15 ก.ย. เวลา 12:00 • หนังสือ

สรุปหนังสือ Animal farm ไร่ของผองสัตว์

เสรีภาพและอิสระเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ แต่เมื่ออำนาจครอบงำเหล่าผู้นำ อุดมการณ์ที่เคยมีก็แปรเปลี่ยนไป บทเรียนในอดีตจะสามารถตอกย้ำความเจ็บปวดได้หรือไม่ หรือความจริงแล้วเราถูกปกครองแบบเดิมมาโดยตลอด เรื่องราวเหล่านี้ถูกถ่ายออกมาเป็นวรรณกรรมเยาวชนที่มีชื่อว่า “Animal farm ไร่ของผองสัตว์”
George Orwell นามปากกาของ Eric Arthur Blair เป็นนักเขียนชาวอังกฤษ เกิดภายใต้การปกครองของจักรวรรดิอังกฤษ เป็นนักเรียนทุนและจบการศึกษาจากวิทยาลัยอีตัน เรื่องราวของหนังสือเล่มนี้ถูกถ่ายทอดมาจากตอนที่เขาเคยเป็นทหารแต่ต้องลาออกเนื่องจากไม่ชอบในความจักรวรรดินิยม ระบอบเผด็จการ และการครอบงำความคิดของคนในสังคม นอกจากนี้ยังมี "1984" นวนิยายแนวดิสโทเปียที่มีประเด็นเกี่ยวกับการกดขี่ของรัฐบาล
หนังสือเล่มนี้จัดอยู่ในวรรณกรรมเยาวชน โดยในปกหลังได้กล่าวว่าเป็นวรรณกรรมแนวเสียดสีสังคมทรงคุณค่า สะท้อนการเมืองได้ทุกยุคทุกสมัย ประโยคที่แทงใจดำมากๆ คือ “สัตว์ทุกตัวเท่าเทียมกัน แต่สัตว์บางตัวเท่าเทียมกันมากกว่าสัตว์อื่นๆ” หมายความว่าอย่างไร เดี๋ยวจะอธิบายด้านล่างนี้เลย
ณ ไร่แมนเนอร์ ฟาร์มแห่งหนึ่งที่มีเจ้าของคือ โจนส์ เขาอยู่กับภรรยาสองคน ในอดีตโจนส์เคยเป็นคนที่ขยัน ตั้งใจทำงานในฟาร์มแต่เมื่อแพ้คดีความทำให้ชีวิตของเขาแย่ลง ไม่ตั้งใจดูแลฟาร์มปล่อยให้สัตว์อยู่แบบหิวโหย
ในคืนหนึ่งวิลลิงตัน บิวตี หรือที่สัตว์ทุกตัวในฟาร์มเรียกว่า ผู้พันเฒ่า เรียกประชุมเพื่อที่จะเล่าความฝัน ที่ว่าสัตว์ไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของมนุษย์ จะไม่มีการกดขี่ ทุกสัตว์เท่าเทียมกัน และสามวันต่อมาวิลลิงตันก็ได้เสียชีวิตลง แต่ก่อนที่เขาจะตายได้ทิ้งภูมิปัญญาเอาไว้ให้คนรุ่นหลังนั่นก็คือ เพลง“สัตว์แห่งอังกฤษ” และคำสอนอีกมากมาย ซึ่งหมูทั้งสามตัว ได้แก่ นโปเลียน สโนว์บอลส์ และสควีเลอร์ ได้ทำการรวบรวมคำสอนกลายเป็น “ลัทธิสัตว์นิยม”
วันก่อกบฏมาเร็วกว่าที่คิดและไม่ได้วางแผนเอาไว้ มันเกิดจากการที่โจนส์ไม่ดูแลความอิ่มท้องของสัตว์ ทำให้วัวตัวหนึ่งขวิดออกมาหาอาหารกินเอง เมื่อคนงานเข้ามาจะควบคุมสัตว์แต่ก็ทำไม่ได้และถูกขับไล่ออกจากฟาร์ม
หมูขึ้นมาเป็นผู้นำ เปลี่ยนชื่อฟาร์มจากไร่แมเนอร์เป็น “ไร่ของผองสัตว์” สัตว์ทุกตัวทำงานตามหน้าที่ มีการเรียนหนังสือ จัดตั้งคณะกรรมการ มีการตั้งกฎบัญญัติ 7 ประการ ได้แก่
1. สองขาคือศัตรู
2. สี่ขาหรือมีปีกคือเพื่อน
3. สัตว์ต้องไม่ใส่เสื้อผ้า
4. สัตว์ต้องไม่นอนบนเตียง
5. สัตว์ต้องไม่ดื่มเหล้า
6. สัตว์ต้องไม่ฆ่าสัตว์อื่น
7. สัตว์ทุกตัวเท่าเทียม
แน่นอนว่ามนุษย์ย่อมต้องกลับมาเอาฟาร์มคืน โจนส์กลับมาที่ฟาร์มแต่ก็พ่ายแพ้อีกเช่นเคย สัตว์ทั้งหลายเรียกวันนี้ว่า “การรบแห่งโรงวัว” จะมีการยิงปืนทุกปีสองครั้ง คือเดือนตุลาคม(วันรบแห่งโรงวัว) และในช่วงกลางปี (วันก่อกบฏ)
เมื่อเหตุการณ์สงบ เหล่าสัตว์ต้องมีการวางแผนเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในหน้าหนาว มีสองเสียงที่แตกต่างกันจากนโปเลียนและสโนว์บอส์ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่เอนไปทางสโนว์บอลส์ นั่นก็คือการสร้างกังหัน แต่นโปเลียนได้ทำการเรียกหมาที่เขาแอบเลี้ยงเอาไว้ลับๆ มาไล่กัดสโนว์บอลส์ สุดท้ายอำนาจทั้งหมดกลายเป็นของนโปเลียนเพียงผู้เดียวและจะไม่มีการถามความคิดเห็นจากเหล่าสัตว์ ทุกวันอาทิตย์จะมีคำสั่งให้ทุกคนทำตามเท่านั้น
เรื่องราวต่อจากนี้เก่งขอไม่เล่าแบบละเอียด แต่จะมาแสดงความคิดเห็น เปรียบเทียบเกี่ยวกับเรื่องราวต่อจากนี้
• การปฏิวัติของสัตว์เริ่มต้นด้วยความหวังและความฝันถึงเสรีภาพ แต่ลงท้ายด้วยการปกครองที่โหดร้ายและกดขี่ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ โดยหลังจากที่นโปเลียนขึ้นมาเป็นผู้นำ เขาไม่ทำตามกฎบัญญัติที่ได้ตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นการนอนบนเตียง ใส่เสื้อผ้า ดื่มเหล้า รวมไปถึงการฆ่าสัตว์อื่น จริงๆเหล่าสัตว์ก็ไม่พอใจอยู่เช่นกัน แต่มีสควีเลอร์หมูที่สามารถพูดให้สัตว์เหล่านั้นเชื่อใจได้
• ความเสื่อมสลายของอุดมการณ์ที่ถูกบิดเบือนโดยผู้มีอำนาจ ที่บอกว่านโปเลียนไม่ทำตามกฎบัญญัติ แต่สควีเลอร์ก็ได้ออกมาแก้ต่าง เพราะในช่วงกลางคืนเขาแอบมาแก้ข้อความที่เขียนไว้ เช่น สัตว์ต้องไม่ดื่มเหล้า (ถ้าไม่มากเกินไป) สัตว์ต้องไม่ฆ่าสัตว์อื่น (ยกเว้นมีเหตุผล) และสัตว์ทุกตัวเท่าเทียม แต่สัตว์บางตัวเท่าเทียมกันมากกว่าสัตว์อื่นๆ จะเห็นได้ว่ามันบิดเบือนได้มากเมื่อคนนั้นมีอำนาจ
• การหลงลืมบทเรียนในอดีต เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าหากผู้คนไม่เรียนรู้หรือจดจำประวัติศาสตร์ สุดท้ายก็มีแนวโน้มที่จะตกเป็นเหยื่อของการกดขี่แบบเดิม สัตว์ในฟาร์มหลงลืมถึงการกดขี่ที่เกิดขึ้นในอดีต ทำให้ไม่สามารถต่อต้านการกดขี่ใหม่ที่เกิดขึ้นได้
• หมาของนโปเลียนสะท้อนถึงความรุนแรง แม้ว่าสัตว์ในฟาร์มจะไม่พอใจสิ่งที่นโปเลียนทำแต่ก็ไม่มีใครที่สามารถคัดค้านได้เพราะหมาของเขาดุร้ายและมีจำนวนมากถึง 9 ตัว
• บ็อกเซอร์ ม้าที่จงรักภักดีจนถูกกดขี่ (ตัวละครนี้เก่งสงสารมาก) เขาเป็นม้าที่ขยันอยู่แล้วไม่ว่าใครจะพูดอะไรเขาก็เชื่อ ยิ่งโดนสควีเลอร์พูดกรอกหูเกี่ยวกับความดีความชอบที่นโปเลียนอุทิศตนเพื่อฟาร์ม ก็ทำให้เขาเชื่อว่านโปเลียนถูกเสมอ
• มอลลี่ ม้ารักสวยรักงามที่เห็นแก่ตัวโดยเธอเลือกที่จะกลับไปอยู่กับมนุษย์ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เช่น การได้ติดโบว์ (ผิดกฎบัญญัติสัตว์ไม่แต่งตัว) การได้กินน้ำตาล สะท้อนถึงคนที่ไม่ว่าเจอเหตุการณ์แบบไหนก็เลือกข้างที่จะเป็นประโยชน์ต่อตนเองไม่คำนึงถึงอุดมการณ์รวมถึงผู้อื่น
• เบนจามิน ลาแก่จอมเมิน เขาเมินทุกสถานการณ์ตั้งแต่ก่อนก่อกบฏจนถึงหลังกบฏเป็นสิบปี สะท้อนถึงคนที่ไม่ออกความคิดเห็นหรือต่อสู้เพื่อตนเอง คิดว่าสิ่งที่ตัวเองเผชิญอยู่เป็นเรื่องปกติ (เก่งคิดว่าการมองความเป็นจริงกับการหลอกตัวเองมีเส้นบางๆกั้นอยู่) คนเหล่านี้จะเริ่มรู้สึกตัว กระทำบางอย่างก็ต่อเมื่อตนเองได้รับผลกระทบแต่มันอาจจะสายเกินกว่าจะแก้ไข
"ไร่ของผองสัตว์" เป็นการเตือนใจให้ผู้อ่านตระหนักถึงอันตรายของการมีอำนาจมากเกินไป การบิดเบือนข้อมูล และการไม่ตั้งคำถามต่อระบบการปกครองที่ไม่เป็นธรรม เก่งหวังว่าการสรุปหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้ผู้อ่านได้อะไรกลับไปคิดไม่มากก็น้อย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา