24 ก.ย. 2024 เวลา 13:00 • ประวัติศาสตร์

สภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ตอนที่ 3.1

การบริหารงานภายใต้ประธานาธิบดี Harry S. Truman
การสนับสนุนการก่อตั้ง NSC มีจุดประสงค์สำคัญในช่วงแรก คือ เพื่อช่วยให้เสียงของกองทัพสหรัฐฯ มีบทบาทในการกำหนดนโยบายในช่วงสันติภาพ และเป็นพื้นที่สำคัญในการกำหนดนโยบายเพื่อเสริมสร้างการตัดสินใจของประธานาธิบดี เนื่องจากสมาชิกสภาคองเกรสบางคนสงสัยในความสามารถของประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน (Harry S. Truman) ในด้านการต่างประเทศ
เมื่อประธานาธิบดีทรูแมนก่อตั้ง NSC ขึ้น เขาได้แต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (Dean Archeson) เป็นสมาชิกซึ่งมีอำนาจสูงสุดในสภาความมั่นคงแห่งชาติ และทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมแทน เมื่อเขาไม่อยู่ในที่ประชุม
โดยคาดหวังให้กระทรวงการต่างประเทศมีบทบาทหลักในการกำหนดนโยบายและให้ข้อเสนอแนะสำคัญ การตัดสินใจดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหม ที่คาดหวังให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะได้รับสิทธิ์เป็นประธาน ในกรณีที่ประธานาธิบดีไม่อยู่ในที่ประชุม และยังได้เสนอให้ตั้งสำนักงานของ NSC ไว้ที่เพนตากอน
คลาร์ก คลิฟฟอร์ด (Clark Clifford) ที่ปรึกษาพิเศษของทำเนียบขาว สามารถยับยั้งความพยายามของเจมส์ ฟอร์เรสทอล (James Forrestal) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในความพยายามควบคุม NSC
Clark Clifford ที่มาของภาพ https://historica.fandom.com/wiki/Clark_Clifford
ขั้นตอนการดำเนินงานของ NSC ที่ถูกกำหนดขึ้นในสมัยทรูแมน ได้สร้างรูปแบบระบบราชการพื้นฐานที่ดำเนินต่อไปจนถึงสมัยประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ (Eisenhower) ซึ่งประกอบด้วย
  • การร่างเอกสารของ NSC โดยทีมวางแผนนโยบายของกระทรวงการต่างประเทศเป็นหลัก
  • การอภิปรายในที่ประชุมของ NSC
  • การอนุมัติโดยประธานาธิบดี ซึ่งส่งผลให้เกิด "การดำเนินการของ NSC" (NSC Action)
  • การเผยแพร่เอกสารไปยังส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีแรก ๆ NSC ประสบปัญหาด้านการจัดบุคลากรที่ไม่เป็นระบบ การประชุมที่ไม่สม่ำเสมอ และบางครั้งถูกละเลยไปโดยสิ้นเชิง เลขาธิการบริหารของสภาไม่มีอำนาจหรืออิทธิพลที่แท้จริง นอกเหนือจากการจัดการกระบวนการของทีมงาน
ประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน ตระหนักถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างสภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในปี 1949 เขาได้สั่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้าร่วมการประชุม NSC ทุกครั้ง
นอกจากนี้ สภาคองเกรสตอบสนองด้วยการแก้ไข กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติปี 1947 โดยถอดรัฐมนตรีสามเหล่าทัพออกจากสมาชิกภาพของสภา และเพิ่มรองประธานาธิบดีเป็นสมาชิกถาวร ซึ่งมีอันดับรองจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงประธานคณะเสนาธิการร่วม (Joint Chiefs of Staff) เป็นสมาชิกที่ปรึกษาตามกฎหมายของสภาความมั่นคงแห่งชาติ
นอกจากนี้ NSC ยังได้จัดตั้ง คณะกรรมการถาวร (NSC standing committees) เพื่อจัดการกับประเด็นที่ละเอียดอ่อน เช่น ความมั่นคงภายในประเทศ โดยแบ่งทีมงานของ NSC ออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
  • เลขาธิการบริหารและทีมงาน (the Executive Secretary and Staff) รับผิดชอบการจัดการเอกสารและข้อมูล
  • ทีมงานที่ปรึกษาพิเศษ ประกอบด้วยบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ทำหน้าที่พัฒนาการศึกษาและข้อเสนอแนะด้านนโยบาย โดยมีผู้ประสานงานจากกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวหน้า
  • ที่ปรึกษาแก่เลขาธิการบริหาร (the Consultants to the Executive Secretary) ทำหน้าที่เป็นนักวางแผนหลักด้านนโยบายและการปฏิบัติการสำหรับแต่ละกระทรวงหรือหน่วยงานที่มีตัวแทนใน NSC
ในปี 1949 สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการเมืองระหว่างประเทศ มีการจัดตั้งองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางทหารกับยุโรป การให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยุโรปเริ่มขึ้นเพื่อต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์
การก่อตั้ง NATO สมัย Harry S. Truman ที่มาภาพ https://www.history.com/speeches/truman-signs-the-north-atlantic-treaty
ในขณะเดียวกัน สหภาพโซเวียตได้ทดลองระเบิดปรมาณู เป็นครั้งแรก สร้างความตื่นตระหนกให้กับประเทศโลกเสรี และเหตุการณ์ที่พรรคคอมมิวนิสต์ได้ยึดครองประเทศจีนส่งผลให้เกิดเปลี่ยนแปลงสมดุลอำนาจในเอเชีย
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ เห็นโอกาสในการทบทวน นโยบายยุทธศาสตร์และโครงการทางการทหารของประเทศ แม้จะต้องเจอการคัดค้านจากลูอิส จอห์นสัน (Louis Arthur Johnson) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกลุ่มพันธมิตรของเขาในสำนักงบประมาณ
Louis Arthur Johnson ที่มาภาพ https://www.meherbabatravels.com/personalities/col-louis-a-johnson
ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงขั้นตอนที่ซับซ้อนของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) กระทรวงการต่างประเทศ ได้จัดตั้งคณะกรรมการระหว่างหน่วยงานเฉพาะกิจ (interdepartmental committee) โดยมีพอล นิตซ์ (Paul Nitze) หัวหน้าฝ่ายวางแผนนโยบาย (Head of Policy Planning) เพื่อจัดทำรายงาน NSC-68 ส่งตรงถึงประธานาธิบดีทรูแมนในเดือนกุมภาพันธ์ 1950
Paul Nitze ที่มาภาพ https://en.wikipedia.org/wiki/Paul_Nitze
ประธานาธิบดีทรูแมนได้ส่งรายงานนี้ไปยัง NSC เพื่อวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย คณะกรรมการของ NSC ได้รับมอบหมายให้พิจารณาค่าใช้จ่ายและผลกระทบของสถานการณ์ในรายงาน NSC-68 แต่ก่อนที่จะสามารถสรุปผล สงครามเกาหลี ก็ปะทุขึ้นในเดือนมิถุนายน 1950
เมื่อสงครามเกาหลีปะทุขึ้นในปี 1950 ทำให้ประธานาธิบดีทรูแมนต้องปรับเปลี่ยนการทำงานของ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) อย่างเร่งด่วน จากเดิมที่การประชุมของ NSC ไม่สม่ำเสมอและขาดประสิทธิภาพ ทรูแมนได้กำหนดให้ NSC ประชุมทุกวันพฤหัสบดี เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที
ในช่วงของสงครามเกาหลี มีการประชุมจำนวน 71 ครั้ง ทรูแมนเข้าร่วมประชุมด้วยตนเองจำนวน 64 ครั้ง แสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่เขาให้กับ NSC ในการกำหนดนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ โดยการมีส่วนร่วมโดยตรงของประธานาธิบดี ช่วยเสริมสร้างการตัดสินใจที่รวดเร็วและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของประเทศ
ทรูแมนยังได้ จำกัดผู้เข้าร่วมประชุม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการหารือ ผู้เข้าร่วมประกอบด้วย:
  • สมาชิกตามกฎหมายของ NSC ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหม
  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
  • ประธานคณะเสนาธิการร่วม (Chairman of the JCS)
  • ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลาง (Director of Central Intelligence)
  • ที่ปรึกษาพิเศษ: เอเวอเรล แฮร์ริแมน (Averell Harriman) และ ซิดนีย์ ซูเออร์ส (Sidney Souers)
  • เลขาธิการบริหารของ NSC
และเมื่อสงครามเย็นทวีความรุนแรงขึ้น ประธานาธิบดีทรูแมนตระหนักถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างโครงสร้างของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) เพื่อให้ทันกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ได้แก่
  • การแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานการระดมสรรพกำลังการป้องกันประเทศ (Office of Defense Mobilization) ซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้น ให้เข้าร่วมการประชุม NSC และเป็นสมาชิกของทีมงานอาวุโส
  • การประกาศใช้ กฎหมาย Mutual Security Act ปี 1951 และเอเวอเรล แฮร์ริแมน (William Averell Harriman) ผู้อำนวยการด้านความมั่นคงร่วม (Director for Mutual Security) ได้กลายเป็นสมาชิกตามกฎหมายของ NSC พร้อมสิทธิ์ในการแต่งตั้งสมาชิกทีมงานอาวุโส
  • ให้สำนักงบประมาณ (Bureau of the Budget) ส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุมของทีมงานอาวุโสบางครั้ง เพื่อเสริมสร้างการประสานงานด้านงบประมาณ
นอกจากนี้ ในปี 1951 มีการจัดตั้ง คณะกรรมการยุทธศาสตร์ทางจิตวิทยา (The Psychological Strategy Board - PSB) ประกอบด้วยผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศและกลาโหม และผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองกลาง เพื่อประสานงานการตอบโต้ต่อยุทธวิธีที่ไม่ปกติของสหภาพโซเวียต
PSB ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ NSC ในการจัดการ การตอบโต้ทางจิตวิทยาอย่างลับ ๆ ของสหรัฐฯ แม้ว่าประธานาธิบดีทรูแมนจะปฏิเสธความรับผิดชอบต่อ "ปฏิบัติการลับ" (Cloak and Dagger operations) ภายหลังการเกษียณ แต่ในช่วงดำรงตำแหน่งของเขา การปฏิบัติการข่าวกรองลับเพื่อสนับสนุนนโยบายต่างประเทศ ได้ถูกดำเนินการอย่างกว้างขวาง
การดำเนินการแรกของ NSC (NSC 1/1) ได้อนุมัติการปฏิบัติการลับในการเลือกตั้งของอิตาลี โดยมีการจัดตั้งรูปแบบอย่างเป็นทางการของปฏิบัติการลับถูกกำหนดไว้ในเอกสาร NSC-4 ในเดือนธันวาคม 1947 และ NSC 10/2 ในเดือนมิถุนายน 1948
ในปีสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งของ ประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมน สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อน สภาความมั่นคงแห่งชาติ (NSC) ซึ่งเคยเป็นเวทีสำคัญในการกำหนดนโยบายความมั่นคง เริ่มมีบทบาทที่ลดลง การประชุมระหว่างสภาและทีมงานอาวุโสเกิดขึ้นน้อยลง กิจกรรมและความเคลื่อนไหวของ NSC ซบเซาอย่างเห็นได้ชัด
แผนการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่ถูกวางไว้ในเอกสารของ NSC หลายฉบับ ไม่สามารถดำเนินการจนเสร็จสิ้นก่อนที่การบริหารงานของทรูแมนจะสิ้นสุดลง ส่งผลให้ความพยายามในการสร้างนโยบายและยุทธศาสตร์ใหม่ ๆ ถูกหยุดชะงัก
ช่วงเวลานี้สะท้อนถึง ความรู้สึกหงุดหงิดและท้อแท้ของทรูแมน ในฐานะประธานาธิบดีที่กำลังจะหมดวาระ และต้องเผชิญกับ สงครามที่ยืดเยื้อและไม่มีทางออกที่ชัดเจน สงครามเกาหลีที่ยังคงดำเนินอยู่ทำให้ทรูแมนรู้สึกเหมือนเป็น "เป็ดง่อย" ในทางการเมือง ซึ่งหมายถึงผู้นำที่ขาดอำนาจและไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตอนต่อไปเตรียมพบกับการบริหารงานของประธานาธิบดี Eisenhower ที่จะมารื้อฟื้นบทบาทของสภาความมั่นคงแห่งชาติให้มีพัฒนาการที่สำคัญอีกครั้ง
ทั้งนี้ ทุกท่านสามารถติดตามผลงานของเราที่ผ่านมาได้ที่
ฝากทุกท่านเข้าเยี่ยมชมเพจ Facebook ของเราตามลิ้งค์ด้านล่างด้วยครับ
โฆษณา