่านนายกเทศมนตรีฆ่าตัวตายที่บ้านหลังนี้ หลังจากเสียอกเสียใจจากการที่จับได้ว่า สามีตัวดีแอบคบชู้ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ค่อยจะมีใครรู้เรื่องภายในบ้านมากนัก เพราะอาคารใหญ่หลังนี้ยังคงเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล
จวบจนปี ค.ศ.1940 เจ้าของในยุคนั้นได้ขายบ้านให้สภาเมือง ทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นสำนักงานสภาเทศบาล และตั้งแต่นั้นเอง ที่ "ความลับ" ของตระกูลออสบอร์นถูกเปิดเผยขึ้น เพราะมีผู้พบเห็นวิญญาณของโดโรธี ออสบอร์นมาปรากฎตัวในชุดแต่งกายสีเทา เธอเป็นอีกหนึ่งวิญญาณที่เต็มไปด้วยแรงพยาบาท แม้การตายของเธอจะเกิดขึ้นด้วยน้ำมือตัวเอง แต่มันเป็นการกระทำด้วยแรงแค้นที่ถูกทรยศ
พิษรักที่กลายเป็นพิษร้าย ได้สำแดงผลของมัน
หญิงสาวในชุดสีเทา จึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความมืดหม่นของตระกูลใหญ่ และทำให้บรรดาคนทำงานในสภาเทศบาลขนหัวลุกไปตามๆ กัน เรียกได้ว่า ทำงานกันตอนกลางวัน พอตกเย็นก็พร้อมใจเผ่นกันหมด เพราะไม่มีใครอยากเผชิญหน้ากับโดโรธี ออสบอร์น
ปัดโธ่..ถึงตอนนั้น เธอก็ตายไปร้อยกว่าปีแล้ว ใครอยากจะเจอะกันเล่า
อาคารผับนักบุญและคนบาป ที่ว่ากันว่า วิญญาณของโดโรธี ออสบอร์นมักเดินเล่นรอบๆ มานานนับศตวรรษ
ดังนั้น การที่เจ้าหน้าที่สภาเทศบาลกลับบ้านเร็ว ไม่ใช่เพราะทำงานแบบเช้าชามเย็นชามกันหรอกนะคะ แต่กลับเพราะไมอยากเจอวิญญาณพยาบาทตะหาก
ครั้นต่อมาในคริสตทศวรรษที่ 1980 สภาเมืองล่าถอยออกจากอาคารนี้ มันถูกบูรณะใหม่ และกลายเป็นที่ทำการของสถาบันการเงินเนชั่นไวด์ (Nationwide) ซึ่งในตอนนั้น ก็ยังมีคนเห็นโดโรธี ออสบอร์น ในชุดสีเทาอันเป็นเครื่องแต่งกายประจำตัวเดินเตร็ดเตร่ไปรอบอาคารเช่นเคย เรียกว่า กาลเวลาจะผันผ่าน ทุกอย่างจะแปรผันไปขนาดไหน โดโรธี ออสบอร์นก็ยัง "อยู่ที่เก่า"
และดังได้กล่าวมาแล้วว่า ในปัจจุบัน อาคารแห่งนี้กลายเป็นผับนักบุญและคนบาป ที่มีความโดดเด่นในเรื่องสถาปัตยกรรมของสถานที่อันโอ่อ่า ส่วนที่ว่า โดโรธี ออสบอร์น "ยังอยู่" หรือเปล่านั้น ถึงตอนนี้ผ่านไปปีกว่าๆ นับจากที่มีการเปิดผับใน "บ้านเก่า" ของเธอ ก็ยังไม่มีรายงานว่า ยังมีใครเจอะหญิงสาวในชุดสีเทาอีกหรือไม่
ส่วนผู้เขียนนั้น ตอนที่เข้าไปในผับ เห็นว่าทุกมุมสวยไปหมด ก็เลยเดินเที่ยวรอบอาคาร ก็ไม่ได้เจออะไรเป็นพิเศษ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ในตอนที่โดโรธี ออสบอร์นอาศัยอยู่ในบ้านแสนสวย แต่ต้องตรอมใจเพราะรักทรยศนั้น เธอจะเปล่าเปลี่ยวเพียงใดกับชีวิตไร้รัก ณ บ้านอันโอฬาร
ด้านในของผับนักบุญและคนบาป ยังตบแต่งอลังการเหมือนยุคที่โดโรธี ออสบอร์นยังมีชีวตอยู่
และตอนนี้ เธอยังอาฆาตแค้นสามีตัวดีของเธออยู่หรือเปล่า
ก็เขาว่ากันว่า พยาบาทเพราะรักนั้นแรงนักเกินจักหายคลายเคือง !

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา