27 ก.ย. เวลา 00:04 • ประวัติศาสตร์
จีน

ประเทศจีน ตอนที่ 4 จักรพรรดิที่ครองราชย์ยาวนานที่สุด

เนื่องจากเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของประเทศจีนนั้นยาวมากๆ จึงจะขอหยิบยกเฉพาะเรื่องราวจุดสำคัญๆ ที่มีผลพวงสืบต่อเนื่องกันมาในด้านขนบธรรมเนียม ประพณี วัฒนธรรม และจิตวิญญาณของผู้คนในประเทศจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเมื่อจบจากเรื่องราวของ “ ฉินฉื่อหวงตี้“ หรือที่คนไทยรู้จักเรียกกันว่า ”จิ๋นซีฮ่องเต้“ ประเทศจีนก็ได้มีการผลัดใบ เปลี่ยนแปลงไปอีกหลายฤดูกาลจนกระทั้งถึง
ยุคสมัยของ ” จักรพรรดิคังซี“ ซึ่งเป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 2 ของราชวงศ์ชิง (ราชวงศ์แมนจู) เข้ามาปกครองแผ่นดินจีน โดยที่จักรพรรดิพระองค์ที่ 4 ของแมนจูในขณะนั้น ได้เป็นผู้สถาปนาแต่งตั้ง “ราชวงศ์ชิง” นี้ขึ้นมาเพื่อให้ปกครองแผ่นดินจีนทั้งหมด อันประกอบด้วยหลากหลายชนเผ่ารวมทั้งชาวฮั่น
จักรพรรดิคังซีเมื่อเยาวัย
และผมเชื่อมั่นว่า คนส่วนใหญ่ที่เคยศึกษาประวัติศาสตร์จีน จะบอกว่ารู้จัก “จักรพรรดิคังซี“ อยู่แล้ว ยิ่งถ้าเรียนรู้จากการดูหนังด้วย จะทราบว่า “ ทรงเป็นจักรพรรดิที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดคือ 61 ปี ในประวัติศาสตร์ 5000 ปี ” ของจีนเลยทีเดียว
ซึ่งใน 61 ปีนี้ แน่นอนว่า ถ้าจะสร้างหนังสักเรื่องหนึ่งให้ครอบคลุมพระประวัติทั้งหมดเลยของพระองค์คงจะลำบากมาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็น “จักรพรรดิคังซี” ในสมัยวัยเยาว์ และการที่พระองค์จะก้าวขึ้นสู่บังลังก์ จนกระทั่งสามารถรวบรวมอำนาจไว้ให้อยู่ที่ศูนย์กลางในพระราชวังปักกิ่งได้สำเร็จ
1
อย่างเช่น “หนังศึกสายเลือด” ซึ่งเคยโด่งดังกันมากในอดีตเมื่อหลาย 10 ปีที่แล้วก็จะพูดถึง “จักรพรรดิคังซี” ในช่วงบั้นปลายชีวิตหรือปัจฉิมวัยของพระองค์ เป็นช่วงที่พระโอรสของพระองค์นั้นเกิดการแย่งชิงบัลลังก์กันเอง เพื่อที่จะได้ครองราชย์ต่อจากพระองค์
1
หนัง "ศึกสายเลือด" (The Dynasty) เวอร์ชั่นปี 1980
สำหรับตอนนี้เรามาเริ่มโดยการไล่เรียงพระประวัติของพระองค์กันว่า ในช่วงเวลา 61 ปีแห่งการครองราชย์ของ “จักรพรรดิคังซี“ ซึ่งครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุ 7 ชันษา เป็นอย่างไรกันบ้าง
โดย “จักรพรรดิคังซี” ทรงเป็นพระราชโอรส พระองค์ที่ 3 ของ “พระจักรพรรดิซุ่นจื้อ” พระองค์ทรงครองราชย์ในช่วงที่แมนจูเข้าด่านมา คำว่า “เข้าด่าน“ นั้นมีความหมายว่า เข้ามาปกครองแผ่นดินจีนทั้งหมดด้วย และบางตำราก็ว่า ”พระจักรพรรดิซุ่นจื้อ“ หรือว่า ”พระชนกของจักรพรรดิคังซี“ ทรงพระประชวรเป็นโรคฝีดาษแล้วพระองค์ก็เสด็จสวรรคต แต่บางตำราก็ว่าพระองค์นั้น ได้หันหน้าเข้าหาผ้าเหลืองแล้วก็ไปบวช เป็นพระภิกษุด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
ซึ่งถูกนำมาจากพระลามะชาวทิเบตในราชสำนักต้าชิง
ณ เวลานั้น ”องค์จักรพรรดิคังซี“ ทรงพระชนมายุเพียง 7 ขวบเท่านั้น หมายความว่า ยังคงเป็น ” ยุวจักรพรรดิ“ ซึ่งในช่วงนั้น ”พระชนกคือ จักรพรรดิซุ่นจื้อ“ ได้มีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการไว้ทั้งหมด 4 คนด้วยกัน มีรายชื่อดังนี้ คนที่หนึ่ง “สั่วหนี” ก็จะเป็นแม่ทัพของกองธงขาว ซึ่งราชวงศ์ชิงมีกองทัพทั้งหมด 8 กองธงด้วยกัน ถ้าถามว่า ทำไมต้องมี 8 กองธง คำตอบคือ
พระจักรพรรดิซุ่นจื้อ
เพราะสมัยเดิมนั้น ชาวแมนจูเองก็จะมีการแตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่าเหมือนกัน จนกระทั่งท้ายที่สุดก็มีการเอาชนเผ่าต่างๆ นี้มารวมตัวกันแล้ว จัดให้มีกระบวนทัพใหม่ทั้งหมด เป็นขบวนธง ก็จะได้แก่ ธงสีขาว สีเหลือง สีแดง สีน้ำเงิน แล้วก็จะมีขาวขอบ แดงขอบ เหลืองขอบ น้ำเงินขอบ รวมเป็น 8 กองธงด้วยกัน สำหรับ “สัวหนี” เป็นแม่ทัพกองธงขาวซึ่งถือว่า เป็นแม่ทัพที่บุกเบิก ราชวงศ์ชิงในช่วงเปิดแผ่นดิน ” เข้าด่าน“ มาด้วยกัน
คนที่สองคือ ”เอ้อปี้หลง“ คนที่สามคือ ”ซูเค่อซ่าฮา“ แล้วก็คนที่สี่คือ “เอ๋าไป้” รวมเป็น 4 ผู้สำเร็จราชการ หรือเรียกกันว่า”4 องคมนตรี” และแน่นอนที่สุด หลายๆ ท่านที่ดูหนังหรืออ่านนิยายของกิมย้ง เรื่อง ”อุ้ยเสี่ยวป้อ“ ก็จะรู้จักตัวละครหลายๆ ตัวโดยเฉพาะ ”เอ๋าไป้“ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ สำหรับ “องค์คังซี” แน่นอนว่าการเป็น “ยุวจักรพรรดิ” นั้น ทำให้การตัดสินใจ การใช้พระราชอำนาจ คงเป็นไปในแบบที่ไม่ง่ายนัก จนกระทั่งพระองค์ มีพระชนมายุได้ 13 ชันษา
1
กองทัพทั้งหมด 8 กองธง
ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว ผู้สำเร็จราชการ 3 คน อันได้แก่ “สัวหนี , เอ้อปี้หลง , ซูเค่อซ่าฮา” นั้น มีอายุมาก ชราภาพกันแล้ว แต่ก็มีผู้สำเร็จราชการเพียง หนึ่ง คนมีชื่อว่า “เอ๋าไป้” มีความมักใหญ่ใฝ่สูง และต้องการที่จะรั้งเอาอำนาจของพระจักรพรรดิไว้กับตัวเอง จนกระทั่งในที่สุดแล้ว “องค์คังซี” จึงจำเป็นต้องมีปฏิบัติการเพื่อที่จะรวบอำนาจของพระองค์กลับคืนมา และสามารถเข้าจับกุมตัว “เอ๋าไป้” ไว้ได้สำเร็จ
ซึ่ง ณ เวลานั้น ต้องขอบอกว่า.. บุคคลที่มีคุณูปการเป็นอย่างยิ่งต่อพัฒนาการในเชิงการใช้พระราชอำนาจของ“จักรพรรดิคังซี” ก็คือ “พระนางเสี้ยวจวงเหวิน” ซึ่งถือว่า.. มีศักดิ์เป็นย่าขององค์จักรพรรดิคังซีนั่นเอง โดยไทเฮาเสี้ยวจวงเหวินพระองค์นี้ แท้จริงแล้ว พระองค์ทรงเป็นชาวมองโกลที่ถูกแต่งงานมาตามธรรมเนียมประเพณีของพวกแมนจู พระองค์ทรงมีอุปนิสัยที่กล่าวกันว่า “ ห้าวหาญเยี่ยงชาย “ และต้องการที่จะปกป้องราชบัลลังค์ของลูกก็คือ ” จักรพรรดิซุ่นจื้อและหลานก็คือ จักรพรรดิคังซี “
1
นอกเหนือไปจากนี้ “องค์ไทเฮาเสี้ยวจวงเหวิน” ยังถือได้ว่า.. เป็นผู้ที่ให้คำวินิจฉัย คำแนะนำต่างๆ แก่ “องค์จักรพรรดิคังซี” ตลอดในรัชกาลถึง 26 ปีด้วยกัน โดยที่องค์จักรพรรดิคังซีนั้น ภารกิจแรกๆ ต้องยอมรับว่า ช่วงที่เป็นยุวจักรพรรดิ และเริ่มต้นเข้ามากระชับอำนาจ ในช่วงปีแรก แผ่นดินของแมนจูยังถือว่า.. ”ไม่เป็นปึกแผ่น” คำว่า.. ไม่เป็นปึกแผ่นนั้น เพราะมีการต่อต้านจากชาวฮั่นเองก็ดี มีการแข็งข้อจากชาวมองโกทางตอนเหนือก็ดี และที่สำคัญมากๆ ก็คือการแข็งข้อของอ๋อง 3 คนในพื้นที่ต่างๆของจีน
องค์ไทเฮาเสี้ยวจวงเหวิน และ เอ๋าไป้
ถามว่าองค์ 3 คนนี้เป็นใคร เดียวเราจะมากล่าวถึงในภายหลัง ต้องยอมรับว่า.. ช่วงที่กองทัพแมนจูกำลังจะบุกเข้ามาที่แผ่นดินจีนในช่วงปลายราชวงศ์หมิงเนี่ย จะมีแม่ทัพหมิงหลายคนด้วยกันที่เริ่มต้นจะแปรพักตร์ แล้วก็เปิดพื้นที่ของตัวเองให้ชาวแมนจูนั้น รุกเข้ามาสู่แผ่นดินจีนกันได้ หนึ่ง ในนั้นก็เคยถูกสร้างเป็นหนังอยู่หลายครั้งมีชื่อว่า “อู๋ ซานกุ้ย” เป็นแม่ทัพทางตอนเหนือดูแลด่านที่มีชื่อว่า “ด่านซันไห่กวน” เป็นด่านหน้าปากประตู ซึ่งจะทำให้กองทัพแมนจูนั้นบุกเข้ามายังพื้นที่ต้าหมิงได้โดยง่าย
หลังจากที่ ”ราชวงศ์ชิง“ ได้ลงหลักปักฐานอำนาจในพื้นที่แผ่นดินจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ”อู๋ ซานกุ้ย“ ผู้นี้ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น ”ผิงซีอ๋อง“ (เจ้าฟ้าปราบประจิม) แต่ว่าจะต้องเดินทางไปปกครองพื้นที่มณฑลยูนนาน ก็คือทางตะวันตกเฉียงใต้ของแผ่นดินจีนด้วย โดยมีข้อแม้ 2 ข้อคือ ข้อที่ 1 จะต้องส่งลูกชายคนโตที่มีชื่อว่า ”อู่อิงสง“ เข้ามาเป็นตัวประกันในกรุงปักกิ่ง เอาง่ายๆ ก็คือ ถ้า ”อู๋ ซานกุ้ย“ คิดไม่ซื่อ ต้องการก่อกบฏล่ะก็ ลูกชาย ”อู่อิงสง“ จะเป็นคนแรกที่ต้องตาย
3
ภาพแผนที่ด่านซันไห่กวน และ อู๋ ซานกุ้ย
ข้อที่ 2 ”อู๋ ซานกุ้ย“ ห้ามกลับเข้ากรุงปักกิ่งตลอดชีวิต โดยต้องการที่จะรักษาระยะห่างระหว่างกองทัพของ “อู๋ ซานกุ้ย” ซึ่งเป็นชาวฮั่น กับราชสำนักที่ปักกิ่งเอาไว้ด้วย นอกเหนือไปจากนี้ยังมีอีก 2 คน ที่ต้องเจอลักษณะเดียวกัน ได้แก่ “เกิ่นจินจง และซ่างเข่อสี่ ” ทั้ง 3 คนนี้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นอ๋องทั้ง 3 คน ปกครองพื้นที่ที่มีความสำคัญมาก และเป็นพื้นที่อิสระพอสมควร ทางราชสำนักชิงจำเป็นต้องมีการส่งงบประมาณจำนวนมากมายมหาศาลให้กับอ๋องทั้ง 3 คน
1
เพราะถือได้ว่า.. ในช่วงต้นของราชวงศ์ชิงนั้น สถานการณ์ทางการเมืองยังไม่มีความมั่นคง ยุคต้นสมัยรัชกาลของคังซี ส่วนนึงเลยก็คือ จำเป็นต้องมีการรวบกระชับอำนาจ และมีการกดดันกันไปมาระหว่างอ๋องทั้ง 3 กับราชสำนักแมนจู จนในที่สุด “จักรพรรดิคังซี” ซึ่งในสมัยนั้นถือว่ายังมีอายุน้อย คือยังหนุ่มมาก แต่สามารถที่จะกำราบอ๋องทั้ง 3 คนได้เป็นผลสำเร็จ และควบคุมแผ่นดินจีนได้ทั้งหมดอย่างสมบูรณ์
โดยไม่จำเป็นต้องมีอ๋องชาวฮั่นอีกต่อไป แต่หลังจากนั้นเรื่องราวไม่จบลง เพราะว่า มีอดีตแม่ทัพต้าหมิงบางคนเริ่มต้นที่จะมีการตั้งฐานอำนาจในพื้นที่ต่างๆ หนึ่งในนั้นก็คือ ”เจิงจิง“ คนผู้นี้ เป็นหลานของ ”เจิงเฉิงกง“ ซึ่งก็คือ.. แม่ทัพเรือที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ต้าหมิง ได้ไปยึดพื้นที่ “เกาะไต้หวัน” เอาไว้ก็คือใกล้กับ “มณฑลฝูเจี้ยน” เพื่อต้องการที่จะลงหลักปักฐาน พร้อมกับต้องการที่จะรวบรวมกำลังทหาร และกลับมาโจมตีปลดแอกแผ่นดินจีนออกจากราชวงศ์ชิงอีกครั้งหนึ่งด้วย
เจิงเฉิงกง
โดยในเวลานั้น.. “จักรพรรดิคังซี” เล็งเห็นแล้วว่า.. หากปล่อยให้“ไต้หวัน” นั้น มีเอกราชต่อไป โดยไม่กำราบให้สิ้นซาก ท้ายที่สุดอาจเป็นภัยร้ายแรงในภายหน้าได้ จึงจำเป็นต้องส่งคนลงไปปราบ “กบฏเจิงจิง” ในพื้นที่ไต้หวัน แต่ปัญหาของทหารต้าชิง คือ ทหารที่มาจากทางเหนือไม่สามารถที่จะรบทางเรือได้ ซึ่งการส่งทหารบกก็คือ ทหารต้าชิงลงใต้ไปยังมณฑลฝูเจี้ยนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย แม้แต่ครั้งเดียว
จนในที่สุด ” จักรพรรดิคังซี“ มีการผ่อนปรน 1 นโยบายสำคัญ คือการเปิดโอกาสให้ชาวฮั่น มาเป็นแม่ทัพได้ และก็จำเป็นต้องมีการไปติดต่อกับแม่ทัพเรือคนหนึ่ง เป็นแม่ทัพชาวฮั่น และอยู่ในพื้นที่ฝูเจี้ยนซึ่งมีชื่อว่า ”ซื่อหลาง“ ซึ่งแม่ทัพซื่อหลางนั้น ได้เห็นน้ำใจของ ”จักรพรรดิคังซี“ ในลักษณะที่เป็นถึงองค์จักรพรรดิ แม้จะเป็นต่างด้าว เป็นชาวแมนจูก็ตาม แต่มีความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจข้าราชบริพารซึ่งเป็นชาวฮั่นไม่น้อย
1
จึงตกลงตัดสินใจที่จะไปเป็นแม่ทัพเรือช่วยในการกวาดล้าง “กบฎเจิงจิง เกาะไต้หวัน” ได้สำเร็จ และในที่สุด.. ก็นำ ”เกาะไต้หวัน” กลับคืนสู่ต้าชิงอีกครั้งหนึ่ง และจำได้ว่า..มีหนึ่งบทสนทนากันระหว่าง “จักรพรรดิคังซี กับแม่ทัพซื่อหลาง” ก็คือว่า.. “ เกาะไต้หวันนั้น เปรียบเสมือนตะปูถึงแม้จะตัวเล็ก และไม่ว่าโคจะตัวใหญ่ขนาดไหน หากว่า.. ย่างก้าวเข้าไปบนพื้นที่ซึ่งมีตะปูเราก็ไม่่สามารถเดินต่อไปได้ ”
2
นั่นก็คือ การกำจัดเสี้ยนหนามอีกครั้งนึงของ ”จักรพรรดิคังซี“ ในการรวบรวมผนึกอำนาจครองแผ่นดินจีน นี่คือ.. หนึ่ง ในนโยบายของ ” จักรพรรดิคังซี“ ที่แตกต่างไปจากจักรพรรดิมองโกลในยุคก่อนๆ หน้านั้นถึง 300 ปี นั่นคือการที่พระองค์เชื่อว่า.. การจักครองแผ่นดินต้าชิงได้นั้น ต้องครองใจชาวฮั่นให้ได้เสียก่อน ซึ่งถือได้ว่า.. เป็นกุศโลบายอันสำคัญยิ่งในการครองอำนาจของราชวงศ์ชิง หรือราชวงศ์แมนจูบนแผ่นดินจีนได้นานถึง 267 ปี
ฝากกดถูกใจ กดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
Reference ตอนที่ 4 จักรพรรดิที่ครองราชย์ยาวนานที่สุด

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา