7 พ.ย. เวลา 11:24 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 175

พายุหมุนดำคู่หูคนเสเพล (2) แบกหนามขอขมา
ซ่งเจียง ไฉจิ้นกลับขึ้นเขามาถึงหอธรรมภักดิ์ ก็เล่าเรื่องของหลี่ขุยให้พวกพี่น้องฟัง สักพักก็เห็นหลี่ขุยถอดเสื้อผ้ามัดต้นหนามมาก้มหน้าคุกเข่าอยู่หน้าหอ ไม่พูดไม่จา
ซ่งเจียงหัวเราะแล้วว่า “เจ้าดำ แบกหนามมาทำไม แค่นี้ยังละเว้นเจ้าไม่ได้หรอก”
หลี่ขุยว่า “ข้าทำไม่ถูก ท่านพี่ก็โบยข้าสักหลายสิบที”
ซ่งเจียงว่า “ข้ากับเจ้าพนันตัดหัว ไม่ใช่แค่แบกหนาม”
หลี่ขุยว่า “เมื่อท่านพี่ไม่ยอมละเว้น ก็เอามีดมาตัดหัวไป หมดเรื่องกัน”
พวกพี่น้องจึงช่วยกันขอร้องซ่งเจียง ซ่งเจียงจึงว่า
“จะให้ข้าปล่อยเขา มีแต่ให้ไปจับตัวสองคนที่ปลอมเป็นซ่งเจียง แล้วพาลูกสาวหลิวไท่กงกลับมาส่งบ้าน ข้าจึงไว้ชีวิต”
หลี่ขุยได้ฟังก็โดดลุกขึ้นกล่าวว่า “แค่จับตะพาบในไห ล้วงไปก็ได้ตัว (ปอกกล้วยเข้าปาก)”
ซ่งเจียงว่า “ชายฉกรรจ์สองคน ม้าอีกสองตัว เจ้าไปลำพังจะเข้าใกล้ได้หรือ ข้าจะให้เอี้ยนชิงไปเป็นเพื่อน”
เอี้ยนชิงว่า “ท่านพี่เรียกใช้ ข้ายินดีไป” แล้วก็กลับห้องไปเตรียมหน้าไม้และกระบอง แล้วตามหลี่ขุยมายังบ้านหลิวไท่กง
เอี้ยนชิงสอบถามหลิวไท่กงถึงวันที่ลูกสาวถูกลักพาตัว
ไท่กงว่า “ตะวันแตะขอบฟ้าตะวันตกก็มาถึง จากไปตอนยามสาม ไม่รู้ที่มา ไม่กล้าติดตาม คนหัวหน้านั่นรูปร่างเตี้ย หน้าตอบดำ คนที่สองรูปร่างสูงใหญ่ เคราสั้นตาโต”
ซักรายละเอียดไว้แล้ว ก็กล่าวกับหลิวไท่กงว่า “ไท่กงโปรดวางใจ ดีร้ายก็ต้องช่วยลูกสาวท่านกลับมา ท่านพี่ซ่งกงหมิงสั่งการเอาไว้ มิอาจขัดขืน”
ไท่กงให้จัดเตรียมเนื้อแห้ง แป้งนึ่งใส่ถุงให้ไว้เป็นเสบียง ทั้งสองมัดไว้กับเอวแล้วกล่าวอำลาเดินทางตรงไปทางทิศเหนือ สืบหาอยู่สองวันมีแต่ที่รกร้าง ไร้เบาะแส จึงเปลี่ยนไปหาทางทิศตะวันออกอีกสองวัน มาถึงเขตเกาถังหลิงโจว ก็ยังไร้ร่องรอย หลี่ขุยยิ่งร้อนใจ เปลี่ยนมาหาทางทิศตะวันตกอีกสองวัน ไม่มีวี่แววเช่นกัน
เย็นวันนั้น ทั้งสองแรมคืนในศาลเจ้าเก่าข้างเขา หลี่ขุยนอนไม่หลับ ลุกขึ้นมานั่งพลันได้ยินเสียงคนเดินอยู่นอกศาล จึงกระโดดพรวดขึ้นมาเปิดประตูศาลเจ้า แลเห็นชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งถือดาบพอเตาเดินเลี้ยวไปด้านหลังศาลเจ้าลงเขาไป หลี่ขุยจึงสะกดรอยตามหลัง
เอี้ยนชิงก็ได้ยิน จึงคว้าหน้าไม้ ถือกระบองตามหลังมาแล้วตะโกนมาว่า “พี่หลี่ ไม่ต้องตามไป ข้ามีวิธี”
คืนนั้นแสงจันทร์สลัว เอี้ยนชิงส่งกระบองให้หลี่ขุย ยังมองเห็นชายฉกรรจ์ก้มหน้าเดินอยู่ เอี้ยนชิงตามประชิด ขึ้นสายหน้าไม้แล้วยิงออกไป พร้อมทั้งตะโกนว่า
“ลูกสมใจ อย่าให้ข้าผิดหวัง”
ชายฉกรรจ์ถูกศรที่น่องขวาล้มลง หลี่ขุยรีบวิ่งมาคว้าปกเสื้อจับตัวไว้ แล้วพามายังศาลเจ้า ตะคอกถามว่า
“เจ้าเอาลูกสาวหลิวไท่กงไปไว้ที่ไหน”
ชายผู้นั้นว่า “ท่านผู้กล้า ผู้น้อยไม่เกี่ยวอะไรด้วย ไม่เคยลักพาตัวลูกสาวหลิวไท่กงใครที่ไหน ผู้น้อยเพียงดักชิงทรัพย์เล็กๆ น้อยๆ อยู่แถวนี้ ไม่เคยก่อเรื่องใหญ่ ลักพาตัวลูกสาวบ้านไหน”
หลี่ขุยจับชายผู้นั้นมัดมือเท้าเข้าด้วยกัน แล้วชูขวานขึ้นตะคอกว่า “ถ้าไม่พูดความจริง ข้าจะสับเจ้าเป็นยี่สิบท่อน”
ชายผู้นั้นรีบตะโกนว่า “ปล่อยผู้น้อยลุกขึ้นมาก่อนค่อยคุยกัน”
เอี้ยนชิงว่า “ข้าจะถอนดอกศรให้” พอชายผู้นั้นลุกขึ้นมาแล้ว ก็ซักต่อว่า “ลูกสาวหลิวไท่กง ใครเป็นผู้ลักตัวไป เจ้าดักชิงทรัพย์อยู่นี่ น่าจะได้ยินอะไรมาบ้าง”
ชายผู้นั้นว่า “ผู้น้อยไม่รู้เรื่องจริง แต่ขอเดาเอา ห่างจากที่นี่ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราวสิบห้าลี้ มีเขาลูกหนึ่งเรียกว่า เขาหัววัว 牛头山 (หนิวโถวซาน) บนเขามีอารามพรตอยู่แห่งหนึ่ง ไม่นานมานี้มีโจรสองคน คนหนึ่งแซ่หวาง 王 ชื่อเจียง 江 คนหนึ่งแซ่ต่ง 董 ชื่อไห่ 海 มีลูกน้องอยู่เจ็ดคน มาสังหารพวกนักพรตตายสิ้นแล้วยึดอารามตั้งเป็นส้องโจร เวลาออกปล้นชิงจะเรียกตัวเองว่า ซ่งเจียง ชะรอยจะเป็นโจรสองคนนี้ที่ลักตัวไป”
เอี้ยนชิงว่า “ฟังดูมีเหตุผล ไอ้หนุ่ม เจ้าไม่ต้องกลัวข้า ข้าคือคนเสเพลเอี้ยนชิงแห่งหลียงซาน ส่วนนี่คือพายุหมุนดำหลี่ขุย ข้าจะรักษาแผลธนูให้ จากนั้นเจ้าช่วยพาเราไปที่นั่น”
ชายผู้นั้นว่า “ผู้น้อยยินดี”
เอี้ยนชิงไปเก็บดาบพอเตามาคืนให้ ช่วยทำแผล แล้วอาศัยแสงจันทร์ที่พอมี ช่วยกันกับหลี่ขุยพยุงกันมาตลอดทางสิบห้าลี้จนมาถึงเขาที่หมาย เขาไม่สูงนัก มีสัณฐานคล้ายหัววัวเห็นได้ชัด
ฟ้าไม่ทันสาง ทั้งสามขึ้นเขามา เห็นอารามยี่สิบกว่าห้อง ล้อมรอบด้วยแนวกำแพงดิน
หลี่ขุยว่า “ท่านกับข้าโดดกำแพงเข้าไปกัน”
เอี้ยนชิงว่า “รอฟ้าแจ้งค่อยเข้าไป”
หลี่ขุยมีหรือจะรอ กระโดดข้ามกำแพงไป ได้ยินเสียงตะโกนจากด้านใน ประตูอารามเปิดออก แล้วมีคนถือดาบพอเตาวิ่งเข้าใส่หลี่ขุย เอี้ยนชิงกลัวจะเสียเรื่อง ถือกระบองโดดข้ามกำแพงตามไป ส่วนชายต้องศรเผ่นหายไปดังหมอกควัน
เอี้ยนชิงเห็นชายคนหนึ่งสู้กับหลี่ขุยอยู่ จึงลอบไปด้านหลัง ฟาดกระบองไปถูกโหนกแก้มชายผู้นั้นล้มไปทางหลี่ขุย หลี่ขุยใช้ขวานจามใส่หลังล้มลงกองกับพื้น ด้านในไม่มีใครออกมาอีก
เอี้ยนชิงว่า “คงมีทางออกด้านหลัง ข้าจะไปสกัดด้านหลัง ท่านเฝ้าประตูหน้าไว้ อย่าเพิ่งบุกเข้าไป”
เอี้ยนชิงมาถึงประตูหลังด้านนอกกำแพง ซุ่มดูอยู่ครู่หนึ่ง เห็นชายคนหนึ่งถือกุญแจเปิดประตูหลังเดินออกมา เอี้ยนชิงรีบวิ่งเข้าหา ชายผู้นั้นหันกลับเลาะชายคาหนีไปทางประตูหน้า เอี้ยนชิงตะโกนลั่น “สกัดประตูหน้าไว้”
หลี่ขุยแลเห็น ตรงเข้ามาเอาขวานสับใส่หน้าอกล้มลง แล้วตัดหัวทั้งสองมามัดรวมกัน หลี่ขุยเหิมใจติดพัน บุกเข้าข้างใน เห็นพวกลูกน้องหลบอยู่ ก็เอาขวานไล่สับคนละขวานตายสิ้น ไปถึงกลางห้องพบหญิงสาวหน้าตาสะสวยร้องไห้หงิงหงิงอยู่บนเตียง
弓鞋窄窄起春罗,香沁酥胸玉一窝。
丽质难禁风雨骤,不胜幽恨蹙秋波。
รองเท้าทรงธนูคู่เล็กจากแพรไหม
เหงื่อสุคนธ์ไหลนองทรวงผุดผ่อง
งดงามยากห้ามใจดังพายุคะนอง
ไม่อาจป้องบังความชังในตางาม
(รองเท้าทรงธนู หรือ รองเท้ากงเสีย 弓鞋 รองเท้าสตรีสมัยโบราณ พื้นและส้นสูง ปลายเท้างุ้มลง ดูด้านข้างคล้ายปลายคันธนู จึงเรียกรองเท้าทรงธนู)
เอี้ยนชิงถามว่า “ท่านเป็นลูกสาวของหลิวไท่กง ใช่หรือไม่”
หญิงสาวตอบว่า “สิบกว่าวันก่อน ผู้น้อยถูกโจรสองคนจับตัวมาไว้ที่นี่ แต่ละคืนก็ผลัดกันข่มขืนผู้น้อยคนละคืน ผู้น้อยได้แต่ร้องไห้ทั้งวันคืนอยากจะตายเสียให้พ้น แต่พวกมันก็จับตาดูอย่างใกล้ชิด วันนี้ได้ท่านขุนพลมาช่วยไว้ เหมือนมอบชีวิตใหม่ ได้กลับไปรับใช้เลี้ยงดูพ่อแม่ผู้เฒ่า”
เอี้ยนชิงว่า “พวกมันมีม้าอยู่สองตัว อยู่ที่ไหน”
หญิงสาวว่า “อยู่ในห้องทางตะวันออก”
เอี้ยนชิงนำม้ามาผูกอาน เก็บเอาทรัพย์สินเงินทองในห้องได้ราวห้าพันตำลึง ให้หญิงสาวขึ้นม้าตัวหนึ่ง นำห่อทรัพย์สินและหัวคนมัดไว้กับม้าอีกตัวหนึ่ง หลี่ขุยนำหญ้ามารวบมัดไว้ จ่อไฟตะเกียงริมหน้าต่าง นำไปจุดไฟเผาโดยรอบ ทั้งสองเดินเท้าลงเขาพาหญิงสาวมาส่งต่อหลิวไท่กง พ่อลูกได้พบกันแล้ว ทุกข์มลายกลายเป็นยินดี พากันมาคารวะขอบพระคุณ
เอี้ยนชิงว่า “ท่านอย่าขอบคุณพวกเราสองคนเลย ควรไปที่ค่ายคารวะขอบคุณท่านพี่ซ่งกงหมิง” แล้วก็อำลาขี่ม้ากลับขึ้นเขา ข้าวปลาก็ไม่ต้อง
พอกลับมาถึงค่าย ตะวันขึ้นที่ขอบฟ้า ทั้งคู่จูงม้านำทรัพย์สินเงินทองและหัวคนทั้งสองมายังหอธรรมภักดิ์คารวะซ่งเจียง เอี้ยนชิงเล่ารายละเอียดเรื่องราวที่พบมา ซ่งเจียงยินดียิ่งนัก ให้นำหัวทั้งสองไปฝัง นำสมบัติเก็บเข้าคลัง ม้านำไปเลี้ยงรวมฝูงม้าศึก วันรุ่งขึ้นให้จัดเลี้ยงบำเหน็จเอี้ยนชิงและหลี่ขุย หลิวไท่กงรวบรวมเงินทองขึ้นเขามาคารวะขอบคุณซ่งเจียง ซ่งเจียงให้จัดสุราอาหารเลี้ยงดู ส่วนเงินทองไม่รับ มอบคืนแก่ไท่กง แล้วให้คนส่งลงเขาไป
วันเวลาผ่านไป กระทั่งเข้าเดือนสาม ลิ่วล้อควบคุมตัวโคถึกได้กลุ่มหนึ่งมีรถบรรทุกแปดคัน ขนมาแต่กระบองเป็นหลัก ซ่งเจียงมองดูกลุ่มคนที่คุกเข่าอยู่ต่อหน้าล้วนเป็นชายฉกรรจ์ท่วงท่าปราดเปรียว กล่าวว่า
“พวกผู้น้อยเป็นชาวเมืองเฟิ่งเสียง 凤翔府 กำลังเดินทางไปไหว้เจ้าที่เมืองไท่อัน 泰安州 เนื่องด้วยวันที่ยี่สิบแปดเดือนสามเป็นวันประสูติของเทียนฉีเสิ้งตี้ 天齐圣帝 เทพแห่งขุนเขาบูรพา พวกเราจะไปแสดงเพลงกระบองบนเวทีซึ่งมีการแสดงหมุนเวียนเป็นเวลาสามวัน มีผู้มีฝีมือนับพันมาชุมนุม ในปีนี้มีนักมวยปล้ำยอดฝีมือ ชาวเมืองไท่หยวน 太原府 แซ่เยิ่น 任 ชื่อหยวน 原 ร่างสูงหนึ่งจ้าง 一丈 ขานฉายาตนเองว่า เสาค้ำฟ้า 擎天柱 อวดอ้างว่า
相扑世间无对手,争交天下我为魁。
มวยปล้ำทั่วทั้งหล้าหามีคู่ปรับ
ประลองในใต้ฟ้านับข้าหัวแถว
ฟังว่าการประลองที่ศาลเจ้าสองปีที่ผ่านมา ยังไม่มีใครโค่นเขาได้ คว้ารางวัลไปกินเปล่าแต่ผู้เดียว ปีนี้ยังประกาศท้าประลองนักมวยปล้ำทั่วหล้า พวกผู้น้อยมาด้วยเหตุคนผู้นี้ หนึ่งคือมาเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สองคือมาชมฝีมือเยิ่นหยวน สามคือมาลักฝึกเพลงกระบองของเขาสักหลายกระบวน ขอท่านอ๋องใหญ่โปรดเมตตาด้วย”
ซ่งเจียงฟังจบ สั่งลูกน้องว่า “รีบส่งคนพวกนี้ลงเขาไป อย่าได้ทำอันตราย แม้นหากวันหน้ามีผู้สัญจรไปคารวะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผ่านทาง ก็อย่าได้รังควาน ปล่อยให้ผ่านไป”
คนกลุ่มนั้นคารวะขอบคุณ แล้วลงเขาไป
ตอนก่อนหน้า : พายุหมุนดำมอบหัว
ตอนถัดไป : เขาไท่ซาน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา