9 ก.ย. เวลา 10:36 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 157

ศึกต้าหมิงฝู่ (5) ซ่งเจียงล้มป่วย
วันถัดถัดมา ซ่งเจียงให้ทหารเข้าตีเมือง แต่เฝ้าตีอยู่หลายวันก็ไม่อาจตีได้ ซ่งเจียงเริ่มมึนงง คืนหนึ่งขณะนอนอยู่ในกระโจม มีลมยะเยือกโชยมา หนาวเย็นเข้ากระดูก ซ่งเจียงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นโลกบาลเฉายืนรีรีรอรอจะเข้าหรือไม่เข้ามาในกระโจม ตะโกนมาว่า
“น้องเรา ทำไมยังไม่กลับไป มัวรออะไรอยู่”
ซ่งเจียงตกใจ รีบลุกขึ้นมาถามว่า “พี่ท่านมาจากที่ใดหรือ ความแค้นของท่าน ยังไม่ได้ชำระ ยังไม่สบายใจอยู่ทุกคืนวัน อึกทั้งยังไม่เคยได้เซ่นไหว้ จึงได้มาปรากฏตัวเพื่อตำหนิละกระมัง”
เฉาไก้ว่า “มิใช่เช่นนั้น เบื้องหลังน้องเรา มีแสงเจิดจ้าน่าหวั่นนัก ข้ามิกล้าเข้าใกล้ ที่มาวันนี้เพื่อแจ้งน้องเราว่า ในหนึ่งร้อยวันนี้มีเภทภัยถึงตกเลือด มีเพียงดาวตี้หลิง 地灵星 ที่เจียงหนาน 江南 ที่อาจช่วยได้ ให้ดีที่สุด น้องเรารีบถอนทัพเถิด”
ซ่งเจียงใคร่ซักถามรายละเอียดจึงเดินเข้ามาหาแล้วว่า “ดวงวิญญาณของพี่ท่านเมื่อมาอยู่ที่นี่แล้ว โปรดสำแดงความจริงเถิด”
ซ่งเจียงถูกเฉาไก้ผลัก จึงสะดุ้งรู้สึกตัว ที่แท้เป็นเพียงความฝัน จึงให้ทหารไปเชิญท่านเสนาธิการมาทำนายฝัน
อู๋ย่งว่า “ในเมื่อดวงวิญญาณของท่านโลกบาลเฉามาปรากฎ มิอาจเพิกเฉย บัดนี้ดินฟ้าอากาศหนาวยิ่งนัก ทหารได้รับความยากลำบากมิอาจทนได้นาน ควรเลิกทัพกลับค่าย รอพ้นเหมันต์เข้าสู่วสันต์ หิมะละลายแล้วจึงค่อยกลับมาตีเมืองใหม่ก็ยังไม่ช้าเกินไป”
ซ่งเจียงว่า “ที่ท่านกุนซือกล่าวมาก็ถูกต้อง ทว่าเจ้าสัวหลูและน้องสือสิ้วยังถูกตีตรวนอยู่ แต่ละวันที่ผ่านไปเหมือนดังปี เฝ้ารอพี่น้องมาช่วย หากพวกเรากลับไป เจ้าพวกทางนี้อาจคิดทำอันตรายถึงแก่ชีวิต จะเดินหน้าถอยหลังล้วนลำบาก”
วันรุ่งขึ้น ซ่งเจียงรู้สึกอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว ปวดหัวดังโดนขวานผ่า ตัวร้อนเหมือนถูกนึ่ง นอนลุกไม่ขึ้น เหล่าพี่น้องมาเยี่ยมดูอาการ
ซ่งเจียงว่า “ข้ารู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่กลางหลัง”
พอพลิกหลังดูเห็นบวมแดงเหมือนแผ่นเตาร้อน
อู๋ย่งว่า “อาการนี้ไม่ใช่ฝี แต่เป็นเนื้อตาย ข้าดูหนังสือตำรับยาแล้ว ถั่วเขียวพอใช้แก้พิษไม่ให้ลุกลามเร็วได้ ต้องรีบหามาให้ท่านพี่”
อีกทางหนึ่งก็หาหมอมารักษา แต่ไม่เป็นผล
ขาวคะนองคลื่นจางซุ่นว่า “เมื่อครั้งผู้น้องอยู่ที่แม่น้ำสวินหยาง แม่ป่วยเป็นแผลที่หลัง ยาอะไรก็รักษาไม่หาย มาได้หมออันเต้าเฉวียน 安道全 เมืองเจี้ยนคัง 建康府 พอถึงมือหมอโรคหายเป็นปลิดทิ้ง ต่อมาผู้น้องหาเงินได้จึงส่งไปให้เป็นค่ารักษา วันนี้มาเห็นอาการของท่านพี่ จะพาไปหาหมอ ทางก็ไกลนัก ไม่สะดวกที่จะพาไป คงต้องเร่งเดินทางทั้งวันคืน ไปเชิญตัวท่านหมอมา”
อู๋ย่งว่า “ท่านพี่ฝันเห็นโลกบาลเฉามาบอกว่า “ภยันตรายในร้อยวัน มีเพียงดาวตี้หลิงที่เจียงหนานที่รักษาได้” คงหมายถึงคนผู้นี้กระมัง”
ซ่งเจียงว่า “น้องเรา เมื่อรู้จักคนผู้นี้ ก็ช่วยเชิญให้ข้าทีเถิด เห็นแก่คุณธรรม โปรดช่วยชีวิตข้า”
อู๋ย่งจึงให้นำทองกลีบกระเทียมหนึ่งร้อยตำลึงสำหรับเชิญท่านหมอ และเงินปลีกสามสิบตำลึงสำหรับเป็นค่าเดินทางมอบให้จางซุ่น และกำชับว่า
“ออกเดินทางเลย อย่างไรก็ต้องเชิญท่านมาให้ได้ อย่าให้ผิดพลาด ทางนี้ข้าจะเลิกทัพกลับเขา แล้วพบกันที่ค่าย น้องเรารีบไปรีบกลับ”
จางซุ่นจึงเร่งออกเดินทางทันที
ทางด้านอู๋ย่งก็สั่งให้เลิกทัพกลับเขา จัดรถให้ซ่งเจียงนอนไป ทางเมืองเป่ยจิงเคยต้องอุบายมาก่อนก็ไม่กล้าตามตี พอมีรายงานไปว่าซ่งเจียงถอยทัพ
เหลียงจ้งซูว่า “ไปเช่นนี้ไม่รู้มีเจตนาใด”
หลี่เฉิง เหวินต๋าว่า “อู๋ย่งผู้นี้มากเล่ห์ ควรป้องกันเมืองไว้ อย่าได้ไล่ตาม”
ทางด้านจางซุ่นเร่งรีบเดินทางเพื่อช่วยซ่งเจียง ระหว่างทางลำบากนัก ด้วยเป็นปลายฤดูหนาว ไม่ฝนก็หิมะ  อารามกังวลจึงไม่ได้ติดชุดกันฝนมาด้วย เดินทางมาสิบกว่าวันถึงริมแม่น้ำหยางจื่อ 扬子江 วันนั้นลมเหนือพัดจัด เมฆลอยต่ำ หิมะตกหนัก จางซุ่นพยายามหาทางข้ามน้ำใหัได้ แม้บรรยากาศจะหนาวเหน็บ แต่กลางน้ำกลับดูเงียบสงบ
嘹唳冻云孤雁,盘旋枯木寒鸦。
空中雪下似梨花,片片飘琼乱洒。
玉压桥边酒旆,银铺渡口鱼艖。
前村隐隐两三家,江上晚来堪画。
ห่านป่าเหินเดียวดายกลางฟ้าหม่น
อีกาเทาบินวนรอบไม้เฉา
หิมะร่วงกลางหาวขาวดอกเลา
ดุจใครเอาหยกแผ่นสาดประดัง
 
หยกขาวทับธงร้านเหล้าริมสะพาน
เงินดาดตระการ เรือน้อยลอยข้ามฝั่ง
หน้าหมู่บ้านมีกระท่อมสองสามหลัง
สายนทียามสายัณห์ดังภาพเขียน
จางซุ่นเดินเพียงลำพังริมฝั่งน้ำหยางจื่อหาเรือข้ามฟากไม่ได้แม้สักลำเริ่มท้อแท้ เดินเลียบมายังพงอ้อล้มหักสังเกตเห็นควันไฟ จางซุ่นตะโกนเรียก
“คนเรือ เอาเรือมารับข้าข้ามน้ำที”
เสียงย่ำพงอ้อดังซู่ซู่ ชายคนหนึ่งปรากฎตัว สวมงอบไผ่สาน เสื้อฟางคลุมกันฝน ถามว่า “ลูกค้าจะไปที่ไหน”
จางซุ่นว่า “ข้าจะข้ามน้ำไปทำธุระสำคัญที่เมืองเจี้ยนคัง ข้าจะเพิ่มค่าเรือให้ ช่วยพาข้ามน้ำที”
คนเรือผู้นั้นว่า “พาท่านข้ามไปไม่ใช่ปัญหา แต่นี่ก็เย็นแล้ว ข้ามไปถึงก็ไม่มีที่พัก มิสู้พักในเรือข้า พรุ่งนี้ยามสี่ฟ้าใสลมสงบ ข้าค่อยพาท่านข้าม แล้วก็เพิ่มค่าเรือให้ข้าสักหน่อย”
จางซุ่นว่า “ที่พูดก็ถูก”
จางซุ่นเดินตามเข้าไปในพงอ้อ เห็นริมตลิ่งมีเรือเล็กอีกลำผูกอยู่ ชายหนุ่มร่างผอมกำลังนั่งผิงไฟ คนเรือพยุงจางซุ่นลงเรือ พอเข้าไปในโถงเรือก็ถอดเสื้อผ้าที่เปียกชื้นออก ส่งไปให้คนหนุ่มช่วยผิงไฟ จางซุ่นแก้ห่อผ้านำเอาผ้าห่มออกมาห่มแล้วขดตัวนอนอยู่ในโถงเรือ ถามคนเรือว่า
“แถวนี้มีเหล้าขายไหม ซื้อมาดื่มสักหน่อยได้ก็ดี”
คนเรือว่า “เหล้าไม่มีที่ให้ซื้อ แต่ข้าวมีอยู่ชามหนึ่ง”
จางซุ่นกินข้าวเสร็จ ก็ล้มตัวลงนอน เพียงยามต้นหัวถึงหมอนก็หลับไป เนื่องด้วยเดินทางเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน และชะล่าใจเกินไป
หนุ่มร่างผอมที่นั่งผิงเสื้อคลุมอยู่ เห็นจางซุ่นหลับไปแล้ว ก็ถามคนเรือว่า “พี่ใหญ่ เห็นอะไรไหม”
คนเรือเข้ามาคลำดูห่อผ้าข้างหัว รู้สึกว่าเจอเงินทอง จึงโบกมือแล้วว่า
“เจ้าไปเอาเรือออก ค่อยไปลงมือกลางน้ำ”
ชายหนุ่มแหวกพงอ้อโดดขึ้นตลิ่งไปแก้เชือกผูกเรือ แล้วกลับขึ้นเรือเอาถ่อยันเรือออกจากตลิ่ง แจวเรือเอี๊ยดๆ อ๊าดๆ ออกมากลางแม่น้ำ คนเรือเข้ามาในโถงเรือ นำเชือกผูกเรือค่อยๆ มัดจางซุ่นเอาไว้แน่นหนา แล้วเปิดไม้กระดานพื้นเรือหยิบมีดปังตอขึ้นมาถือไว้
จางซุ่นรู้สึกตัวตื่น แต่สองมือถูกมัดไว้จึงทำอะไรไม่ได้ คนเรือเอามีดทาบบนตัวจางซุ่น
จางซุ่นว่า “ผู้กล้า ท่านไว้ชีวิตข้า ข้าจะให้ทองท่าน”
คนเรือว่า “ทองก็เอา ชีวิตเจ้าก็เอา”
จางซุ่นตะโกนบอกว่า “ท่านให้ข้าตายทั้งลูก 囫囵死 วิญญาณข้าจะไม่พยาบาทมาตอแยเจ้า”
คนเรือวางมีดปังตอ แล้วจับจางซุ่นโยนลงน้ำ
คนเรือแก้ห่อผ้าออกดู เห็นเงินทองจำนวนมากจึงละโมบไม่คิดจะแบ่งให้หนุ่ม จึงตะโกนเรียก
“เจ้าห้า ข้ามีอะไรจะบอก”
หนุ่มร่างผอมเดินเข้ามาในโถงเรือ คนเรือคว้าตัวไว้แล้วลงมีดตายอนาถ จับโยนลงน้ำ เช็ดคราบเลือดแล้วแจวกลับเข้าฝั่ง
ทางด้านจางซุ่น วิชาทางน้ำดี อยู่ในน้ำได้เหมือนปลาเป็นวันๆ พอถูกจับโยนน้ำ ก็อยู่ในน้ำกัดจนเชือกขาด แล้วว่ายข้ามน้ำมาทางทิศใต้ เห็นในดงมีแสงตะเกียงวับวับแวมแวม จึงขึ้นฝั่งเดินเข้าดงมาทั้งตัวเปียกโชก เห็นแสงไฟมาจากร้านอาหาร มีคนลุกขึ้นมาคั้นทำเหล้ากลางดึก แสงตะเกียงลอดมาจากรอยแยกบนกำแพง
จางซุ่นเดินมาเรียกที่ประตู ชายอาวุโสเปิดประตู จางซุ่นคำนับคารวะ
ผู้เฒ่าเห็นสภาพแล้วจึงว่า “คงถูกชิงทรัพย์กลางน้ำ โดดน้ำหนีเอาชีวิตรอดมาละมัง”
จางซุ่นว่า “บอกผู้อาวุโสตามตรง ผู้น้อยจะไปทำธุระที่เจี้ยนคัง ตกเย็นหาเรือข้ามฟากที่ฝั่งตรงข้าม ไม่คิดว่าจะเจอคนร้ายสองคนชิงเอาเงินทองเสื้อผ้าไปหมด แล้วจับโยนน้ำ ผู้น้อยว่ายน้ำเป็นจึงเอาชีวิตรอดมาได้ ท่านตา ช่วยข้าด้วยเถิด”
ผู้เฒ่าจึงพามาในบ้าน เอาเสื้อผ้าเก่าให้ใส่ ถอดเอาชุดเปียกโชกไปผิงไฟ อุ่นเหล้าให้ดื่ม
1
ผู้เฒ่าว่า “พ่อหนุ่ม ท่านแซ่อะไร คนซานตงมาทำอะไรที่นี่”
จางซุ่นว่า “ผู้น้อยแซ่จาง เป็นพี่น้องกับท่านหมออันเมืองเจี้ยนคัง ตั้งใจมาเยี่ยม”
ผู้เฒ่าว่า “ท่านมาจากซานตง ก็ต้องผ่านเขาเหลียงซาน”
“ผ่านมาทางนั้นแหละ”
“หัวหน้าซ่งบนเขา ไม่ชิงทรัพย์ หรือสังหารคนผ่านทาง เห็นว่าผดุงธรรมแทนฟ้า”
“ท่านหัวหน้าซ่งยึดถือความภักดีมีคุณธรรม ไม่ทำร้ายราษฏรบริสุทธิ์ แต่ไม่ไว้ซึ่งขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง”
“ผู้เฒ่าก็ฟังเขาว่า พวกซ่งเจียงยึดมั่นคุณธรรม มีแต่ช่วยเหลือคนจนเลี้ยงดูคนชรา ไม่เหมือนพวกโจรแถวนี้ ถ้าเขามาอยู่ที่นี่ ราษฎรคงเป็นสุข ไม่ต้องทนให้พวกขุนนางเลวๆ ข่มเหง”
จางซุ่นได้ฟังจึงว่า “ท่านตาอย่าได้ตกใจ ผู้น้อยคือขาวคะนองคลื่นจางซุ่น ท่านพี่ซ่งกงหมิงเกิดเจ็บที่กลางหลัง จึงให้ผู้น้อยนำทองคำหนึ่งร้อยตำลึงมาเชิญท่านอันเต้าเฉวียน ไม่คิดว่าชะล่าใจไปหน่อย หลับกลางเรือ จึงถูกโจรสองคนนั่นมัดมือถ่วงน้ำ ข้ากัดเชือกจนขาดแล้วหนีมานี่”
ผู้เฒ่าว่า “ท่านเป็นผู้กล้ามาจากเขานั่น ข้าจะให้ลูกชายมาทำความรู้จัก”
สักพัก มีชายหนุ่มเดินมาจากหลังบ้าน คารวะจางซุ่นแล้วว่า
“ผู้น้อยได้ยินชื่อพี่ท่านมานาน แต่ไม่มีวาสนาได้ไปคารวะทำความรู้จัก ผู้น้อยแซ่หวาง 王 เกิดลำดับที่หก เนื่องจากเป็นคนวิ่งหรือกระโดดได้ว่องไว คนจึงเรียกผู้น้อยว่า ตะเข้ฟ้าแลบหวางติ้งลิ่ว 活闪婆王定六 ว่ายน้ำได้ดี รู้เพลงกระบอง ไหว้ครูมาหลายท่าน ขายเหล้าหาเลี้ยงชีพอยู่ริมฝั่งน้ำ
สองคนที่ชิงทรัพย์พี่ท่าน ผู้น้อยก็รู้จัก คนหนึ่งคือ ผีชิงชลจางว่าง 截江鬼张旺 หนุ่มคนผอมเป็นชาวอำเภอหัวถิง 华亭县 ปลาทอดน้ำมันซุนอู่ 油里鳅孙五 สองคนนี้ชิงทรัพย์กลางน้ำหาเลี้ยงชีพ พี่ท่านวางใจ ไว้สองคนนี้มาดื่มเหล้าที่ร้าน ข้าจะช่วยพี่ท่านล้างแค้น”
จางซุ่นว่า “ขอบใจในเจตนาดีของน้องเรา เพื่อท่านพี่ซ่งกงหมิง ข้าร้อนใจใคร่กลับค่ายโดยไว พรุ่งนี้เช้าต้องรีบเข้าเมืองไปเชิญท่านหมออัน ขากลับค่อยพบกันใหม่”
หวางติ้งลิ่วนำเสื้อผ้าของตนให้จางซุ่นเปลี่ยน แล้วจัดเตรียมสุราอาหารเลี้ยงรับรอง เช้าวันรุ่งขึ้น นำเงินมอบให้จางซุ่นไว้ใช้สอยสิบตำลึง และบอกทางเข้าเมืองเจี้ยนคัง
ตะเข้ฟ้าแลบหวางติ้งลิ่ว 活闪婆王定六 ดาวมารดิน ตี้ส้า ลำดับที่ 68 ลำดับรวมที่ 104 เป็นผู้ดูแลร้านอาหารทิศเหนือของเขาเหลียงซาน คู่กับตุลาการปลิดชีพหลี่ลี่
ฉายาของหวางติ้งลิ่วว่า ตะเข้ฟ้าแลบ 活闪婆 (หัวส่านผอ) นั้น ต้องตีความกับหลายชั้น
หวางติ้งลิ่วว่า ตนเคลื่อนไหวว่องไวจึงได้ฉายานี้ เนื่องจากภาษาถิ่นคนแถวนี้เรียกฟ้าแลบว่า 霍闪 (หั้วส่าน) กลายเสียงใกล้เคียงเป็น 活闪 (หัวส่าน) โดยอักษร 活 หมายถึงตัวเป็น หรือ มีชีวิต
1
ที่สร้างความสับสนคือ อักษร 婆 (ผอ) ที่หมายถึงสตรี ทำให้คิดว่าเป็นฉายาของผู้หญิง แต่หวางติ้งลิ่วเป็นชาย คำนี้มาจากชื่อเรียกจระเข้พันธุ์เล็ก แต่เคลื่อนไหวได้ว่องไว เป็นจระเข้ในพื้นที่ลุ่มน้ำฉางเจียง หรือหยางจื่อเจียง คนพื้นที่เรียกชื่อประหลาดว่า มังกรยายหมู 猪婆龙 (จูผอหลง) อักษร 婆 (ผอ) จึงหมายถึงจระเข้
1
活闪婆 (หัวส่านผอ) จึงหมายถึงจระเข้ที่เคลื่อนไหวได้ว่องไวเหมือนฟ้าแลบ : ตะเข้ฟ้าแลบ
ตอนก่อนหน้า : เลือดพล่านกลางหิมะ
ตอนถัดไป : หมอเทวดา

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา