3 ธ.ค. เวลา 01:17 • หนังสือ

#34 HWG. บทที่ 2️⃣1️⃣ : ชีวิตนั้นเป็นนิรันดร

➖➖➖➖➖➖
THE TENTH REMEMBRANCE
ความทรงจำที่ 🔟
Not all things are the way they seem. There are more possibilities in every moment within every lifetime than you might previously have imagined.
ไม่ใช่ทุกสิ่งจะเป็นไปตามที่ดูเหมือนว่าจะเป็น มีความเป็นไปได้มากกว่าที่เธอเคยจินตนาการถึงในทุกช่วงเวลาในแต่ละชีวิต (ในแต่ละชาติภพ)
Chapter 21
บทที่ 2️⃣1️⃣
Neale: Look, I’ve heard about how we all live different lifetimes--but you have told me here several times now that we are all also living the same lifetime over and over, like some real-life version of that movie Groundhog Day.
นีล : ฟังนะ ผมเคยได้ยินเรื่องการมีชีวิตหลายภพหลายชาติมาบ้างแล้ว แต่พระองค์ก็ได้บอกผมหลายต่อหลายครั้งแล้วเช่นกันในที่นี้ (ในหนังสือเล่มนี้) ว่า พวกเราทุกคนต่างก็กำลังดำเนินชีวิตในชาติภพเดิมซ้ำไปซ้ำมาเหมือนในภาพยนตร์เรื่อง วันรักจงกลม★ (groundhog day) อยู่จริงๆ
★อ่านเนื้อหาโดยสรุปของหนังเรื่องนี้เพิ่มเติมได้ตามลิงค์ครับ –ผู้แปล–
God : “This is a great deal for you to grasp, especially in one sitting, so perhaps we should move a little more slowly here.
พระเจ้า : "นี่เป็นเรื่องที่ยากที่เธอจะเข้าใจได้ในคราวเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำความเข้าใจภายในเวลาที่จํากัด ดังนั้นเราควรพูดคุยกันให้ช้าลงกว่านี้สักหน่อย
“You are asking deep and important questions about ‘life,’ ‘death,’ and ‘dying,’ and in order to fully understand what you are calling ‘death’ and ‘dying,’ it is necessary to explore some very esoteric topics of what might be termed ‘the cosmology of everything.’ But let’s go a little more slowly.”
"เธอกำลังถามคำถามที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับ 'ชีวิต' 'ความตาย' และ 'การตาย' และเพื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ในสิ่งที่เธอเรียกว่า 'ความตาย' และ 'การตาย' เราจำเป็นต้องสำรวจหัวข้อที่ลี้ลับบางประการเกี่ยวกับสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็น 'จักรวาลวิทยาของทุกสรรพสิ่ง' แต่ตอนนี้มาพูดคุยกันให้ช้าลงกว่านี้สักหน่อยเถอะ
 
 
N : Okay. I do feel as if we have been racing. I mean, I’ve been given more data in the last ten minutes…
นีล : ตกลงครับ ผมก็รู้สึกว่าเราเร่งรีบกันมาตลอด ผมหมายถึง ผมได้รับข้อมูลมามากมายในช่วง 10 นาทีที่ผ่านมา...
 
 
G : “I know. So let’s double back here just a bit and pick up some of that data and look at it again.
พระเจ้า : "ฉันรู้ ดังนั้นเราจะย้อนกลับไปพูดคุยถึงข้อมูลบางส่วนกันอีกครั้ง
“I have said that you are a part of All That Is. You are--to return to our metaphor--an atom of the apple+organge, and you are traveling through it.”
"ฉันได้บอกว่า เธอเป็นส่วนหนึ่งของทุกสรรพสิ่ง (ทั้งหมดที่มีอยู่) เธอคือ - กลับไปใช้คำอุปมาเดิมของเรา - อะตอมของแอปเปิ้ล+ส้ม และเธอกำลังเดินทางผ่านมัน"
 
 
N : We could call this the Applorange!
นีล : เรามาเรียกมันว่า แอปส้ม❗ กันดีกว่าครับ
 
 
G : “That’s good. That will make this metaphorical image unforgettable. We’ll use your coined word to refer in shorthand to the Space/Time Continuum.”
พระเจ้า : "ดีมาก นั่นจะทำให้เราจดจำภาพที่ใช้อุปมานี้ได้ง่าย ลืมได้ยาก เราจะใช้คำที่เธอคิดขึ้นนี้เพื่ออ้างอิงแบบสั้นๆถึง 'ความต่อเนื่องโยงใยกันของพื้นที่ว่างและเวลา'
 
 
N : Okay, good.
นีล : ดีครับ
 
 
G : “Now, you may travel through the applorange repeatedly, along any route you choose. As I said, this could be the same route you choose. As I said, this could be the same route that you chose before, or it could be another route, another ‘tunnel.’
พระเจ้า : "ในตอนนี้ เธอสามารถเดินทางผ่านแอปส้มได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก จะเป็นเส้นทางไหนก็ได้ตามที่เธอเลือก แต่ฉันบอกว่า มันอาจเป็นเส้นทางเดียวกับที่เธอเลือกก่อนหน้า หรืออาจเป็นอีกเส้นทางหนึ่ง อีก 'อุโมงค์' หนึ่งก็ได้
“And you may also choose from any number of different ways of moving through the Corridor of Time, changing your movements from moment to moment if you wish.”
"นอกจากนี้เธอยังสามารถเลือกวิธีการเคลื่อนที่ผ่านช่องทางเดินแห่งกาลเวลาได้หลากหลายรูปแบบ และยังสามารถเปลี่ยนการเคลื่อนไหวของเธอในแต่ละช่วงเวลา ขณะต่อขณะ ได้ตามที่เธอต้องการอีกด้วย"
 
 
N : What do you mean?
นีล : หมายความว่าไงครับนั่น?
 
 
G : “Well, you tell me how you might see yourself moving through the Corridor of Time. Let us say that you are suspended in midair in that corridor. You are, quite literally, ‘suspended in time.’ Now, which way might you see yourself moving?”
พระเจ้า : "เอาล่ะ เธอบอกฉันมาว่าเธอจะเห็นตัวเองเคลื่อนที่ผ่านช่องทางเดินแห่งกาลเวลานั้นได้อย่างไร สมมติว่าเธอกำลังแขวนลอยอยู่กลางอากาศในช่องทางเดินแห่งกาลเวลา เอาจริงๆแล้วเธอก็กำลังแขวนลอยอยู่ใน 'กาลเวลา' จริงๆนั่นแหละ ทีนี้ เธอจะเห็นตัวเองเคลื่อนที่ไปทางไหนได้บ้าง❓"
 
 
N : Forward. I see myself moving forward through the tunnel. Is that what you’re asking me?
นีล : ไปข้างหน้าครับ ผมเห็นตัวเองเคลื่อนที่ไปข้างหน้าผ่านอุโมงค์ นี่ผมตอบตรงกับสิ่งที่พระองค์กำลังถามอยู่ใช่ไหมครับเนี่ย❓
 
 
G : “Is there any other way you might move?”
พระเจ้า : "มีทางอื่นที่เธออาจเคลื่อนที่ไปได้อีกไหม❓"
 
 
N : Well, backward, I suppose. Are you saying that we can move backward in time?
นีล : เอ่อ...ไปทางข้างหลังครับ ผมคิดว่านะ พระองค์กำลังบอกว่าเราสามารถย้อนเวลากลับไปได้งั้นหรือครับ❓
 
 
G : “Ah, here you are touching on something that is very significant. More significant than you might know right now. This is apart of the Holy Inquiry, of which I spoke earlier.”
พระเจ้า : "อ้าา ตรงนี้เธอกำลังสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่มีความสำคัญมากๆ สำคัญกว่าที่เธอรู้อยู่ตอนนี้ นี่เป็นส่วนหนึ่งของการไต่ถามอันศักดิ์สิทธิ์ที่ฉันเคยพูดถึงก่อนหน้านี้
“Not just yet, but soon. I have a few more building blocks to put in place. The shorthand answer to your other question is, yes, you can move ‘backward in time.’ not just to other lifetimes, but within any particular lifetime.”
"ยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่เร็วๆ นี้ ฉันยังมีบล็อกก่อสร้างอีกสองสามชิ้นที่ต้องวาง คำตอบแบบสั้นๆ ต่อคำถามของเธอก็คือ ใช่ เธอสามารถ 'ย้อนเวลากลับไป' ได้ ไม่ใช่แค่ย้อนกลับไปยังชีวิตอื่นๆ/ชาติภพอื่นๆ ได้เท่านั้นนะ แต่ภายในชีวิตเดิม หรือ ชาติภพเดิม ก็ได้ด้วย"
 
 
N : Fascinating.
นีล : น่าทึ่งจริงๆ 😳
 
 
G : “But can you think of any other direction you could move in that tunnel?”
พระเจ้า : "เธอสามารถนึกถึงทิศทางอื่นๆในอุโมงค์เวลาที่เธอสามารถเคลื่อนที่ไปได้อีกไหม❓"
 
 
N : Uh, no. Backward and forward would be it. Well, maybe side to side.
นีล : เอ่อ ไม่ครับ ผมคิดว่ามีแต่เคลื่อนที่ไปข้างหน้ากับย้อนกลับไปข้างหลังเท่านั้นก็น่าจะหมดแล้ว อืม... บางทีอาจเคลื่อนที่ไปข้างๆได้
 
 
G : “That’s correct. If you were suspended in the Corridor of Time, you could also move left to right. Is there any other way?”
พระเจ้า : "ถูกต้อง หากเธอแขวนลอยอยู่ในช่องทางเดินแห่งกาลเวลา เธอสามารถเคลื่อนที่จากซ้ายไปขวาได้ มีทางอื่นอีกไหม❓"
 
 
N : Up and down?
นีล : ขึ้นบน กับ ลงล่าง❓
 
 
G : “Correct. You could move up and down. And so, there are three ways you see that you could move--back and forth, left and right, up and down. Can you think of any other way you could move?
พระเจ้า : "ถูกต้อง เธอสามารถเคลื่อนที่ขึ้นและลงได้ ดังนั้น มี 3 วิธีหรือ 3 ทางแล้วที่เธอเห็นว่าสามารถเคลื่อนที่ไปได้ - ไปข้างหน้าและข้างหลัง ไปทางซ้ายและทางขวา ขึ้นบนและลงล่าง เธอคิดออกอีกไหมว่ามีทางไหนอีกที่เธอสามารถเคลื่อนที่ไปได้❓"
 
 
N : (Very long pause)
นีล : (หยุดคิดเป็นเวลานาน)
 
 
G : “Hello?”
พระเจ้า : "เฮ้❓"
 
 
N : I’m thinking.
นีล : ผมกำลังคิดอยู่ครับ
(Another very long pause)
(หยุดคิดอีกเป็นเวลานาน)
No. I guess not.
ไม่ครับ ดูเหมือนจะไม่มีแล้ว
 
 
G : “Most people cannot.”
พระเจ้า : "คนส่วนใหญ่คิดกันไม่ออกหรอก"
 
 
N : Why not?
นีล : ทำไมล่ะครับ❓
 
 
G : “Because they experience themselves as part of a three-dimensional environment. But what if I told you there is a fourth spatial dimension inside that tunnel, a fourth direction in which you could move?”
พระเจ้า : "เพราะพวกเขารับรู้ตนเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมสามมิติ แต่ถ้าฉันบอกเธอว่า ยังมีมิติเชิงพื้นที่ที่ 4 อยู่ในอุโมงค์ล่ะ ทิศทางที่ 4 ที่เธอสามารถเคลื่อนที่ไปได้❓"
 
 
N : I would be bewildered. I can’t guess what it is.
นีล : ผมคิดจนหัวหมุนไปหมดแล้ว แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าเราจะเคลื่อนที่ไปทางไหนได้อีก
 
 
G : “You could move circumferentially. From our suspended position inside the Corridor of Time, you could move in a clockwise or counterclockwise direction.”
พระเจ้า : "เธอสามารถเคลื่อนที่เป็นวงกลมได้ จากตำแหน่งที่แขวนลอยอยู่ในช่องทางเดินแห่งกาลเวลา เธอสามารถเคลื่อนที่ไปในทิศทางตามเข็มนาฬิกาหรือทวนเข็มนาฬิกาได้"
 
 
N : I didn’t think of that.
นีล : ไม่เคยมีอยู่ในหัวเลยครับนั่น 😮
 
 
G : “The tunnel has three distances…the distance from beginning to end (forward/backward), the distance from side to side (left/right), and the distance top to bottom (up/down). It also has a fourth distance--the distance around it’s interior space (circumference). This is the Fourth Dimension in Time…and so there are more ways of ‘moving through Time‘…and so there are more ways of 'moving through time’ than you might previously have imagined.”
พระเจ้า : "อุโมงค์แห่งกาลเวลาที่ว่ามีระยะทางอยู่สามแบบ... ระยะทางจากจุดเริ่มต้นถึงจุดสิ้นสุด (ข้างหน้า/ข้างหลัง) ระยะทางจากข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่ง (ซ้าย/ขวา) และระยะทางจากบนลงล่าง (ขึ้น/ลง) นอกจากนั้น ยังมีระยะทางที่สี่ - ระยะทางรอบพื้นที่ภายในของมัน (เส้นรอบวง) นี่คือมิติที่สี่ของเวลา... และดังนั้น จึงมีวิธีการ 'เคลื่อนที่ผ่านเวลา' มากกว่าที่เธอเคยจินตนาการถึงมาก่อน"
 
 
N : You’re right. I just never thought of this fourth way.
นีล : พระองค์พูดถูก ผมไม่เคยคิดถึงวิธีที่สี่นี้มาก่อนเลย
 
 
G : “Actually, in the Space/Time Continuum there are more spatial dimensions than four.”
พระเจ้า : "จริงๆ แล้ว ในความต่อเนื่องโยงใยกันของพื้นที่ว่างและกาลเวลา มีมิติเชิงพื้นที่มากกว่า 4"
 
 
N : More than four? Good heavens, how many?
นีล: มากกว่าสี่❓ สวรรค์ทรงโปรด มีกี่มิติกันครับ❓
 
 
G : “The number really does not matter here. If you wish to know more about this at the technical level, talk to a quantum physicist. Again, this is simply today’s science. All that matters for the purpose of this discussion is for you to know and understand that not all things are the way they seem, that there are more possibilities in every moment within every lifetime than you might previously have imagined.
พระเจ้า : "มิติจะมีอยู่เท่าไหร่นั้นไม่สำคัญในตอนนี้ หากเธออยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ในระดับเทคนิค ให้คุยกับนักฟิสิกส์ควอนตัม นี่เป็นเพียงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทั่วๆไปในปัจจุบัน* (*หาข้อมูลได้ง่ายๆในอินเตอร์เน็ต) สิ่งที่สำคัญสำหรับการพูดคุยกันของเราในบทนี้ก็คือ ให้เธอรู้และเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกสิ่งจะเป็นไปตามที่ดูเหมือนว่าควรจะเป็น มีความเป็นไปได้อยู่มากมายในทุกช่วงเวลาของแต่ละชีวิต/แต่ละชาติภพ มากกว่าที่เธอเคยคิดและจินตนาการถึงมาก่อน
“Still, your journey is the same, in the sense that the destination is the same. It is your route that may have more possibilities for variation than you thought.”
"อย่างไรก็ตาม การเดินทางของเธอยังเหมือนเดิม ในแง่ที่ว่าจุดหมายปลายทางของเธอก็ยังคงเหมือนเดิม แต่แค่เส้นทางเดินของเธออาจมีความเป็นไปได้ที่จะให้เธอเดินไปอยู่มากมายกว่าที่เธอคิดก็เท่านั้นเอง"
 
 
N : What would determine which choice I make, given all these options?
นีล : อะไรที่เป็นตัวกำหนดการเลือกของผม จากทางเลือกทั้งหมดเหล่านี้ครับ❓
 
 
G : “It has to do with what you wish to experience. All paths may lead to the same destination, but each ‘route’ offers different experiences. Since you are making continuous journey’s through the Space/Time Continuum, endless in number, taking any route that you wish, there is no ‘risk’ of ‘losing a chance’ to take any particular route, so your options are wide open.”
พระเจ้า : "มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เธอปรารถนาจะประสบ เส้นทางทั้งหมดอาจนำไปสู่จุดหมายปลายทางเดียวกัน แต่แต่ละ 'เส้นทาง' ก็มอบประสบการณ์ที่แตกต่างกัน เนื่องจากเธอกำลังเดินทางอยู่อย่างต่อเนื่องผ่านความโยงใยกันของพื้นที่ว่างและเวลา ซึ่งมีเส้นทางอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน เธอจะเลือกเส้นทางใดก็ได้ตามแต่ที่เธอปรารถนา ไม่มี 'ความเสี่ยง' ใดๆที่จะ 'สูญเสียโอกาส' หากเลือกเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งไป ดังนั้นตัวเลือกของเธอจึงเปิดกว้างอย่างยิ่ง"
N : And this goes on forever? I never get to stay in the spiritual life for all eternity?
นีล : และการเดินทางที่ว่านี้จะต้องดำเนินต่อไปตลอดกาล❓ ผมจะไม่มีทางได้อยู่ในรูปแบบชีวิตทางจิตวิญญาณไปชั่วนิรันดร์❓*
(*ยังไงก็ต้องออกเดินทางไปมีประสบการณ์ในโลกทางกายภาพหรือ? จะอยู่ในโลกวิญญาณตลอดไปไม่ได้หรือ? ประมาณนั้นครับ)
 
 
G :“You remain nowhere for all eternity.”
พระเจ้า : "ไม่ใช่ที่ไหนเลยที่เธอจะอยู่ไปตลอดกาล"*
*เธอไม่คงอยู่ ณ ที่แห่งใดเลย ตราบชั่วนิรันดร์
ในแง่หนึ่งก็คือ : เราคงอยู่ในความว่างตราบชั่วนิรันดร์ / เราคือความว่าง ความว่างก็คือเรา
และในอีกแง่ก็คือ : เรามิได้อยู่ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง แต่อยู่ทั่วทุกแห่งหน
ค่อยๆคิดพิจารณากันครับ 😁
N : Not even in the Center, in the Core of My Being: I know I asked this before, but…
นีล : ไม่แม้แต่ในศูนย์กลาง ในแก่นกลางแห่งการดำรงอยู่ของผม : ผมรู้ว่าผมเคยถามคำถามนี้มาก่อน แต่...
 
 
G : “Go on.”
พระเจ้า: "พูดต่อเลย"
 
 
N : I remain nowhere for all eternity?
นีล : ไม่ใช่ที่ไหนเลยที่ผมจะอยู่ไปตลอดกาล❓"
 
 
G : “You must put a space in that word ‘nowhere,’ as I have taught you before, in order to understand the statement.
พระเจ้า : "เธอต้องใส่ช่องว่างในคำว่า 'ไม่ใช่ที่ไหนเลย' ตามที่ฉันเคยสอนเธอไป เพื่อทำความเข้าใจข้อความนั้น
“The word ‘nowhere’ with a space in the middle reveals: ‘now here.’
"คำว่า 'ไม่ใช่ที่ไหนเลย' เมื่อมีช่องว่างตรงกลาง จะเปิดเผยให้เห็นคำว่า : 'ณ ที่นี่' *
(*ขณะนี้ ที่นี่ / ที่นี่ เดี๋ยวนี้ / ปัจจุบันขณะ)
“You remain Now Here for all eternity.
"เธอดำรงอยู่ ณ ปัจจุบันขณะตราบชั่วนิรันดร*
(*เธอดำรงอยู่ ณ นิรันดรขณะแห่งปัจจุบัน)
“’Now Here’ is the only Time and Space there is.”
"'ปัจจุบันขณะ' เป็นเวลาและพื้นที่ว่างเดียวที่มีอยู่"
 
 
𝗡 : 𝗧𝗵𝗶𝘀 𝗿𝗲𝗮𝗹𝗹𝘆 𝗶𝘀 𝗺𝗶𝗻𝗱-𝗲𝘅𝗽𝗮𝗻𝗱𝗶𝗻𝗴. 𝗦𝗼, 𝗵𝗲𝗮𝘃𝗲𝗻. '𝗽𝗮𝗿𝗮𝗱𝗶𝘀𝗲,' 𝗻𝗶𝗿𝘃𝗮𝗻𝗮, 𝗿𝗲𝘂𝗻𝗶𝗼𝗻 𝗶𝗻 𝗯𝗹𝗶𝘀𝘀 𝘄𝗶𝘁𝗵 𝗚𝗼𝗱, 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗮𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗼𝗿𝗲?
N : นี่มันช่างเปิดโลกของผมอย่างแท้จริง* (*จิตเปิดกว้างออกไปรับรู้ถึงสัจจะที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม) ดังนั้น “สวรรค์ แดนสุขาวดี นิพพาน การกลับมาพบกับพระเจ้าด้วยปีติสุขอันล้นพ้น (หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า) ก็ไม่ได้อยู่ที่แกนกลางงั้นหรือครับ❓
 
 
𝗚 : "𝗬𝗲𝘀, 𝗶𝘁 𝗶𝘀--𝗯𝘂𝘁 𝗶𝘁 𝗶𝘀 𝗮𝗹𝘀𝗼 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗲𝗹𝘀𝗲. 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗻𝗼𝘁 𝗮 𝗰𝗮𝘀𝗲 𝗼𝗳 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 '𝗵𝗲𝗿𝗲' 𝗮𝗻𝗱 𝗻𝗼𝘁 '𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲.' 𝗜𝘁 𝗶𝘀 𝗲𝘃𝗲𝗿𝘆𝘄𝗵𝗲𝗿𝗲.
G : อยู่ที่นั่นด้วย แต่ก็อยู่ทุกที่ด้วยเช่นกัน นี่ไม่ใช่กรณีของการอยู่ “ที่นี่” และไม่ได้อยู่ “ที่นั่น” แต่อยู่ในทุกหนทุกแห่ง
"𝗬𝗲𝘁 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲 𝗶𝘀 𝘀𝗼𝗺𝗲𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴 𝘂𝗻𝗶𝗾𝘂𝗲 𝗮𝗯𝗼𝘂𝘁 𝘁𝗵𝗲 𝗖𝗼𝗿𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝘆𝗼𝘂 𝗳𝗶𝗻𝗱 𝗶𝗻 𝗻𝗼 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝗽𝗹𝗮𝗰𝗲 𝘄𝗶𝘁𝗵𝗶𝗻 𝘁𝗵𝗲 𝗦𝗽𝗮𝗰𝗲/𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗖𝗼𝗻𝘁𝗶𝗻𝘂𝘂𝗺--𝗮𝗻𝗱 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗶𝘀 𝘄𝗵𝘆 𝘆𝗼𝘂 𝗴𝗼 𝘁𝗵𝗲𝗿𝗲."
อย่างไรก็ตามมีบางสิ่งที่พิเศษเกี่ยวกับแกนกลาง ซึ่งเธอไม่สามารถพบได้จากที่อื่นภายในความต่อเนื่องโยงใยกันของพื้นที่ว่างและเวลา– และสิ่งนี้คือสาเหตุที่ทำให้เธอต้องเคลื่อนที่ไปยังแกนกลาง
 
 
N : What is it?
นีล : มันคืออะไรครับ❓
 
 
G : “The Singularity.
พระเจ้า : "ความเป็นหนึ่งเดียว
“At the Core of Your Being, All That Is and All That You Are appears in its Singular Form. It is here that Knowing and Experiencing merge.
"ที่แก่นกลางแห่งการดำรงอยู่ของเธอ ทุกสรรพสิ่งและทุกสิ่งที่เธอเป็นปรากฏในรูปแบบที่เป็นหนึ่งเดียว ที่นี่คือที่ที่ความรู้และประสบการณ์รวมเป็นหนึ่ง
“This merging may be created by you at any time and place within the Continuum, but at the Core of Your Being there is nothing else to ‘compete’ with it, nothing else to take your attention from. It is all that there is.”
"การรวมเป็นหนึ่งนี้เธอสามารถสร้างขึ้นได้ในทุกเวลาและสถานที่ภายในความต่อเนื่องโยงใยกันของพื้นที่ว่างและเวลา แต่ที่แก่นกลางแห่งการดำรงอยู่ของเธอ ไม่มีสิ่งใดมา 'แข่งขัน' กับมัน ไม่มีสิ่งใดมาดึงความสนใจของเธอไปจากมัน มันคือทั้งหมดที่มีอยู่"*
*ตรงนี้คือ ถ้าเราอยู่นอกแกนกลาง เช่น กำลังเป็นรูปธรรมชีวิตทางกายภาพอยู่บนโลก วันนึงเราไปเข้าคอร์สสมาธิ แม้เราจะไปเข้าคอร์สเพื่อฝึกทำสมาธิเป็นหลักแล้วก็ตาม วันนึงหลายๆชม.เป็นต้น แต่มันก็ยังค่อนข้างยากที่จะเข้าสู่สภาวะเป็นหนึ่งเดียวนั้นได้อยู่ดี เพราะมันมีเรื่องมาดึงดูดความสนใจของเรามากเกินไป (ชีวิตบนโลก และ ฯลฯ อีกมากมาย)
ไม่เหมือนที่แกนกลางที่มีแค่สภาวะเดียว คือสภาวะแห่งความเป็นหนึ่งให้เรารับรู้ เมื่อไม่มีสภาวะอื่นใดอีกดำรงอยู่ที่นั่น ทำให้เราหลอมรวมกลายเป็นหนึ่งได้ทันทีเมื่อเข้าไป
N : Okay, well then, that’s heaven. That’s where I want to stay.
นีล : โอเค งั้นที่นั้นก็คือสวรรค์ นั่นคือที่ที่ผมต้องการอยู่
 
 
G : “No, you don’t. That’s what you want to Know and Experience, but that’s not where you want to stay.”
พระเจ้า : "ไม่ เธอจะไม่ต้องการอยู่ที่นั่นหรอก ที่นั่นคือที่ที่เธอต้องการรู้และมีประสบการณ์ แต่ไม่ใช่ที่ที่เธอต้องการอยู่
 
 
N : Why not? Sure sounds good to me!
นีล : ทำไมผมจะไม่ต้องการอยู่ที่นั่นล่ะครับ❓ ฟังดูดีออก❗
 
 
G : “If you Knew and Experienced IT and NOTHING ELSE, you would ultimately lose yourself in the mergence. You would no longer know you were having the mergence, because there would be no other Knowing or Experiencing with which to compare it. You would not even know who you are. You would lose your ability to differentiate, to individuate your Self.”
พระเจ้า : "หากเธอรู้และมีประสบการณ์ถึงมันและไม่มีสิ่งอื่นใดอีก สุดท้ายเธอจะสูญเสียตัวตนไปในการรวมเป็นหนึ่งนั้น เธอจะไม่สามารถรับรู้ได้อีกต่อไปว่าตนเองกำลังมีประสบการณ์ถึงความเป็นหนึ่งเดียว เพราะไม่มีการรับรู้อย่างอื่นหรือประสบการณ์อื่นให้เปรียบเทียบ เธอจะไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองเป็นใครด้วยซ้ำ เธอจะสูญเสียความสามารถในการแบ่งแยกตัวเองออกมา การทำให้ตัวเองเป็นปัจเจก (มีเอกลักษณ์เฉพาะตน)"*★
(*ซึ่งนั่นไม่ใช่ความปรารถนาสูงสุดของพระเจ้า เพราะพระเจ้าปรารถนาที่จะมีประสบการณ์ถึงตัวเอง ผ่านตัวตนปัจเจกนับอนันต์)
★อ่านย่อหน้านี้แล้ว ถ้าผมบอกว่า การดำรงอยู่ในนิพพานอย่างเนิ่นนาน จะกลายเป็นความไม่รู้ หรือ อวิชชา งั้นสินะ
เมื่อมีสภาวะอื่นดำรงอยู่ นิพพานคือนิพพาน หากไม่มีสภาวะอื่นดำรงอยู่แล้วไซร้ นานไปนิพพานจะกลายเป็น อวิชชา ในแง่นี้ นิพพาน คือ อวิชชา นิพพานและอวิชชาคือสิ่งเดียวกัน ที่แสดงออกในลักษณะที่ต่างกัน 🤯
สมองพังโดยสมบูรณ์ 🤯🤯🤯
ชาวพุทธจะมาไล่กระทืบผมมั้ยครับเนี่ยที่ผมสรุปออกมาแบบนี้??? 😂😂😂
อย่านะครับ ผมหนีเข้าถ้ำจริงๆด้วย 🤣🤣🤣
เอาจริงๆนี่ ผม crack code ของปฏิจจสมุปบาท ได้แล้วสินะ ว่าก่อน อวิชชา คือ อะไร อ้อ....ทั้งหมดนี้แตกตัว/สำแดงตัวออกมาจากสภาวะนิพพานนี่เอง เพราะสภาวะนิพพานคงอยู่ด้วยตัวของมันเองไม่ได้ ต้องมีวัฏจักร ต้องมีกระบวนการเป็นวัฏจักร
คำสอนของทางมหายานในคัมภีร์วัชรเฉทิกะฯลฯ (เพชรตัดทำลายภาพลวงตา) ก็สุดยอดจริงๆที่สอนในเรื่อง ทั้งหมดทั้งมวล รวมทั้งธรรมะและนิพพาน มันก็เป็นเพียงแค่ชื่อเรียกกล่าวขานเท่านั้น มีอยู่ แต่ไม่ใช่ของจริง/ไม่ใช่สัจจะความจริงสูงสุด เป็นแค่มายา...🤔🤔🤔
N : Are you actually telling me that ‘heaven’ could get to be ‘too much of a good thing’?
นีล : พระองค์กำลังบอกผมจริงๆ หรือว่า 'สวรรค์' อาจกลายเป็น 'ของดีเกินไป' หรือ 'ที่ที่ดีเกินไป'❓
 
 
G : “I am telling you that all things exist in the Space/Time Continuum in perfect balance. The Essence of Who You Are knows precisely and exactly when the Process of Life Itself calls for you to merge with the Oneness and to emerge from it, in order for you to Know the bliss of the Oneness through the Experience and the glory of its Individuation.
พระเจ้า : "ฉันกำลังบอกเธอว่าทุกสิ่งที่ดำรงอยู่มีอยู่ในความต่อเนื่องโยงใยกันของพื้นที่ว่างและเวลามีความสมดุลกันอย่างสมบูรณ์ แก่นแท้แห่งตัวตนของเธอตระหนักรู้อย่างแม่นยำและถูกต้องว่ากระบวนการของชีวิตเรียกร้องให้เธอรวมเป็นหนึ่งกับความเป็นหนึ่งเดียวนั้นและแยกตัวออกมาจากมัน เพื่อให้เธอรับรู้ถึงปีติสุขอันล้นพ้นแห่งความเป็นหนึ่งเดียวผ่านประสบการณ์และความรุ่งโรจน์ของความเป็นปัจเจก
“The system works perfectly. The balance is precise. The design carries the elegance of a snowflake.
"ตัวระบบทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีความสมดุลที่เที่ยงตรงและแม่นยำ ระบบถูกออกแบบมามีความงดงามดุจเกล็ดหิมะ*
(*อย่าถามผมนะว่า ใครเป็นคนออกแบบระบบ ตอนนี้ผมก็แค่รู้คร่าวๆ แต่ก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน ข้อมูลยังไม่พอ–ยังจดจำรำลึกได้ไม่มากพอ)
“To the Oneness you return, and from the Oneness you emerge, over and over again, eternally and forever, and even forevermore.
"เธอหวนคืนสู่ความเป็นหนึ่งเดียว และจากความเป็นหนึ่งเดียวเธอแยกตัวออกมา (ผุดขึ้นมา /เกิดขึ้นมา / ปรากฎตัวออกมา) ซ้ำแล้วซ้ำอีก ตราบชั่วนิรันดร์ และแม้กระทั่งสืบไปต่อเบื้องหน้าตราบชั่วกัลปาวสาน
“And this is…
"และนี่คือ...
THE TENTH REMEMBRANCE
ความทรงจำที่ 🔟
Life is eternal.
♾️ ชีวิตนั้นเป็นนิรันดร์"
N : Yes, well, every religion tells us that. Every faith tradition on the earth proclaims it. And now here we are again, hearing that.
นีล : ใช่ ทุกศาสนาก็บอกเราเช่นนั้น ทุกความเชื่อทางจิตวิญญาณบนโลกประกาศเช่นนี้ และตอนนี้เราก็ได้ยินอีกแล้ว
G : “It is true that I have been sending this message to you through many messengers over many centuries.”
พระเจ้า : "เป็นความจริงที่ฉันได้ส่งสารนี้ผ่านผู้ส่งสารหลายคนตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา"
N : Rossiter W. Raymond was a writer, editor, orator, theologian, teacher, novelist, consulting mining engineer, and practicing lawyer who lived from 1840 to 1918, and his most famous quote was:
นีล : รอสซิเตอร์ ดับบลิว เรย์มอนด์ เป็นนักเขียน บรรณาธิการ นักพูด นักเทวศาสตร์ ครู นักประพันธ์นวนิยาย วิศวกรที่ปรึกษาด้านการทำเหมือง และทนายความที่มีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ. 2383 ถึง 2461 และคำพูดที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาก็คือ :
Life is eternal; and love is immortal; and death is only a horizon; and a horizon is nothing save the limit of our sight.
ชีวิตเป็นนิรันดร์ ความรักเป็นอมตะ และความตายเป็นเพียงแค่ขอบฟ้า และขอบฟ้าไม่ใช่อะไรนอกจากขีดจำกัดทางสายตาของเรา
I suppose he was one of your messengers.
ผมคิดว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ส่งสารของพระองค์
G : “He was.”
พระเจ้า: "เขาใช่"
N : And contemporary entertainers are, too, I guess. Like Carly Simon. She used the Raymond quote when she recorded a song written with Teese Gohl a few years ago to send a message to a new and wider audience about being Home with God. And Alanis Morissette. She has been saying a lot lately about life and the nature of existence through her music. And filmmaker Stephen Simon through his movies, and now his Spiritual Cinema Circle. And…
นีล : และบรรดาศิลปินบันเทิงสมัยใหม่คงเป็นเช่นกัน ผมคิดว่า เช่นคนอย่าง คาร์ลี ไซมอน เธอใช้คำพูดของเรย์มอนด์เมื่อเธอบันทึกเพลงที่เขียนร่วมกับทีส โกห์ลเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เพื่อส่งสารไปยังผู้ชมรายใหม่และกว้างขวางเกี่ยวกับการกลับบ้านกับพระเจ้า (หวนคืนสู่พระเจ้า) และอลานิส มอริเซ็ต เธอกำลังกล่าวถึงมากมายเกี่ยวกับชีวิตและธรรมชาติของการดำรงอยู่ผ่านดนตรีของเธอ และผู้กำกับภาพยนตร์สตีเฟน ไซมอนผ่านภาพยนตร์ของเขา และตอนนี้ในแวดวงภาพยนตร์ทางจิตวิญญาณของเขา และอื่นๆ อีก...
G : “Let me make something clear here. You are all my messengers. Every one of you.
พระเจ้า : "ให้ฉันได้พูดบางสิ่งที่ชัดเจนตรงนี้ #เธอทั้งหมดคือผู้ส่งสารของฉัน #พวกเธอทุกๆคน
“You are all sending a message to life about life through your own life, lived.
"#เธอทั้งหมดกำลังส่งสารเกี่ยวกับชีวิตผ่านชีวิตของเธอเอง นั่นคือ #การที่พวกเธอกำลังมีชีวิตอยู่
“The question is not, ‘Are you a messenger?’ The question is, ‘What is the message you are sending?’
"คำถามไม่ใช่ว่า 'เธอเป็นผู้ส่งสารหรือไม่❓' แต่เป็น 'สารที่เธอกำลังส่งคืออะไรต่างหาก❓'"
(((จบบท 21)))

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา