เมื่อวาน เวลา 10:40 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 177

พายุหมุนดำคู่หูคนเสเพล (4) โค่นเสาค้ำฟ้า
 
แขกมาไหว้เจ้าในวันนั้นแน่นขนัด เบียดเสียดยัดเยียดจนกระทั่งศาลตงเยว่อันกว้างใหญ่ดูคับแคบไป บนสันหลังคาบ้านโดยรอบก็มีผู้คนขึ้นไปอยู่ดูกัน ทางตำหนักจยาหนิง 嘉宁殿 ตำหนักกลางของศาลเจ้า ตั้งซานเผิง 山棚 ปะรำพิธีจัดวางจานเงินใส่เงินทอง ผ้าแพรต่วน นอกประตูมีม้าพ่วงพีผูกอานและบังเหียนห้าตัว เจ้าเมืองเปิดพิธี นักมวยปล้ำทำพิธีสักการะองค์เทพ พิธีกรเฒ่าถือลำไม้ไผ่ขึ้นนำสักการะ เสร็จพิธีก็กล่าวเชิญเริ่มงานประลอง
ด้านล่างมีขบวนตรงมายังเวที มีธงปักสี่ผืนนำหน้า มีคนถือกระบองสิบกว่าคู่ เสาค้ำฟ้าเยิ่นหยวนนั่งมาบนเกี้ยวมีชายฉกรรจ์ล้อมหน้าหลังราวสามสิบคน ขึ้นมาบนเวที พิธีกรกล่าวเชิญให้ลงจากเกี้ยว
เสาค้ำฟ้าเยิ่นหยวนลงเกี้ยวกล่าวตามธรรมเนียมจบแล้วเข้าเรื่องว่า “สองปีที่ผ่านมา ข้ามาประลองที่เขาไต่เยว่ได้เป็นที่หนึ่งรับรางวัลไปไม่รู้เท่าไร สำหรับปีนี้จะประลองโดยการถอดเสื้อ”
ลูกศิษย์นำถังน้ำมนต์มาให้ เยิ่นหยวนร้องขานคารวะองค์เทพ ดื่มน้ำมนต์ไปสองคำ แล้วถอดเสื้อออกแสดงมัดกล้ามอันทรงพลังน่าเกรงขาม
พิธีกรกล่าวว่า “สองปีที่ผ่านมา ท่านอาจารย์ยังไม่พบคู่แข่งเลย ณ ศาลเจ้าแห่งนี้ ปีนี้นับเป็นปีที่สาม ท่านอาจารย์มีอะไรต้องการกล่าวกับเหล่าผู้มาไหว้เจ้าจากทั่วหล้า”
เยิ่นหยวนว่า “จากสี่ร้อยเมือง เจ็ดพันอำเภอ เหล่าท่านผู้มาสักการะองค์เสิ้งตี้ได้ร่วมอุทิศรางวัลซึ่งเยิ่นหยวนได้รับมาโดยลำพังตลอดสองปี หลังจากปีนี้ ก็จะขออำลากลับสู่บ้านเกิด ไม่หวนคืนมายังเวทีแห่งนี้อีกแล้ว”
แล้วประกาศคำท้าทาย
“จากเบื้องบูรพาดวงตะวันขึ้น จรดเบื้องประจิมดวงตะวันตก สองสุริยันจันทราหมุนเปลี่ยนเวียนวน หลอมรวมฟ้าดินเป็นหนึ่ง เบื้องทักษิณจรดหนานหมาน 南蛮 เบื้องอุดรจรดอิวเอี้ยน 幽燕 มีผู้ใดเสนอตัวมาท้าชิงรางวัลกับข้า”
ไม่ทันสิ้นคำท้า เอี้ยนชิงกดไหล่สองคนข้างหน้าตะโกนมาว่า “มี มี” แล้วเหยียบหลังคนทะยานขึ้นสู่เวที
พิธีกรเฒ่าถามว่า “พ่อหนุ่ม ท่านมีชื่อแซ่ไร พื้นเพเป็นคนที่ไหน มาจากที่ใด”
เอี้ยนชิงว่า “ข้าคือพ่อค้าเร่จาง 张货郎 แห่งซานตง ตั้งใจมาท้าชิงรางวัลโดยจำเพาะ”
พิธีกรเฒ่าว่า “พ่อหนุ่ม ท่านคงรู้ว่าชีวิตของท่านเป็นเดิมพันอยู่ตรงหน้า ท่านมีนายประกันหรือไม่”
เอี้ยนชิงว่า “ข้าคือนายประกันแก่ตัวข้าเอง แม้ถึงตายก็ไม่จำต้องให้ใครชดใช้ชีวิต”
พิธีกรว่า “เชิญท่านถอดเสื้อออก”
เอี้ยนชิงถอดผ้าโพกหัว รวบผมเปิดขมับ ถอดรองเท้าเหลือแต่เท้าเปล่ากองไว้ข้างเวที ถอดเอาเสื้อออกพาดไว้บนราว เกิดระลอกคลื่นในฝูงผู้ชม ตื่นตะลึงส่งเสียงชื่นชม
เยิ่นหยวนมองดูลายสักบนตัวเอี้ยนชิง แล้วรีบเบ่งกล้าม คร้ามเกรงอยู่บ้างถึงห้าส่วน ไท่โส่วเจ้าเมืองผู้ดูแลความสงบนั่งอยู่บนอัฒจันทร์นอกตำหนัก มีเจ้าหน้าที่ชุดดำยืนกำกับอยู่ราวแปดสิบคู่ เรียกตัวเอี้ยนชิงลงจากเวทีไปพบ มองดูลายสักบนตัวเอี้ยนชิงเหมือนเสาหยกสลักเนื้อดี เห็นแล้วชอบใจ ถามว่า
“พ่อหนุ่ม ท่านเป็นคนที่ไหน มาทำอะไรที่นี่”
เอี้ยนชิงตอบว่า “ผู้น้อยแซ่จาง เป็นบุตรคนแรก เป็นชาวเมืองไหลโจวซานตง 山东莱州 ทราบว่าเยิ่นหยวนประกาศคำท้านักมวยปล้ำทั่วแผ่นดิน จึงตั้งใจมาประลอง”
เจ้าเมืองว่า “ม้าผูกอานที่เห็นคือรางวัลในส่วนของข้า ข้าจะมอบให้เยิ่นหยวน เงินทองของรางวัลบนซานเผิงปะรำพิธี ข้าจะมอบให้ท่านครึ่งหนึ่ง ท่านทั้งสองไม่ต้องประลอง ข้าจะแต่งตั้งท่านมารับใช้งานข้างกายข้า”
เอี้ยนชิงว่า “นายท่าน ของรางวัลนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญนัก ข้าตั้งใจมาล้มเขาลงให้ผู้คนได้หัวร่อและชื่นชม”
เจ้าเมืองว่า “ร่างเขาสูงใหญ่ปานวัชระเทพ ท่านทำอะไรเขาไม่ได้หรอก”
เอี้ยนชิงว่า “ถึงตายก็ไม่โทษใคร” แล้วกลับขึ้นเวทีเพื่อประลองกับเยิ่นหยวน
พิธีกรล้วงหนังสือจากอกเสื้ออ่านเงื่อนไขการประลองให้ฟังหนึ่งรอบแล้วกล่าวกับเอี้ยนชิงว่า “ท่านเข้าใจแล้วใช่ไหม ห้ามใช้วิธีการสกปรก”
เอี้ยนชิงยิ้มเยาะแล้วว่า “ทางเขาก็เตรียมพร้อมอยู่ ส่วนข้ามีกางเกงเพียงตัวเดียว จะเอาอะไรไปเล่นสกปรก”
เจ้าเมืองเรียกพิธีกรมากำชับอีกหนว่า “เจ้าหนุ่มนั่น ถ้าต้องมาตายเสีย มันน่าเสียดาย ท่านไปบอกให้เขาแบ่งรางวัลเลิกรากันไปอีกหน”
พิธีกรกลับมาเกลี้ยกล่อมเอี้ยนชิง
“พ่อหนุ่ม เก็บชีวิตไว้ แบ่งรางวัลแล้วกลับบ้านไป”
เอี้ยนชิงว่า “ท่านช่างไม่รู้ความ ข้าต้องการรู้ผลแพ้ชนะ”
ผู้ชมสองฟากซ้อนกันแน่นดังเกล็ดปลา บนหลังคาโดยรอบยังมีคนนั่งกันเต็ม ทางด้านเยิ่นหยวนมีท่าทางเหมือนอยากจับเอี้ยนชิงโยนขึ้นฟ้า หรือกระทืบให้ตายคาเท้า
พิธีกรว่า “ในเมื่อเป็นความประสงค์ของท่านทั้งสอง ปีนี้ก็ให้เป็นคู่ประลองถวายองค์เทพ ขอให้ต่างคนต่างระวังตัว”
หมู่ดาวลับขอบฟ้าไปสิ้นแล้ว แดดอ่อนยามเช้าทอแสง บนเวทีมีอยู่เพียงสามคน พิธีกรชูลำไม้ไผ่ แล้วกล่าวว่า “เริ่มประลอง”
เอี้ยนชิงย่อตัวอยู่ทางด้านขวาของเวที เยิ่นหยวนยืนตั้งท่าอยู่ทางด้านซ้าย เอี้ยนชิงนิ่งไม่ขยับ เยิ่นหยวนจึงเป็นฝ่ายย่างเข้าหา เอี้ยนชิงจับตามองช่วงล่าง 下三面 (ต้นขา หน้าแข้ง เท้า) ของเยิ่นหยวน
เยิ่นหยวนแอบตรองว่า “เจ้านี่ คิดจะเล่นงานช่วงล่างข้า ข้าไม่จำต้องทำอะไรมาก เพียงเตะเจ้าทีเดียวก็ตกเวที”
เยิ่นหยวนสาวเท้าบีบวงเข้ามา ยกขาซ้ายหลอกล่อ เอี้ยนชิงตะโกนว่า “อย่าเข้ามา”
เยิ่นหยวนกำลังจะพุ่งเข้าใส่ เอี้ยนชิงพุ่งตัวลอดสีข้างด้านซ้ายของเยิ่นหยวน เยิ่นหยวนขัดใจ รีบพลิกตัวมาตะครุบเอี้ยนชิง เอี้ยนชิงแกล้งทำเป็นกระโดดหนี แต่กลับมุดลอดสีข้างด้านขวาของเยิ่นหยวน คนร่างใหญ่เปลี่ยนทางไม่คล่องแคล่ว พลิกไปมาสามตลบจนก้าวเท้าสับสน เอี้ยนชิงเข้าประชิดตัว ใช้มือขวาคว้าไว้มั่น แทงมือซ้ายเข้าหว่างง่ามขาของเยิ่นหยวน ใช้ไหล่ซ้ายดันหน้าอก ยกตัวเยิ่นหยวนขึ้น หัวหนักเท้าเบา อาศัยแรงเหวี่ยงหมุนตัวสามสี่รอบมาถึงขอบเวที ตะโกนว่า “ลงไป”
เยิ่นหยวนพุ่งตกเวทีหัวอยู่ล่างเท้าอยู่บน ท่านี้เรียกว่า พิราบร่อน 鹁鸽旋
ผู้ชมนับหมื่นเปล่งเสียงโห่ร้องยินดี
พวกลูกศิษย์ของเยิ่นหยวนเห็นอาจารย์ถูกทุ่มลงมา จึงพากันเข้าไปล้มปะรำซานเผิง แย่งชิงกันฉกฉวยของรางวัล มีลูกศิษย์ราวสามสิบคนขึ้นมาบนเวที เจ้าเมืองคุมสถานการณ์ไม่อยู่ พลันมีไท่สุ้ยปรากฏ พายุหมุนดำหลี่ขุยถลึงตาพองโต หนวดเคราตั้งชันดังเคราพยัคฆ์ หักกิ่งสนสองกิ่งมาแทนอาวุธ ไล่หวดเข้ามา
ในหมู่ผู้ชมมีคนจำหลี่ขุยได้จึงตะโกนบอกชื่อแซ่ พวกเจ้าพนักงานด้านนอกพร้อมกันเข้ามาในศาลเจ้า ตะโกนบอกกันว่า “อย่าปล่อยพายุหมุนดำเหลียงซานหนี”
ท่านเจ้าเมืองพอได้ยินชื่อพายุหมุนดำ ก็ขวัญหนีดีฝ่อรีบวิ่งหนีไปทางตำหนักหลัง พวกแขกไหว้เจ้าต่างหนีกันจ้าละหวั่น
หลี่ขุยมองดูเยิ่นหยวนที่ถูกทุ่มลงมาหมดสติอยู่ข้างเวที เห็นยังพอมีลมหายใจ จึงยกเอาแท่งหินมาหวดใส่กระโหลกจนแหลกละเอียด หลี่ขุย เอี้ยนชิง พยายามฝ่าออกมาจากศาลเจ้า ด้านนอกมีห่าธนูยิงมาสกัด ทั้งคู่จึงต้องปีนขึ้นไปบนหลังคา ถอดกระเบื้องหลังคาออกมาขว้างตอบโต้
ไม่นานนัก มีเสียงโห่ร้องด้านหน้าประตูศาลเจ้า มีคนกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามา ผู้นำสวมหมวกปีกขาว เสื้อผ้าต่วนขาว กิเลนหยกหลูจวิ้นอี้ใช้ดาบพอเตาลุยสังหารเข้ามา ตามมาด้วย สื่อจิ้น มู่หง หลู่จื้อเซิน อู่ซง เซี่ยเจิน เซี่ยเป่า รวมเจ็ดผู้กล้า นำลูกน้องตามมาอีกหนึ่งพันกว่าคน หลี่ขุย เอี้ยนชิง ลงจากหลังคามาสมทบ
หลี่ขุยวิ่งกลับไปเอาขวานคู่จากห้องพัก แล้วหมายจะกลับมาตลุยศึก กว่ากองทหารทางการจะยกมาถึง พวกเหลียงซานก็ถอนกำลังจากไปไกลแล้ว ทหารทางการพอรู้ว่าเป็นพวกเขาเหลียงซานก็ไม่กล้าไล่ตาม
หลูจวิ้นอี้นำขบวนเดินทางกลับเหลียงซาน เดินมาได้ครึ่งค่อนวัน จึงสังเกตว่าหลี่ขุยไม่ได้กลับมาด้วย
หลูจวิ้นอี้หัวเราะแล้วว่า “คงเที่ยวไปก่อเรื่องที่ไหนอีก ต้องให้ใครไปตามกลับขึ้นเขา”
มู่หงอาสาว่า “ข้าจะไปตามหาแล้วพาขึ้นเขา”
หลูจวิ้นอี้ว่า “ก็ดี”
หลี่ขุยพลัดกับกลุ่มถือขวานเดินทางมาโดยลำพังมาถึงอำเภอโซ่วจาง 寿张县 เป็นเวลาพักเที่ยงพอดี หลี่ขุยมาถึงหน้าที่ว่าการอำเภอ ตะโกนเข้าไปในที่ว่าการว่า “เจ้าพ่อพายุหมุนดำเขาเหลียงซานอยู่นี่แล้ว”
คนในที่ว่าการพอได้ยินต่างตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับตัว
อำเภอโซ่วจางตั้งติดต่อเขาเหลียงซาน พอได้ยินคำว่า “พายุหมุนดำหลี่ขุย” แม้แต่ทารกยังตกใจร้องไห้ วันนี้มาเยือนตัวเป็นๆ ก็ย่อมต้องกลัว
หลี่ขุยเดินเข้าไปในที่ว่าการ นั่งลงบนเก้าอี้นายอำเภอ ตะโกนเรียกว่า
“ออกมาคุยกับข้าสักสองคนซิ ไม่มา ข้าเผา”
พวกที่หลบกันอยู่ริมระเบียงหารือกันว่า
“ใครก็ได้ออกไปพบ ไม่งั้น พ่อคงไม่กลับ”
เจ้าหน้าที่สองคนออกมายังห้องโถง กระทำคารวะสี่กราบ คุกเข่ากล่าวว่า
“ท่านหัวหน้ามาเยือน คงมีสิ่งใดชี้แนะ”
หลี่ขุยว่า “ข้าไม่ได้มาก่อกวนอะไรในอำเภอเจ้าหรอก แค่ผ่านทางมา เลยแวะมาเที่ยว ไปเรียกนายอำเภอออกมา ข้าอยากพบ”
ทั้งคู่ออกไปตาม สักพักก็กลับมาแจ้งว่า
“ท่านนายอำเภอเห็นท่านหัวหน้ามา จึงออกไปทางประตูหลัง ตอนนี้ไม่ทราบว่าไปที่ใด”
หลี่ขุยไม่เชื่อ เดินเข้าไปหาเองในห้องโถงหลัง เห็นมีหีบเครื่องแบบตั้งอยู่ จึงเอามือบิดกุญแจทิ้งเปิดหีบหยิบเอาหมวกฝูโถว 幞头 เสียบปีก 展角 (จ่านเจี่ยว) ด้านหลังทั้งสองข้าง นำมาสวม เสื้อคลุมเครื่องแบบสีเขียว คาดผ้าคาดเอว สวมรองเท้าทรงสูงสีดำ ทับด้วยพื้นรองเท้าปอ ถือแผ่นป้ายไม้ ไหวยเจี่ยน 槐简 แล้วเดินออกมายังห้องโถงด้านหน้า ตะโกนเรียก
“เจ้าหน้าที่ ประจำตำแหน่ง”
พวกเจ้าหน้าที่จำต้องออกมาชุมนุมในห้องโถง หลี่ขุยถามว่า “ข้าสวมชุดนี้เป้นเช่นไร”
พวกเจ้าหน้าที่ได้แต่ตอบรับว่า “ช่างเหมาะสมยิ่งนัก”
หลี่ขุยว่า “เจ้าไปตามพวกที่เหลือมาว่าการทั้งหมด ถ้าไม่ฟัง ข้าจะพังที่นี่ให้ราบเป็นหน้ากลอง”
พวกเจ้าหน้าที่จึงต้องไปตามพวกที่เหลือ ลั่นกลองสามหน ใส่เครื่องแบบถือเครื่องพิธีเต็มยศออกมายังโถงว่าการ
หลี่ขุยหัวเราะหึหึชอบใจกล่าวว่า “พวกเจ้าไปหาคนมาฟ้องคดีสักสองคน”
พวกเจ้าหน้าที่ว่า “ท่านหัวหน้า ท่านนั่งอยู่ที่นี่ ใครจะกล้ามาฟ้องคดี”
หลี่ขุยว่า “ไม่มีใครมาฟ้อง พวกเจ้าก็ทำเป็นว่ามีคดีมาฟ้องเอง ข้าไม่ทำอะไรหรอก แค่เล่นๆ สนุกๆ”
พวกเจ้าหน้าที่หารือกันแล้วก็จัดเจ้าหน้าที่คุกผู้น้อยสองคนแสร้งทำเป็นตีกันมาฟ้องคดี
ชาวบ้านมามุงดูกันหน้าที่ว่าการ โจทก์จำเลยคุกเข่าอยู่กลางห้องโถง คนหนึ่งว่า “นายท่านโปรดเมตตา เขาทุบตีผู้น้อย”
อีกฝ่ายว่า “เขาด่าว่าผู้น้อย ข้าจึงได้ลงมือ”
หลี่ขุยว่า “ใครเป็นคนถูกตี”
โจทก์ว่า “ผู้น้อยเป็นฝ่ายถูกตี”
หลี่ขุยว่า “ใครลงมือตีเขา”
จำเลยว่า “เขาด่าผู้น้อยก่อน ข้าจึงได้ลงมือ”
หลี่ขุยตัดสินว่า “คนที่ลงมือตีเป็นลูกผู้ชาย ให้ปล่อยตัวไป ส่วนเจ้าไม่รู้จักตอบโต้จึงถูกเขาตี ให้เอาตัวไปแขวนประจานหน้าที่ว่าการ”
หลี่ขุยถลกชุดเขียวขึ้นเหน็บ เสียบป้ายไหวยเจี่ยนเข้ากับเอว คว้าขวานมากำกับให้นำตัวจำเลยมาแขวนประจานแล้วก็เดินหนีไป ชาวบ้านที่มามุงดู อดขำไม่ได้พากันหัวเราะ
หลี่ขุยเดินไปเดินมาอยู่หน้าอำเภอ ได้ยินเสียงเด็กท่องหนังสือ จึงเดินไปเลิกม่านห้องเรียนเดินเข้าไปในห้อง ครูตกใจโดดหน้าต่างหนี นักเรียนร้องไห้กระจองอแง บ้างหนีบ้างหลบ หลี่ขุยหัวเราะชอบใจ เดินออกจากห้องมาแลเห็นมู่หง
มู่หงตะโกนเรียกมา “พวกพี่น้องตามหาตัวกันวุ่นวายไปหมด เจ้ามาทำบ้าอะไรอยู่ที่นี่ ตามข้ากลับขึ้นเขา”
แล้วก็เข้ามาลากตัวหลี่ขุยกลับไปเขาเหลียงซาน
牧民县令每猖狂,自幼先生教不良。
应遣铁牛巡历到,琴堂闹了闹书堂。
นายอำเภอปศุสัตว์มักเถื่อนถ่อย
แต่เด็กน้อยครูไม่ค่อยสอนสั่ง
ส่งควายเหล็กตรวจการผ่านมายัง
วุ่นไปทั้งห้องหนังสือห้องดนตรี
ทั้งสองข้ามมายังหาดทรายทอง คนเห็นชุดของหลี่ขุยต่างหัวเราะ พอขึ้นมายังหอธรรมภักดิ์ ซ่งเจียงกำลังแสดงความยินดีกับเอี้ยนชิงอยู่ หลี่ขุยปล่อยชุดคลุมเขียวที่เหน็บไว้ลง ถือป้ายไหวยเจี่ยนไปกระทำกราบคารวะ ไม่ทันคารวะครั้งที่สองก็เหยียบชุดนายอำเภอขาด เหล่าพี่น้องพากันหัวเราะ ซ่งเจียงหันมาด่าว่า
“เจ้านี่บังอาจนัก แอบหนีลงเขาไปเที่ยวก่อเรื่อง มีโทษสมควรตาย ข้าขอประกาศแก่เหล่าพี่น้อง หากยังทำอีกจะไม่มีละเว้น”
หลี่ขุยขานรับคำ
เขาเหลียงซานก็เฝ้าฝึกทหารทั้งทัพบกทัพเรือ ไม่มีเหตุการณ์ใหญ่อันใด
ตอนก่อนหน้า : เขาไท่ซาน
ตอนถัดไป : ยมบาลล่มเรือลักสุรา

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา