19 ก.ย. 2024 เวลา 05:15 • ประวัติศาสตร์

สภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ตอนที่ 3

Truman กับการควบคุมบทบาทสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (US NSC)
Harry S. Truman ที่มาภาพ: https://www.britannica.com/biography/Harry-S-Truman
ตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้งสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ ประธานาธิบดี Truman มีเจตนาชัดเจนว่า NSC ควรมีบทบาทและหน้าที่เพียงให้คำปรึกษาด้านความมั่นคง ไม่ใช่หน่วยงานที่มีอำนาจตัดสินใจเชิงนโยบาย ดังนั้น Truman ต้องการหลีกเลี่ยงการประชุมสำคัญที่อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผูกมัดกับประธานาธิบดี โดยเฉพาะการลงคะแนนเสียงที่อาจจำกัดอำนาจของเขา
ในห้วงระหว่างเดือนกันยายนปี 1947 จนกระทั่งเกิดสงครามเกาหลีในปี 1950 Truman เข้าร่วมประชุม NSC เพียง 12 ครั้ง จากทั้งหมด 57 ครั้ง การไม่เข้าร่วมประชุม NSC เป็นความตั้งใจ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจว่า NSC มีอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องนโยบายสำคัญ โดยต้องการคงอำนาจให้ NSC ทำหน้าที่เป็นเพียงที่ปรึกษาเท่านั้น
นอกจากนี้ Truman ยังให้ความสำคัญกับบทบาทของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมากกว่าในบทบาทของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) เขาแต่งตั้งให้ Dean Acheson รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานแทนตัวเขาเองในการประชุม NSC (President Pro Tempore) ซึ่งหมายความว่า Acheson มีอำนาจควบคุมการดำเนินงานและการตัดสินใจใน NSC ทำให้เขาสามารถมีบทบาทสำคัญในกระบวนการตัดสินใจด้านความมั่นคงแห่งชาติ
Dean Acheson ที่มาภาพ: https://www.history.com/topics/cold-war/dean-acheson
ในขณะเดียวกัน Acheson ยังใช้โอกาสดังกล่าว เพื่อเพิ่มอำนาจให้กับตนเองเหนือคู่แข่งของเขาอย่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม Louis A. Johnson และ George C. Marshall ซึ่งทำให้เขาสามารถครองอิทธิพลในกระบวนการตัดสินใจด้านความมั่นคงอย่างเต็มที่
Louis A. Johnson รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่มาภาพ: https://uspresidentialhistory.com/louis-a-johnson/
George C. Marshall รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่มาภาพ: https://karsh.org/photographs/general-george-c-marshall-2/
นอกจากนี่ ประธานาธิบดี Truman สนับสนุนการทำงานในลักษณะ "ระบบเลขาธิการ" (Secretarial System) ที่ให้รัฐมนตรีรับผิดชอบการตัดสินใจด้านความมั่นคง แทนที่จะให้ NSC เป็นกลไกหลักในการตัดสินใจ
วิธีการของ Truman ช่วยให้การตัดสินใจด้านความมั่นคงแห่งชาติอยู่ในมือของบุคคลที่ประธานาธิบดีไว้วางใจ และรักษาอำนาจการตัดสินใจเชิงนโยบายไว้ที่ตำแหน่งประธานาธิบดีและคณะรัฐมนตรีของเขา
ในช่วงเริ่มต้น NSC Staff มีขนาดเล็กและทำหน้าที่เพียงสนับสนุนทางการบริหาร ประกอบด้วย Sidney W. Souers เลขาธิการบริหาร และทีมงานผู้เชี่ยวชาญเพียง 3 คน หลังจากนั้น ทีมงานของ NSC ขยายตัวขึ้นเป็น 15 คน และถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ เลขาธิการบริหารและทีมงาน (the Executive Secretary and Staff) ทีมงานที่ปรึกษาพิเศษ (Consultants) และ ที่ปรึกษาแก่เลขาธิการบริหาร (the Consultants to the Executive Secretary)
แม้ว่าขนาดของทีมงานจะเพิ่มขึ้น แต่หน้าที่ของ NSC Staff ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ พวกเขายังคงทำหน้าที่หลักในการสนับสนุนด้านบริหารจัดการเอกสารและพัฒนาการศึกษาเชิงยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ
อย่างไรก็ตามการกำหนดทิศทางนโยบายและยุทธศาสตร์ของประเทศยังคงมาจากหน่วยงานอื่น เช่น กระทรวงการต่างประเทศ และ กระทรวงกลาโหม
ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ เอกสาร NSC-68 ซึ่งเป็นหนึ่งในเอกสารด้านความมั่นคงที่สำคัญที่สุดในยุคของ Truman โดยเอกสารฉบับนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยกลุ่มทำงานร่วมจากกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหม โดยไม่มีการมีส่วนร่วมจาก NSC Staff
เอกสาร NSC-68 ที่มาภาพ: https://www.cfr.org/blog/twe-remembers-nsc-68
ต่อมาในปี 1950 NSC Staff ถูกจัดโครงสร้างใหม่ โดยแบ่งออกเป็น Senior Staff ซึ่งประกอบด้วยรองเลขาธิการจากแต่ละกระทรวง และ Staff Assistants ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก Senior Staff อย่างไรก็ตาม สมาชิกทีมงานเหล่านี้ โดยเฉพาะที่ปรึกษา (Consultants) ยังคงมีความผูกพันต่อหน่วยงานต้นสังกัดของพวกเขา เช่น กระทรวงการต่างประเทศหรือกระทรวงกลาโหม มากกว่าการทำงานให้กับ NSC โดยตรง
ปัญหาดังกล่าว ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาสำคัญ 3 ประการ ได้แก่
  • 1.
    ขาดเอกภาพภายใน NSC Staff: เจ้าหน้าที่ NSC ไม่สามารถพัฒนาเอกภาพการประสานงานหรือสร้างความร่วมมือข้ามกระทรวงได้ เนื่องจากแต่ละคนยังคงยึดมั่นกับนโยบายและวัตถุประสงค์ของหน่วยงานตนเอง
  • 2.
    ขาดความร่วมมือและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างสมาชิก NSC Staff ทำให้ไม่สามารถดำเนินงานหรือเสนอแนะนโยบายที่สอดคล้องกันได้
  • 3.
    NSC Staff ไม่ได้รับความไว้วางใจจากทั้ง NSC และหน่วยงานต้นสังกัด เนื่องจากพวกเขาอยู่ในสถานะที่ไม่ชัดเจน ส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถมีอิทธิพลหรือบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบาย
ด้วยเหตุนี้ การทำงานของ NSC Staff จึงไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และพวกเขาไม่ได้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ การขาดเอกภาพและความไว้วางใจทำให้ NSC Staff ไม่สามารถเป็นกลไกหลักในการตัดสินใจด้านความมั่นคง ซึ่งยังคงถูกควบคุมโดยหน่วยงานอื่น ๆ ที่มีอิทธิพลมากกว่า
นอกจากนี้ Sidney W. Souers เลขาธิการบริหารคนแรกของ NSC ไม่ได้เป็นคู่แข่งทางความคิดกับรัฐมนตรีในแต่ละกระทรวง เขาอธิบายตัวเองว่าเป็นเพียง "ผู้รับใช้ที่ไม่เปิดเผยนาม" ของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSC)
Sidney W. Souers ที่มาภาพ: https://en.wikipedia.org/wiki/Sidney_Souers
อีกทั้ง ในสมัยรัฐบาลของประธานาธิบดี Truman ยังไม่มีตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ อย่างเป็นทางการ
ซึ่ง Souers เองก็กล่าวว่า "ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใหม่ที่ถูกแต่งตั้งขึ้นโดยไม่มีความรับผิดชอบและมีอำนาจในการกำหนดนโยบายได้"
ความล้มเหลวของ NSC ในการสร้างนโยบายความมั่นคงแห่งชาติที่มีความหมายชัดเจน ถูกสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดในความลังเลและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในช่วงสมัยสงครามเกาหลี นโยบายของทำเนียบขาวมีความผันผวนไปตามสถานการณ์ในสนามรบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ผลที่ตามมาคือ สหรัฐฯ ไม่สามารถกำหนดทิศทางที่ชัดเจนในการดำเนินนโยบายความมั่นคงแห่งชาติได้ ความขัดแย้งภายในและการขาดเอกภาพในกระบวนการตัดสินใจ ส่งผลให้เกิดความสับสนทั้งในระดับนโยบายและการปฏิบัติ การไม่มี NSC ที่มีบทบาทเข้มแข็งและไม่มีตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ ทำให้ประเทศขาดกลไกสำคัญในการประสานงานและกำหนดยุทธศาสตร์ระยะยาว ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถของสหรัฐฯ ในการเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงในช่วงเวลานั้น
การยกระดับบทบาทของ NSC ในยุค Dwight D. Eisenhower
Dwight D. Eisenhower ที่มาภาพ: https://www.tshaonline.org/handbook/entries/eisenhower-dwight-david
เมื่อ Eisenhower ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 1953 เขาตระหนักว่า NSC ยังเป็นเพียง "เงา" ขององค์กรที่มีอำนาจอย่างแท้จริง เนื่องจากในยุคของ Harry Truman NSC ไม่เคยได้รับความไว้วางใจให้เป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดนโยบายความมั่นคง
Eisenhower วิจารณ์อย่างเปิดเผยว่า NSC ในยุคนั้นเป็นเพียงหน่วยงานที่ไม่สามารถกำหนดนโยบายได้จริง ดังนั้น เพื่อให้ NSC ถูกยกระดับเพื่อให้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายด้านความมั่นคง การดำเนินการแรกของเขาคือ แต่งตั้งรองประธานาธิบดีให้เป็นประธานการประชุม NSC ในกรณีที่เขาไม่สามารถเข้าร่วมได้ ซึ่งเดิมทีบทบาทนี้ตกเป็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยสร้างความเสมอภาคในหมู่สมาชิก NSC และทำให้เกิดความร่วมมือที่ดีขึ้นระหว่างหน่วยงานต่างๆ
นอกจากนี้ Eisenhower ยังให้ความสำคัญกับ การเป็นประธานการประชุม NSC ด้วยตนเองมากกว่า 90% ของการประชุมทั้งหมด เขาตัดสินใจในที่ประชุมโดยตรง ซึ่งเป็นการสร้างวัฒนธรรมการเข้าร่วมประชุมอย่างสม่ำเสมอและช่วยให้การประชุม NSC มีความสำคัญมากขึ้นในสายตาของผู้เข้าร่วม
นอกจากนี้ เขาได้แต่งตั้ง Robert Cutler เป็น ที่ปรึกษาพิเศษด้านความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อให้มีบทบาทในการช่วยเหลือประธานาธิบดีในการกำหนดนโยบาย
ตัวของ Cutler ไม่ได้มาแทนที่เลขาธิการบริหารเดิมของ NSC ซึ่งมีหน้าที่ตามกฎหมาย แต่ตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อจัดการกับความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นในรัฐบาลสหรัฐฯ
Robert Cutler (คนซ้าย) ที่มาภาพ: https://etchedinstone.org/32513/uncategorized/robert-cutler/
แม้ว่า Cutler จะเข้ามาดำรงตำแหน่งนี้ แต่เขากลับไม่ได้ยืนยันบทบาทของตนเองหรือของ NSC Staff อย่างชัดเจนในการบริหารจัดการระบบความมั่นคงแห่งชาติ
ในทางปฏิบัติ Cutler ยอมให้ John Foster Dulles รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังคงครอบงำกระบวนการกำหนดนโยบาย และปล่อยให้หน่วยงานต่างๆ ครอบงำการตัดสินใจ ทำให้ความพยายามของ Eisenhower ในการสร้าง NSC ให้เป็นศูนย์กลางการกำหนดนโยบายด้านความมั่นคงยังไม่ประสบผลสำเร็จเต็มที่
อย่างไรก็ตาม NSC Staff ยังคงมีบทบาทเป็นเพียงหน่วยงานสนับสนุนด้านการบริหารเท่านั้น แม้ว่าคณะกรรมาธิการ Hoover จะเสนอว่า NSC Staff ควรมีบทบาทในการพัฒนาเพื่อเสนอทางเลือกนโยบายด้านความมั่นคงให้กับประธานาธิบดี
แต่ Robert Cutler ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดี ได้คัดค้านข้อเสนอนี้ เขาให้เหตุผลว่า การให้ NSC Staff เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดและพัฒนานโยบายจะเป็นการขัดแย้งกับการทำงานระหว่างประธานาธิบดีและคณะรัฐมนตรี
Cutler เชื่อว่า บทบาทของ NSC Staff ควรจำกัดอยู่ที่การสนับสนุนและการบริหารจัดการ เช่น การประสานงานและการกำกับดูแลนโยบายเท่านั้น ไม่ใช่การสร้างนโยบายเอง ทำให้แม้ NSC จะเติบโตขึ้น แต่บทบาทในเชิงสร้างสรรค์และพัฒนาด้านนโยบายยังคงถูกจำกัด
นอกจากการให้การสนับสนุนต่อ NSC โดยตรงแล้ว NSC Staff ยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนคณะกรรมการย่อยของ NSC เช่น Planning Board ซึ่งรับผิดชอบการวางแผนนโยบาย และ Operations Coordination Board ที่ดูแลการปฏิบัติงานตามนโยบาย
ระบบการทำงานนี้มีโครงสร้างที่รัดกุม ซึ่งช่วยเพิ่มความเป็นระเบียบและการบูรณาการในการทำงานของ NSC อย่างไรก็ตาม ความรัดกุมที่เข้มงวดจนเกินไปในระบบดังกล่าวทำให้ขาดความยืดหยุ่นและไม่สามารถจัดการกับปัญหาที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการตัดสินใจที่เด็ดขาดได้
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ระบบนี้ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ ประธานาธิบดี Eisenhower ต้องการให้สมาชิกทุกคนมีความเห็นตรงกันก่อนที่จะมีการตัดสินใจ ส่งผลให้กระบวนการนี้กลายเป็นการหาข้อตกลงที่เกิดจาก "ความเหนื่อยล้า" (agreement by exhaustion) หมายถึง เมื่อผู้เข้าร่วมประชุมยอมรับข้อตกลงหลังจากการพูดคุยหรือโต้แย้งที่ยาวนานและทำให้เหนื่อย
แม้ว่าบางคนอาจจะไม่เห็นด้วยทั้งหมด แต่เพราะเหนื่อยและอยากให้เรื่องจบ จึงยอมรับข้อตกลงเพื่อให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นการประนีประนอมที่ไม่ได้แก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดและมักจะขาดความชัดเจน
โดย Dean Acheson อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้วิจารณ์ว่า NSC มักให้ข้อสรุปที่เป็น "การตกลงกันแบบสีจืด" ที่ไม่ตอบโจทย์ปัญหาซับซ้อน
ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่ NSC Staff ยังขาดวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกล พวกเขายังคงเป็นเพียงตัวแทนของหน่วยงานต่าง ๆ แทนที่จะทำงานเป็นทีมที่มีความสามัคคีและมีอำนาจในการตัดสินใจของตนเอง
Eisenhower เองเริ่มตระหนักถึงความเข้มงวดและความขาดยืดหยุ่นของระบบนี้ในช่วงท้ายของการบริหารงานของเขา และเห็นถึงความจำเป็นในการมีบุคคลที่มีความสามารถสูงและทีมขนาดเล็กที่จะช่วยจัดการระบบความมั่นคงแห่งชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ต่อมาในปี 1960 NSC ถูกตรวจสอบอย่างละเอียดจาก สภาคองเกรส เนื่องจากการทำงานที่ไม่สม่ำเสมอและไม่มีประสิทธิภาพในบางครั้ง วุฒิสมาชิก Henry Jackson และคณะอนุกรรมการด้านนโยบายแห่งชาติ (Subcommittee on National Policy Machinery) ได้จัดการพิจารณาคดีหลายครั้งเพื่อศึกษาการทำงานของ NSC ผลการพิจารณาพบว่า NSC มีบทบาทน้อยมากในการช่วยแก้ไขปัญหาสำคัญๆ ที่ส่งผลต่อความมั่นคงแห่งชาติ
Senator Henry Jackson ที่มาภาพ: https://historylink.org/File/9661
รายงานของอนุกรรมการ วุฒิสมาชิก Jackson ระบุว่า "NSC มีบทบาทเพียงเล็กน้อยในการแก้ปัญหาที่สำคัญ" ซึ่งส่งผลกระทบต่อการวางแนวทางความมั่นคงของประเทศในอนาคต ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่ National War College
Jackson วิจารณ์อย่างรุนแรงว่า "NSC เป็นเหมือนหน้าฉากที่ชี้นำผิดพลาด" ที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าองค์กรนี้มีบทบาทสำคัญในกระบวนการตัดสินใจด้านความมั่นคง ทั้งที่ในความเป็นจริงมันไม่ได้มีอิทธิพลมากเท่าที่ควรจะเป็น
คำวิจารณ์นี้คล้ายคลึงกับที่ Eisenhower เคยมีต่อ NSC ในสมัยของ Truman ซึ่งเขาเคยอธิบายว่า NSC เป็นเพียง "หน่วยงานในเงา" ที่ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับที่จำเป็นต่อการกำหนดนโยบายความมั่นคง
การเปลี่ยนแปลงของ NSC ในยุค John F. Kennedy
John F. Kennedy ที่มาภาพ: https://www.biography.com/political-figures/john-f-kennedy
ต่อมาเมื่อ John F. Kennedy เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เขามีแนวคิดที่แตกต่างจากประธานาธิบดีก่อนหน้าอย่างชัดเจน โดยเขาชอบกระบวนการตัดสินใจแบบไม่เป็นทางการและรวดเร็ว ซึ่งตรงข้ามกับโครงสร้างที่มีความซับซ้อนของ NSC ในยุคก่อน ๆ สิ่งแรกที่เขาทำผ่าน McGeorge Bundy ที่ปรึกษาพิเศษด้านความมั่นคง คือ การยุบคณะกรรมการสำคัญของ NSC เช่น Planning Board และ Operations Coordination Board ที่มีหน้าที่วางแผนและดำเนินการตามนโยบายด้านความมั่นคง
การตัดสินใจครั้งนี้ส่งผลให้โครงสร้างที่เป็นทางการของ NSC ซึ่งเคยทำหน้าที่สำคัญในการกำหนดและบริหารนโยบายถูกลดบทบาทลง ประธานาธิบดี Kennedy เลือกใช้แนวทางการจัดการที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งบางครั้งก็ไม่มีโครงสร้างที่ชัดเจน ส่งผลให้บทบาทของ NSC ลดลงเรื่อย ๆ โดยตัวอย่างที่ชัดเจนคือช่วง วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา ซึ่งเป็นหนึ่งในช่วงวิกฤตที่ร้ายแรงที่สุดของยุค Kennedy แต่ NSC กลับไม่ได้ถูกใช้ในการจัดการวิกฤตนั้น
การตัดสินใจในวิกฤตนี้ถูกโอนไปให้ Executive Committee ซึ่งเป็นคณะเฉพาะกิจที่ Kennedy จัดตั้งขึ้น ประกอบด้วยที่ปรึกษาที่เขาไว้วางใจ บางคนไม่มีประสบการณ์ด้านความมั่นคง แต่กลับมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้แทน
การลดบทบาทของ NSC ในยุค Kennedy แสดงให้เห็นถึงแนวทางการบริหารจัดการที่เน้นความยืดหยุ่นและคล่องตัวมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ NSC กลายเป็นองค์กรที่ไม่มีอิทธิพลเหมือนเดิมในกระบวนการตัดสินใจด้านความมั่นคงแห่งชาติ
แม้ว่าในยุคของ Kennedy โครงสร้างที่เป็นทางการของ NSC จะถูกใช้ประโยชน์น้อยลง แต่ McGeorge Bundy ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของ Kennedy ได้ทำการเปลี่ยนแปลงสำคัญใน NSC Staff สองประการ:
  • 1.
    Bundy กลายเป็นที่ปรึกษาพิเศษด้านความมั่นคงแห่งชาติที่มีบทบาทสำคัญและมีอำนาจเทียบเท่าคณะรัฐมนตรี ทำให้เขามีอิทธิพลในการตัดสินใจเชิงนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศ
  • 2.
    NSC Staff ถูกปรับบทบาทให้ทำงานรับใช้ ประธานาธิบดี Kennedy โดยตรง ไม่เหมือนกับยุคก่อนที่พวกเขาต้องทำงานตามคำสั่งของหน่วยงานกระทรวงต่างๆ Bundy ทำให้ NSC Staff กลายเป็นที่ปรึกษาอิสระ มีอำนาจในการเสนอตัวเลือกเชิงนโยบาย สามารถเข้าถึงข้อมูลจากหน่วยงานราชการอื่น ๆ ตลอดจนการกำกับดูแลการดำเนินนโยบาย
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้น ทำให้ NSC Staff ได้รับอำนาจในการตัดสินใจอย่างเป็นอิสระและทำงานใกล้ชิดกับประธานาธิบดีมากขึ้น ในอดีตเจ้าหน้าที่ของ NSC Staff จะถูกแต่งตั้งโดยหน่วยงานต่าง ๆ และทำงานตามทิศทางของกระทรวง แต่ในยุคของที่ปรึกษาด้านความมั่นคงอย่าง Bundy ทำให้เจ้าหน้าที่ NSC กลายเป็นที่ปรึกษาที่มีความสามารถในการเสนอนโยบายให้กับประธานาธิบดีโดยตรง
Robert Komer ที่มาภาพ: https://www.digitalcommonwealth.org/search/commonwealth-oai:dv141p25z
ตามคำกล่าวของ Robert Komer หนึ่งในสมาชิกของ NSC Staff ในสมัยนั้น เขาเล่าว่า Kennedy ทำให้ NSC Staff มีความชัดเจนว่า เป็น "คนของประธานาธิบดี" ซึ่งทำงานโดยตรงและสามารถติดต่อประธานาธิบดีได้ทันที
จุดนี้ทำให้ทีมงาน NSC มีอำนาจและความสามารถในการดำเนินงานตามความต้องการของประธานาธิบดีอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การทำงานของ NSC
การเปลี่ยนแปลงบทบาทของ NSC จาก Bundy ถึง Lyndon B. Johnson
ประธานาธิบดี Lyndon B. Johnson ที่มาภาพ: https://www.biography.com/political-figures/lyndon-b-johnson
ภายใต้การนำของ McGeorge Bundy ทีมงาน NSC มีบทบาทสำคัญในการพัฒนานโยบายและการสนับสนุนเชิงนโยบาย การทำงานของทีม Bundy วางรากฐานให้กับการทำงานของ NSC Staff ในยุคต่อมา อย่างไรก็ตาม บทบาทด้านการประสานงานและการบริหารนโยบายของ NSC กลับถูกลดไปพร้อมกับการที่ NSC ถูกมองข้ามอย่างมีนัยสำคัญ
การเปลี่ยนแปลงนี้ยิ่งเห็นชัดเจนในยุคของ Lyndon Johnson ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่ระบบ NSC ตกต่ำที่สุด Johnson เลือกที่จะไม่ใช้ระบบของ NSC อย่างเป็นทางการ และแทนที่ระบบดังกล่าวด้วยการจัดตั้ง Tuesday Luncheon Group ซึ่งเป็นคณะเฉพาะกิจสำหรับการจัดการประเด็นความมั่นคงที่สำคัญที่สุดของเขา เช่น สงครามเวียดนาม
แม้ว่า Johnson จะสร้างคณะกรรมการย่อยขึ้นมา เช่น Senior Interdepartmental Group (SIG) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน เพื่อประสานงานกิจกรรมของกลุ่มระหว่างหน่วยงานในระดับล่างและจัดเตรียมประเด็นต่าง ๆ เพื่อให้ NSC พิจารณา แต่เนื่องจาก NSC ไม่ได้จัดประชุมอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้ SIG ไม่มีบทบาทเช่นเดียวกัน
การสร้าง Senior Interdepartmental Group (SIG) ในยุคของประธานาธิบดี Lyndon Johnson มีความสำคัญด้วยเหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดการด้านความมั่นคงโดยตรงในสมัยนั้น แต่มีผลกระทบสำคัญในระยะยาว อาทิ
  • 1.
    การสร้างคณะกรรมการระดับสูงแบบ Mini-NSC: SIG ทำหน้าที่เหมือนเป็น "Mini-NSC" ที่เข้ามารับภาระงานหลายส่วนที่ NSC ควรจะมีบทบาทในการดำเนินงาน หน้าที่นี้ถูกส่งต่อไปยังรัฐบาลถัดทๆ ไป โดยกลายเป็นคณะกรรมการระดับสูงที่ทำงานแทน NSC ในบางกรณี
  • 2.
    การครอบงำของกระทรวงการต่างประเทศ: บทบาทของกระทรวงการต่างประเทศในกระบวนการของ NSC กลับมาเด่นชัดขึ้นจากการสร้างกลุ่ม SIG ซึ่งเป็นสิ่งที่เคยจางหายไปตั้งแต่ยุคของประธานาธิบดี Eisenhower
ตามที่ Henry Kissinger ได้กล่าวไว้ว่า สำหรับกระทรวงการต่างประเทศ สิ่งนี้เป็น "ชัยชนะทางราชการ" ที่สำคัญ แม้ว่าความสำเร็จนี้จะดูไม่ค่อยมีเนื้อหาสาระมากนัก แต่เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความสำคัญของกระทรวงในการกำหนดนโยบายด้านความมั่นคง
ถึงแม้ว่าการสร้าง SIG จะเป็นการฟื้นฟูบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศในเชิงสัญลักษณ์ แต่กลับกลายเป็นภาระใหญ่ในยุคของ Nixon เพราะบทบาทที่เพิ่มขึ้นนี้ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานต่างๆ ใน NSC และทำให้เกิดปัญหาด้านการบริหารจัดการในยุคนั้น
ในยุคของประธานาธิบดี Lyndon Johnson แม้ว่า NSC จะไม่ถูกใช้งานในเชิงตัดสินใจที่สำคัญ แต่ Walt Rostow ที่ปรึกษาพิเศษด้านความมั่นคงแห่งชาติ ยังคงรักษาบทบาทสำคัญไว้ เขายังคงดำเนินการตามแนวทางของ McGeorge Bundy โดยยกระดับตำแหน่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติให้เป็นโฆษกของรัฐบาล
Walt Rostow ที่มาภาพ: https://jacobin.com/2023/06/walt-rostow-development-theory-capitalism-anti-communism-violence
ขณะที่ตัวของ Rostow เองกลายเป็นบุคคลที่มีบทบาทในฐานะโฆษกของฝ่ายบริหาร เพื่อสื่อสารแนวคิดและทิศทางนโยบายต่อสาธารณะ
ขณะเดียวกัน NSC Staff ยังคงมีความเข้มแข็งและทำหน้าที่เป็นแหล่งความคิดและข้อเสนอแนะสำหรับประธานาธิบดี แต่พวกเขากลับไม่มีบทบาทในการบริหารหรือประสานงานของ NSC มากนัก เนื่องจาก NSC ในยุค Johnson ไม่ได้ถูกใช้งานอย่างจริงจัง การตัดสินใจและการดำเนินงานส่วนใหญ่ถูกโอนให้คณะกรรมการพิเศษหรือกลุ่มเฉพาะกิจ เช่น Tuesday Luncheon Group
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงภาพใหญ่ของบทบาท NSC ตั้งแต่ยุคของประธานาธิบดี Truman จนถึง Lyndon Johnson แต่เรื่องราวสำคัญยังไม่จบเพียงเท่านี้
ในตอนต่อไป เราจะพาคุณเจาะลึกถึงบทบาทและการทำงานของ NSC ในแต่ละยุคประธานาธิบดี ตั้งแต่ Truman ไปจนถึง Johnson โดยจะแบ่งออกเป็น 4 ตอนย่อย (3.1 - 3.4) ที่จะนำเสนอให้คุณเห็นรายละเอียดเชิงลึกมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่สำคัญหรือการเปลี่ยนแปลงของ NSC ที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคสมัย ที่หมุนตามไปพร้อมกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ
แหล่งที่มา
John Tower, Edmund Muskie, and Brent Scowcroft, Report of the President’s Special Review Board (Washington, D.C.: U.S. Government Printing Office, 1987)
The National Security Act of 1947,” in Inderfurth and Johnson
Ferdinand Eberstadt, “Post War Organization for National Security,” in Inderfurth and Johnson,
Barry Rubin, Secrets of State (New York: Oxford University Press, 1985)
Zbigniew Brzezinski, “The NSC’s Midlife Crisis,” in Foreign Policy 69
John Allen Williams, “The National Security Establishment: Institutional Framework for Policymaking,” in Stephen J. Cimbala, ed., National Security Strategy: Choices and Limits (New York: Praeger Publishers, 1984)
Sidney W. Souers, “Policy Formulation for National Security,” in Inderfurth and Johnson
I. M. Destler, Leslie H. Gelb, and Anthony Lake, Our Own Worst Enemy: The Unmaking of American Foreign Policy (New York, Simon and Schuster, 1984)
Robert Cutler, “The Development of the National Security Council,” in Inderfurth and Johnson.
Stanley L. Falk, “The NSC Under Truman and Eisenhower,” in Inderfurth and Johnson.
“Organizing for National Security,” in Inderfurth and Johnson. This report of the Jackson Subcommittee has been described as the most comprehensive examination of the NSC system prior to the Tower Commission.
McGeorge Bundy, “Letter to the Jackson Subcommittee,” in Inderfurth and Johnson.
โฆษณา