6 ธ.ค. เวลา 04:51 • หนังสือ

#35 บทที่ 2️⃣2️⃣ : จังหวะเวลาและสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความตายนั้นสมบูรณ์แบบเสมอ

THE ELEVENTH REMEMBRANCE
การระลึกถึงความจริงที่ 1️⃣1️⃣
There is no such thing as the truth.
ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความจริงแท้*
(*ประโยคนี้หมายถึง : ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ความจริงแท้ของทุกคน มีแต่ความจริงที่เป็นของคุณ เฉพาะคุณคนเดียวเท่านั้น)
Chapter 22
บทที่ 2️⃣2️⃣
Neale: The Tenth Remembrance does not surprise me even a little nor does it take my breath away with its originality.
นีล: การระลึกได้ถึงความจริงที่ 🔟* ไม่ได้ทำให้ผมประหลาดใจแม้แต่น้อย และไม่ได้ทำให้ผมตะลึงกับความแปลกใหม่ของมัน
(*ชีวิตนั้นเป็นนิรันดร)
God: “I’m sure it doesn’t. But it should take your breath away with it’s meaningfulness. There will be nothing more meaningful said in this entire conversation.
พระเจ้า : "ฉันแน่ใจว่ามันไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่มันควรจะทำให้เธอตกตะลึงด้วยความมีนัยยะที่สำคัญยิ่งและเปี่ยมไปด้วยความหมายอันลึกซึ้งของมัน จะไม่มีสิ่งใดที่มีความหมายมากไปกว่านี้อีกแล้วในการสนทนาทั้งหมดในครั้งนี้ของเรา
“When you know that life is eternal you never again fear ‘death,’ because you see and understand the nature of it, the wonder of it, the glory of it, the perfection of it, and the impeccable gift that it is.”
"เมื่อเธอรู้ว่าชีวิตนั้นเป็นนิรันดร์ เธอจะไม่มีวันกลัว 'ความตาย' อีกต่อไป เพราะเธอเห็นและเข้าใจธรรมชาติของมัน ความอัศจรรย์ของมัน ความรุ่งโรจน์ของมัน ความสมบูรณ์แบบของมัน และของขวัญอันไร้ที่ติที่มันเป็น"
N : Maybe one day I may write a separate book: Death, the Impeccable Gift.
ึนีล: บางทีสักวันผมอาจจะเขียนหนังสืออีกเล่ม: ความตาย ของขวัญอันไร้ที่ติ
G : “That would be a very good book. A small handbook. A little ‘instruction book’ for the dying and their loved ones. That would be an extraordinary contribution.
พระเจ้า: "นั่นจะเป็นหนังสือที่ดีมาก เป็นคู่มือขนาดเล็ก เป็น 'หนังสือคู่มือ' เล่มเล็กๆ สำหรับผู้ที่กำลังจะตายและคนที่รักพวกเขา นั่นจะเป็นผลงานหรือคุณูปการที่พิเศษมาก
“In the meantime, we have this conversation to complete, so that you and others who are exploring these subjects more deeply may more deeply understand them.
"ในระหว่างนี้ เรามีการสนทนานี้ที่ต้องทำให้เสร็จสิ้น เพื่อที่เธอและคนอื่นๆ ที่กำลังสำรวจหัวข้อเหล่านี้อย่างลึกซึ้งจะเข้าใจมันได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
“The question now is not whether, when you have finished this conversation, you will understand what you have always wanted to understand, but whether you will believe what you will have come to know.”
"คำถามตอนนี้ไม่ใช่ว่าเมื่อเธอจบการสนทนานี้แล้ว เธอจะเข้าใจสิ่งที่เธอต้องการจะเข้าใจมาโดยตลอดได้หรือไม่ แต่เป็นว่าเธอจะเชื่อในสิ่งที่เธอได้มารู้นี้หรือไม่ต่างหาก"
N : Why would I not believe it?
นีล: ทำไมผมจะไม่เชื่อล่ะครับ❓
G : “Because humanity has always had the most difficult time believing the most wonderful truths, and the truths about ‘death’ are the most wonderful truths of all.”
พระเจ้า: "เพราะมนุษยชาติมักจะมีความยากลำบากที่สุดในการเชื่อความจริงที่วิเศษที่สุด และความจริงเกี่ยวกับ 'ความตาย' คือความจริงที่วิเศษที่สุดในบรรดาความจริงทั้งมวล"
N : These are wonderful truths, I must admit. I want so much to believe every word here. I just hope they are true.
นีล: ความจริงเรื่องความตายนี้เป็นความจริงที่วิเศษสุดจริงๆ ผมขอยอมรับ ผมอยากเชื่อทุกคำที่พูดตรงนี้มาก ผมแค่หวังว่ามันจะเป็นความจริง
G : “You see? There you are already, questioning them. Oh, ye of little faith…do you not see that when you are questioning them, you are questioning your Self?
พระเจ้า: "เห็นมั้ย❓ นั่นไง เธอกำลังตั้งคำถามกับมันแล้ว โอ้ เจ้าผู้มีศรัทธาอันน้อยนิด... เธอไม่เห็นหรือว่าเมื่อเธอตั้งคำถามกับมัน เธอกำลังตั้งคำถามกับตัวเธอเอง❓
“If you love the truths that you find in your soul, do not abandon them because someone outside of your soul does not agree with them or ridicules or questions them. You are not saying that your truth is THE truth, You are saying that it is YOUR truth.
"ถ้าเธอรักความจริงที่เธอพบในจิตวิญญาณของเธอ อย่าละทิ้งมันเพราะมีคนภายนอกวิญญาณของเธอไม่เห็นด้วยหรือเยาะเย้ยหรือตั้งคำถามกับมัน เธอไม่ได้กำลังพูดว่าความจริงของเธอคือความจริงแท้ เธอกำลังพูดว่ามันคือความจริงของเธอ"
N : This is my truth. What I am coming to understand through my conversation with you is my truth.
นีล: นี่คือความจริงของผม สิ่งที่ผมกำลังเข้าใจผ่านการสนทนากับพระองค์คือความจริงของผม
G : “This is sufficient. That is enough. In fact, that is more than enough. That is very powerful. Do you know how powerful it is to have gotten in touch with your own truth--about anything?
พระเจ้า : "นั่นก็เพียงพอแล้ว เท่านั้นก็พอแล้ว จริงๆ แล้ว นั่นมากกว่าคำว่าพอ นั่นมันทรงพลังมากต่างหาก เธอรู้ไหมว่ามันทรงพลังแค่ไหนที่ได้ #เข้าถึงความจริงของตัวเอง--ไม่ว่าจะเกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ตาม❓
“Others will get in touch with their truth as a result of this conversation as well. Because, ‘in truth,’ this is not just your conversation, it is theirs also. Everyone who is reading these words has created this conversation. Do you know that? Do you know that, as you are reading these words, you are creating where they are going next?”
"คนอื่นๆ จะได้เข้าถึงความจริงของพวกเขาเช่นกันจากการสนทนานี้ เพราะ 'ในความเป็นจริง' แล้ว นี่ไม่ใช่แค่การสนทนาของเธอ แต่เป็นของพวกเขาด้วย ทุกคนที่กำลังอ่านคำเหล่านี้ได้สร้างการสนทนานี้ขึ้น เธอรู้เรื่องนั้นไหม❓ เธอรู้ไหมว่า ในขณะที่เธอกำลังอ่านคำเหล่านี้ เธอก็กำลังสร้างว่ามันจะไปทางไหนต่อไป❓"
N : That is a mind-boggling concept. It is hard to get my head around, because the end of this book already exists. We could flip to the end right now and see what it says. So if all of us reading this are creating it as we go, how come the end already exists?
นีล: นั่นเป็นแนวคิดที่ยากจะเข้าใจมาก มันยากที่จะทำความเข้าใจ เพราะตอนจบของหนังสือเล่มนี้มีอยู่แล้ว เราสามารถพลิกไปดูตอนจบได้เดี๋ยวนี้และดูว่ามันพูดอะไร ถ้าพวกเราทุกคนที่กำลังอ่านอยู่นี้กำลังสร้างมันขึ้นมาในขณะที่อ่าน แล้วทำไมตอนจบถึงมีอยู่แล้วล่ะครับ❓
G : “The book on the shelf of the richly appointed library already existed, too, but it did not exist in your reality until you saw it there. EVERYTHING that you have created is already there. Everything. The fact that it is already there does not mean that you have not created it. It simply means that you are not aware that you have created it, because from where you are now in the Space/Time Continuum you cannot see that.”
พระเจ้า: "หนังสือบนชั้นในห้องสมุดที่ตกแต่งอย่างหรูหราก็มีอยู่แล้วเช่นกัน แต่มันไม่ได้มีอยู่ในความเป็นจริงของเธอจนกว่าเธอจะเห็นมันที่นั่น ทุกสิ่งที่เธอสร้างขึ้นมีอยู่แล้วที่นั่น ทุกสิ่ง การที่มันมีอยู่แล้วไม่ได้หมายความว่าเธอไม่ได้สร้างมัน มันเพียงแค่หมายความว่าเธอไม่รู้ตัวว่าเธอได้สร้างมัน เพราะจากจุดที่เธออยู่ตอนนี้ในความต่อเนื่องโยงใยกันของพื้นที่ว่างและเวลา เธอไม่สามารถเห็น (รับรู้) สิ่งนั้นได้"
N : Do you know just how mind-bending all this stuff really is?
นีล: พระองค์รู้ไหมว่าเรื่องพวกนี้ทั้งหมดมันชวนให้สมองแตกขนาดไหน❓
G : “I think I have a pretty good idea.”
พระเจ้า: "ฉันคิดว่าฉันพอจะเข้าใจดี"
N : I am so happy now. I feel as though I’m being given the information behind the cosmology of the universe. This is the mechanism of life and death. So I suppose now I can go ahead and die…
นีล: ผมมีความสุขมากตอนนี้ ผมรู้สึกเหมือนกำลังได้รับข้อมูลเบื้องหลังจักรวาลวิทยาของจักรวาล นี่คือกลไกของชีวิตและความตาย ดังนั้นผมคงจะตายได้แล้วสินะ...
G : “You will choose to ‘die’ when your life on earth is complete. Your life on earth will be complete when you have experienced all that you came here to experience.”
พระเจ้า: "เธอจะเลือกที่จะ 'ตาย' เมื่อชีวิตของเธอบนโลกสมบูรณ์แล้ว ชีวิตของเธอบนโลกจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อเธอได้ประสบทุกสิ่งที่เธอมาที่นี่เพื่อประสบ"
N : Or when I realize that I have not experienced all of it and that there is no other way to experience all of it along the path I have taken.
นีล: หรือเมื่อผมตระหนักว่าผมยังไม่ได้ประสบทั้งหมด และไม่มีทางอื่นอีกที่จะได้ประสบทั้งหมดตามเส้นทางที่ผมได้เลือกไว้
G : “No. Emphatically, no. That cannot happen. No one dies having failed to experience all that they came to the physical world to experience.”
พระเจ้า: "ไม่ ขอยืนยันว่า ไม่ นั่นเป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครตายโดยที่ล้มเหลวในการประสบทุกสิ่งที่พวกเขามาสู่โลกทางกายภาพเพื่อประสบ"
N : What?
นีล: ว่าไงนะครับ❓
G : “I said that no one dies having failed to experience all that they came to the physical world to experience.
พระเจ้า: "ฉันบอกว่าไม่มีใครตายโดยที่ล้มเหลวในการประสบทุกสิ่งที่พวกเขามาสู่โลกทางกายภาพเพื่อประสบ
“There is no such thing as being ‘incomplete.’
"ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า 'ไม่สมบูรณ์'
“That is what is meant by…
"นั่นคือความหมายของ...
THE ELEVENTH REMEMBRANCE
การระลึกได้ถึงความจริงที่ 1️⃣1️⃣
The timing and the circumstances of death are always perfect. “
จังหวะเวลาและสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความตายนั้นสมบูรณ์แบบเสมอ"
N : I believe that. But how does the parent of a child who has been raped, mutilated, and murdered call the circumstances of such a death ‘perfect’? How do people who saw their loved ones perish on 9/11 accept such a death as ‘perfect’?
นีล: ผมเชื่อเรื่องนั้นนะครับ แต่พ่อแม่ของเด็กที่ถูกข่มขืน ทำร้ายร่างกาย และถูกฆาตกรรมจะเรียกสถานการณ์ของความตายเช่นนั้นว่า 'สมบูรณ์แบบ' ได้อย่างไร❓ คนที่เห็นคนที่พวกเขารักตายในเหตุการณ์ 9/11 จะยอมรับความตายเช่นนั้นว่า 'สมบูรณ์แบบ' ได้อย่างไรกัน❓
G : “I have already said that the elegance of life’s design is like that of a snowflake. It seems too perfect to be believed, too good to be true. Yet I tell you this: Comfort for the bereaved will be found in the sure knowledge of the certain perfection of God.
พระเจ้า: "ฉันได้พูดไปแล้วว่าความงดงามของการออกแบบชีวิตนั้นเหมือนกับเกล็ดหิมะ มันดูสมบูรณ์แบบเกินกว่าจะเชื่อ ดีเกินกว่าจะเป็นจริง แต่ฉันขอบอกกับเธอว่า: ความสบายใจสำหรับผู้สูญเสียจะพบได้ในความรู้อันแน่ชัดถึงความสมบูรณ์แบบอันเที่ยงแท้ของพระเจ้า
“God is perfect, always and eternally. Now there is only one thing left for you to understand: who and what ‘God’ is.
"พระเจ้านั้นสมบูรณ์แบบ เสมอมาและตลอดไป ตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่เหลือให้เธอต้องเข้าใจ: ใครและอะไรคือ 'พระเจ้า'
“I have told you over and over again in our conversations, and I will tell you here and now, once more, and finally:
"ฉันได้บอกเธอไปครั้งแล้วครั้งเล่าในการสนทนาของเรา และฉันจะบอกเธอที่นี่และเดี๋ยวนี้ อีกครั้งและเป็นครั้งสุดท้าย:
“GOD and LIFE are one and the same.
"#พระเจ้าและชีวิตคือสิ่งเดียวกัน
“Therefore when I say that ‘God is perfect,’ I am saying that Life is Perfect. And it is. The ‘system’ rests in perfect balance with itself.
"ดังนั้นเมื่อฉันพูดว่า 'พระเจ้าสมบูรณ์แบบ' ฉันกำลังพูดว่าชีวิตนั้นสมบูรณ์แบบ และมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ 'ระบบ' อยู่ในความสมดุลที่สมบูรณ์แบบด้วยตัวมันเอง
“All things happen in their perfect timing and in their perfect way. It is not always possible to see this, to perceive this, from the extremely narrow perspective of human experience. That is a limitation of the physical world. It is a limitation that can, however, be overcome.
"ทุกสิ่งเกิดขึ้นในจังหวะเวลาที่สมบูรณ์แบบและในวิถีทางที่สมบูรณ์แบบของมัน มันไม่ได้เป็นสิ่งที่จะเห็นได้เสมอไป ที่จะรับรู้ได้ จากมุมมองอันคับแคบจำกัดมากๆของประสบการณ์มนุษย์ นั่นคือข้อจำกัดของโลกทางกายภาพ อย่างไรก็ตาม มันเป็นข้อจำกัดที่สามารถเอาชนะได้
“Many ‘prophets’ and ‘sages’ have overcome this limitation of perception by choosing a different perspective, by looking at life a new way. Alas, their messages are often ignored.
"'ศาสดา' และ 'นักปราชญ์' หลายคนได้เอาชนะข้อจำกัดของการรับรู้นี้โดยการเลือกมุมมองที่แตกต่าง โดยการมองชีวิตในแบบใหม่ น่าเสียดาย ข้อความของพวกเขามักถูกเพิกเฉย
"Their insights are frequently belittled. Often, they themselves are condemned. And so the blind continue to lead the blind, because you will not listen to those who can see.
"ข้อคิดเห็นของพวกเขามักถูกดูถูก บ่อยครั้ง ตัวพวกเขาเองก็ถูกประณาม และดังนั้นคนตาบอดจึงยังคงนำทางคนตาบอด เพราะพวกเธอจะไม่ฟังเหล่าคนที่มีความสามารถในการมองเห็น
“Therefore, let those who have ears to hear, listen: Imperfection is impossible in the Kingdom of God.”
"ดังนั้น ขอให้ผู้ที่มี 'หู'* จงฟัง: ความไม่สมบูรณ์แบบเป็นไปไม่ได้ในอาณาจักรของพระเจ้า"
(*ตรงนี้พระองค์ก็หยิกแกมหยอกเราเล่นเล็กน้อยครับ : คือ แม้เราจะตาบอดอยู่ก็ตาม แต่เราก็ยังคงมี 'หู' อยู่นี่นะ 😆)
N : Yes, but what about here on earth?
นีล: เห็นด้วยครับ แต่บนโลกนี้ล่ะ❓
G : “’Here on earth’ IS the Kingdom of God. There is no place that exists that is not part of that kingdom.”
พระเจ้า: "'ที่นี่บนโลก' คืออาณาจักรของพระเจ้า ไม่มีสถานที่ใดที่มีอยู่ ดำรงอยู่ ปรากฎอยู่ ที่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของอาณาจักรนั้น"
N : You see, we have this all ‘separated out’ here on earth. We’ve got it that life on earth is the trial and the tribulation enabling us to get INTO the Kingdom of God. And it’s our idea that death is the way we get in.
นีล: พระองค์ก็เห็น ว่าพวกเรามี 'การแบ่งแยก' ทั้งหมดนี้บนโลก พวกเรามีความคิดว่าชีวิตบนโลกคือการทดสอบและการผจญกับความทุกข์ยาก (หรือวิบากกรรม) เพื่อที่จะทำให้เราสามารถเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าได้ และเป็นความคิดของเราที่ว่าความตายคือหนทางที่เราจะเข้าไป (หลังจากการทดสอบ)
G : “There is no way to get into the Kingdom of God. It is not a place you get into or out of. It is a place where you always ARE. It is the only place that you can ever be.”
พระเจ้า: "ไม่มีทางเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า มันไม่ใช่สถานที่ที่เธอจะเข้าหรือออกได้ แต่มันคือสถานที่ที่เธออยู่เสมอ มันคือสถานที่เดียวที่เธอสามารถอยู่ได้"
N : It sure doesn’t seem that way sometimes.
นีล: บางครั้งมันก็ไม่ได้ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นเลยนะครับ
G : “That is because you do not remember who you are, and you do not treat others as who they are. If you did, you would experience heaven on earth. You would be Home with God everywhere. And always.”
พระเจ้า: "นั่นเป็นเพราะเธอจำไม่ได้ว่าเธอคือใคร และเธอไม่ได้ปฏิบัติต่อผู้อื่นในฐานะที่พวกเขาเป็น ถ้าเธอทำเช่นนั้น เธอจะได้ประสบกับสวรรค์บนดิน เธอจะ "#อยู่บ้านกับพระเจ้า" #ในทุกหนทุกแห่ง_และตลอดเวลา"
N : Is there any way that people will ever, can ever, ‘get,’ that?
นีล: มีทางไหนอีกไหมครับที่ผู้คนจะ หรือสามารถ 'เข้าใจ' สิ่งนั้นได้❓
G : “Conversations such as this are one way. Do not keep this conversation to yourself. Make sure it gets into as many hands as possible. Share it with the world.
พระเจ้า: "การสนทนาเช่นนี้คือหนึ่งในหนทางนั้น อย่าเก็บการสนทนานี้ไว้กับตัวเอง ทำให้แน่ใจว่ามันจะถึงมือผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ #จงแบ่งปันมันกับโลก
 
“But first, bring the meaning of this message deeply into your own life. See God in everyone and everything, and see everything as perfect.”
"แต่ก่อนอื่น จงนำความหมายของข้อความนี้เข้าไปสู่ชีวิตของเธอเองอย่างลึกซึ้ง #จงเห็นพระเจ้าในทุกคนและทุกสิ่ง #และเห็นทุกสิ่งว่าสมบูรณ์แบบ"
N : You mentioned this earlier, when we talked about people feeling victimized. You suggested that we change our perspective and see everything as perfect even when, in human terms, it is obviously not.
นีล: พระองค์ได้พูดถึงเรื่องนี้ก่อนหน้านี้ เมื่อเราคุยกันเรื่องที่ผู้คนรู้สึกว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อ พระองค์แนะนำว่าเราควรเปลี่ยนมุมมองและมองทุกสิ่งว่าสมบูรณ์แบบ แม้ว่าในแง่ของมนุษย์ มันจะเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่
G : “Perhaps especially when it’s not. For such awareness will bring you peace in the midst of turmoil, rest in the space of weariness, forgiveness in the moment when resentment and anger might appear, and a greater love for life than you have ever experienced before.
พระเจ้า: "บางทีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันไม่ใช่ เพราะการตระหนักรู้เช่นนั้นจะนำความสงบมาสู่เธอท่ามกลางความโกลาหล นำการพักผ่อนมาสู่พื้นที่แห่งความเหนื่อยล้า นำการให้อภัยมาสู่ช่วงเวลาที่ความแค้นและความโกรธอาจปรากฏขึ้น และนำความรักที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เคยต่อชีวิตมาให้เธอมากกว่าที่เธอเคยประสบมาก่อน
“Search for the perfection in every moment. Search for it. Diligently. Faithfully. Know that it is there, and that you will find it if you will but look deeply.
"จงค้นหาความสมบูรณ์แบบในทุกขณะ ค้นหามัน อย่างขยันขันแข็ง อย่างซื่อสัตย์ จงรู้ว่ามันอยู่ที่นั่น และเธอจะพบมันถ้าเธอเพียงแค่มอง (ทุกสิ่ง) ให้ลึกซึ้ง*
(*มองผ่านเปลือกเข้าไปที่แก่น หรือ เบื้องหลังของมัน)
“Now, do you remember when I said, quite early in this conversation, that we would have another opportunity to explore this idea of ‘perfection,’ and that I was going to ask YOU to give ME an example of that? Well, I am going to ask you now to tell the story of Billy, from your workshop.”
"มาถึงตรงนี้ เธอยังจำได้ไหมในตอนที่ฉันพูดไว้ในตอนต้นๆของการสนทนานี้ ว่าเราจะมีโอกาสอีกครั้งที่จะสำรวจแนวคิดเรื่อง 'ความสมบูรณ์แบบ' นี้ และฉันจะขอให้เธอยกตัวอย่างให้ฉัน❓ เอาล่ะ ฉันจะขอให้เธอเล่าเรื่องของบิลลี่ จากเวิร์คช็อปของเธอ"
N : I knew it. I knew then that this is what you were gong to bring up. It’s the first thing I thought of when you started talking about this.
นีล: ผมรู้ครับ ผมรู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่านี่คือสิ่งที่พระองค์จะพูดถึง มันเป็นสิ่งแรกที่ผมคิดถึงเมื่อพระองค์เริ่มพูดถึงเรื่องนี้
G : “Good. So tell the story.
พระเจ้า: "ดี งั้นเล่าเรื่องนั้นสิ"
N : Sure.
นีล: ได้ครับ
N : ‘Helen’ was one of ninety-seven participants at one of my ReCreating Yourself retreats, held during the week between Christmas and New Year’s every year for the past ten years. On the final night of the retreat before our New Year’s Eve resolution ritual. Helen raised her hand and asked for the microphone.
นีล: 'เฮเลน' เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมเก้าสิบเจ็ดคนในการประชุมเชิงปฏิบัติการ "การสร้างตัวเองใหม่" ของผม ซึ่งจัดขึ้นในสัปดาห์ระหว่างคริสต์มาสและปีใหม่ทุกปีมาเป็นเวลาสิบปีแล้ว ในคืนสุดท้ายของการประชุมก่อนพิธีตั้งปณิธานวันปีใหม่ เฮเลนยกมือขึ้นและขอไมโครโฟน
Helen: ‘I’ve heard a lot this week about how God is our best friend, how God is wonderful and loving, and how we should have a conversation with God every day,’ she began. “Well, if I had a conversation with God, I would tell Him that I am damned angry with Him.’
เฮเลน: 'ฉันได้ยินมามากมายในสัปดาห์นี้เกี่ยวกับการที่พระเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเรา พระเจ้านั้นยอดเยี่ยมและเปี่ยมด้วยความรัก และเราควรสนทนากับพระเจ้าทุกวัน' เธอเริ่มพูด "เอาล่ะ ถ้าฉันได้สนทนากับพระเจ้า ฉันจะบอกพระองค์ว่าฉันโกรธพระองค์มาก"
N : ‘That’s okay,” I said. ‘God can handle that. But are you okay?’
N: "ไม่เป็นไรครับ" ผมพูด "พระเจ้ารับมือกับเรื่องนี้ได้ แต่คุณโอเคไหม❓"
H : ‘No,’ she said, and her voice was trembling now.
H: "ไม่" เธอพูด และตอนนี้เสียงของเธอกำลังสั่นเครือ
N : ‘Well, just what are you so angry with God about?’
N: "งั้น คุณโกรธพระเจ้าเรื่องอะไรครับ❓"
Helen took a deep breath, : ‘Almost twenty-one years ago we adopted a baby boy. We had tried to conceive for five years, without success. It looked like we would never be parents. My biological clock was running out. So we adopted Billy.
เฮเลนหายใจเข้าลึก: "เกือบยี่สิบเอ็ดปีที่แล้ว เรารับเด็กชายมาเป็นลูกบุญธรรม เราพยายามมีลูกมาห้าปีแต่ไม่สำเร็จ ดูเหมือนว่าเราจะไม่มีวันได้เป็นพ่อแม่ นาฬิกาชีวิตของฉันกำลังจะหมดเวลา เราจึงรับบิลลี่มาเลี้ยง
Three weeks later, I discovered I was pregnant. I had the child, another boy, and raised them both as my own, although we did tell our first son when he grew a little older that he as adopted. We wanted to be truthful with him. We told him we loved him exactly the same as his brother, and we knew that our actions showed him that.
สามสัปดาห์ต่อมา ฉันพบว่าฉันตั้งครรภ์ ฉันคลอดลูก เป็นเด็กชายอีกคน และเลี้ยงดูพวกเขาทั้งสองคนเหมือนลูกแท้ๆ แม้ว่าเราจะบอกลูกชายคนแรกตอนที่เขาโตขึ้นมาหน่อยว่าเขาเป็นลูกบุญธรรม เราอยากจะซื่อสัตย์กับเขา เราบอกเขาว่าเรารักเขาเท่ากับน้องชายของเขา และเรารู้ว่าการกระทำของเราได้แสดงให้เขาเห็นเช่นนั้น
‘Billy was eight. He must have innocently shared this information with some of the children at school, because one day he came home from school very angry. He had been teased on the playground about not having any mommy. You know how kids can be.
They can sometimes be very cruel. They were saying things like, ‘Billy’s so ugly that even his mom didn’t want him.’ Anyway, he came home so hurt and just furious, wanting to know why his mommy would give him away--and demanding to know who she was and to see her right away.
'บิลลี่อายุแปดขวบ เขาคงจะบอกเรื่องนี้กับเพื่อนๆ ที่โรงเรียนอย่างไร้เดียงสา เพราะวันหนึ่งเขากลับบ้านมาด้วยความโกรธ เขาถูกล้อเลียนในสนามเด็กเล่นว่าไม่มีแม่ คุณก็รู้ว่าเด็กๆ เป็นยังไง บางครั้งพวกเขาก็โหดร้ายมาก พวกเขาพูดอะไรทำนองว่า 'บิลลี่น่าเกลียดมากจนแม่ของเขายังไม่ต้องการเขา' เขากลับบ้านมาด้วยความเจ็บปวดและโกรธมาก อยากรู้ว่าทำไมแม่ถึงยกเขาให้คนอื่น และเรียกร้องที่จะรู้ว่าแม่ของเขาเป็นใครและอยากเจอแม่ทันที
‘I felt terrible, of course. First, for the anguish and hurt that I could see Billy was going through, and second for myself. I was filled with sadness because, of course, I felt that I was Billy’s mommy. I stood there remembering the nights of changing diapers and nursing him through sickness and all the things that mommies do, and my heart broke that Bill didn’t see me as ‘Mom’ anymore, didn’t think of me that way.
'แน่นอนว่าฉันรู้สึกแย่มาก หนึ่งคือความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดที่ฉันเห็นบิลลี่กำลังเผชิญอยู่ และสองคือตัวฉันเอง ฉันเต็มไปด้วยความเศร้าเพราะแน่นอนว่าฉันรู้สึกว่าฉันคือแม่ของบิลลี่ ฉันยืนอยู่ตรงนั้นนึกถึงคืนที่ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมและดูแลเขายามเจ็บป่วย และทุกสิ่งที่แม่ทำ และหัวใจฉันแทบสลายที่บิลลี่ไม่เห็นฉันเป็น 'แม่' อีกต่อไป ไม่คิดถึงฉันในแบบนั้น
But I understood--I have to understand--and I promised him that when he was older, if he still felt he wanted to, he would meet his mom. I would do whatever I could to find her and arrange it.
แต่ฉันเข้าใจ ฉันต้องเข้าใจ และฉันสัญญากับเขาว่าเมื่อเขาโตขึ้น ถ้าเขายังรู้สึกอยากพบแม่ ฉันจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อตามหาเธอและจัดการให้ได้พบกัน
‘This seemed okay with Billy, but he never did get over his anger. He just had this anger all through the rest of his childhood and into this teen years, which were very difficult for us. We all got through it, but it wasn’t easy on any of us in the family, and certainly not on me.
'เรื่องนี้ดูเหมือนจะโอเคสำหรับบิลลี่ แต่เขาไม่เคยหายโกรธเลย เขามีความโกรธนี้ติดตัวตลอดช่วงที่เหลือของวัยเด็กและวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงที่ยากลำบากมากสำหรับเรา เราทุกคนผ่านมันมาได้ แต่มันไม่ง่ายเลยสำหรับทุกคนในครอบครัว โดยเฉพาะสำหรับฉัน
‘When Billy had grown older, we talked again about seeing his mother, and we made an agreement that when he turned eighteen I would begin searching for her if he still wanted me to. Throughout the rest of his teen years he reminded me of that promise.
'เมื่อบิลลี่โตขึ้น เราคุยกันอีกครั้งเรื่องการพบแม่ของเขา และเราตกลงกันว่าเมื่อเขาอายุสิบแปดปี ฉันจะเริ่มตามหาแม่ของเขาถ้าเขายังต้องการ ตลอดช่วงที่เหลือของวัยรุ่น เขาคอยเตือนฉันถึงคำสัญญานี้
‘Finally, Billy’s eighteenth birthday arrived. That day he was killed in a motorcycle accident.’
'ในที่สุด วันเกิดปีที่สิบแปดของบิลลี่ก็มาถึง วันนั้นเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์'
N : There was a collective gasp from the retreat participants. Abruptly, Helen’s energy shifted into anger.
N: ผู้เข้าร่วมประชุมพากันอุทานด้วยความตกใจ ทันใดนั้น พลังงานของเฮเลนก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ
H : ‘Now I want you to tell me,’ she snapped, ‘how any kind of loving God could have let that happen, just when Billy was about to meet his mother, just when his father and I were about to reconcile the strain that his yearning had placed on our relationship I want you to tell me, why would God do that?’
H: "ตอนนี้ฉันอยากให้คุณบอกฉัน" เธอพูดอย่างฉุนเฉียว "พระเจ้าผู้ทรงรักจะปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ตอนที่บิลลี่กำลังจะได้พบแม่ของเขา ตอนที่พ่อของเขาและฉันกำลังจะปรองดองความตึงเครียดที่เกิดจากความปรารถนาของเขา ฉันอยากให้คุณบอกฉัน ทำไมพระเจ้าถึงทำแบบนี้❓"
N : The room plummeted into stunned silence. I was stopped cold. I stared at Helen for a moment, then closed my eyes and went within. I heard my thoughts. ‘Okay, God, this is it. I don’t know what to say here. You’ve got to help me out.’
N: ห้องตกอยู่ในความเงียบด้วยความตกตะลึง ผมหยุดชะงัก ผมจ้องมองเฮเลนครู่หนึ่ง แล้วหลับตาและเข้าสู่ภายใน ผมได้ยินเสียงความคิดของตัวเอง 'โอเค พระเจ้า นี่แหละ ผมไม่รู้จะพูดอะไร พระองค์ต้องช่วยผมหน่อย'
Suddenly, my eyes popped open, my mind overflowing. I spoke the words I heard in my head before I had a chance to judge them or edit them.
ทันใดนั้น ตาผมก็เบิกกว้าง ความคิดล้นทะลัก ผมพูดคำที่ได้ยินในหัวออกมาก่อนที่จะมีโอกาสตัดสินหรือแก้ไขมัน
‘Billy died on that day because that was the day on which he was promised he would meet his mother--and he did. On that day his mother was not on this earth.’
'บิลลี่เสียชีวิตในวันนั้นเพราะนั่นเป็นวันที่เขาได้รับคำสัญญาว่าจะได้พบแม่ของเขา และเขาก็ได้พบจริงๆ ในวันนั้นแม่ของเขาไม่ได้อยู่บนโลกนี้'
The room gasped again. Someone whispered an emphatic ‘Yes’ Someone else openly cried.
ทั้งห้องอุทานด้วยความตกใจอีกครั้ง มีคนกระซิบคำว่า 'ใช่แน่' อย่างหนักแน่น อีกคนร้องไห้ออกมาอย่างเปิดเผย
I went on.
ผมพูดต่อ
‘There is no such thing as an accident, and nothing happens by coincidence. You were given a biological son, even though you had not been able to conceive and it looked as if you might never be able to do so, because there was a plan--a larger plan--in place.
You were given this special gift of your biological son in exchange for your willingness to take Billy in, give him a home, love him and raise him as your own, and care for him until he was ready to meet his mother and she was ready to meet him.
'ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอุบัติเหตุ และไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ คุณได้รับลูกชายทางสายเลือด แม้ว่าคุณจะไม่สามารถตั้งครรภ์และดูเหมือนว่าคุณอาจจะไม่มีวันทำได้ เพราะมีแผนการ แผนการที่ยิ่งใหญ่กว่า คุณได้รับของขวัญพิเศษคือลูกชายทางสายเลือดเป็นการตอบแทนที่คุณเต็มใจรับบิลลี่เข้ามา ให้บ้าน รักและเลี้ยงดูเขาเหมือนลูกแท้ๆ และดูแลเขาจนกว่าเขาจะพร้อมพบแม่ของเขาและแม่ของเขาพร้อมที่จะพบเขา
‘The day of Billy’s death was the happiest day of his life. His gratefulness to you for bringing him to that moment is eternal. It surrounds your heart even now, and creates with you an everlasting bond.
'วันที่บิลลี่เสียชีวิตเป็นวันที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของเขา ความกตัญญูของเขาที่มีต่อคุณที่พาเขามาถึงช่วงเวลานั้นจะคงอยู่ตลอดไป มันห้อมล้อมหัวใจคุณแม้กระทั่งตอนนี้ และสร้างสายสัมพันธ์อันยั่งยืนกับคุณ
‘There is perfection in Life’s design. In every human circumstance and experience. In every condition. Our opportunity is to notice this. That is also our release. Our salvation. The end to our suffering and our pain.’
'มีความสมบูรณ์แบบในการออกแบบของชีวิต ในทุกสถานการณ์และประสบการณ์ของมนุษย์ ในทุกเงื่อนไข โอกาสของเราคือการสังเกตเห็นสิ่งนี้ นั่นคือการปลดปล่อยของเรา การหลุดพ้นของเรา จุดจบของความทุกข์และความเจ็บปวดของเรา'
Helen’s face changed immediately. Filled with anger just moments before, now it was aglow. Her whole body seemed drained of every tension. She looked relaxed for the first time in a very long while. Tears ran down her cheeks even as she smiled with a radiance that filled the room.
ใบหน้าของเฮเลนเปลี่ยนไปทันที จากที่เต็มไปด้วยความโกรธเมื่อครู่ ตอนนี้กลับเปล่งประกาย ร่างกายทั้งหมดของเธอดูเหมือนปราศจากความตึงเครียดทุกอย่าง เธอดูผ่อนคลายเป็นครั้งแรกในช่วงเวลานานมาก น้ำตาไหลอาบแก้มขณะที่เธอยิ้มด้วยรัศมีที่เติมเต็มห้อง
I’ve told this story because I want to know what Helen and all the other participants in that retreat now know. There is a ’magic formula’ that has been given to us by the heavens. It is a formula with which all sadness, all anger, all negativity surrounding any human experience is dissolved. It is a formula that allows us to re-create ourselves anew. It is a formula easy to remember, and stated in three words.
ผมเล่าเรื่องนี้เพราะผมอยากให้รู้ในสิ่งที่เฮเลนและผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนรู้แล้ว มี '#สูตรวิเศษ' ที่สวรรค์มอบให้เรา มันคือสูตรที่ช่วยละลายความเศร้า ความโกรธ ความเป็นลบทั้งหมดที่ห้อมล้อมประสบการณ์ของมนุษย์ มันคือสูตรที่ช่วยให้เราสร้างตัวเองขึ้นใหม่ มันคือสูตรที่จำง่ายและกล่าวด้วยคำเพียงสามคำ
SEE THE PERFECTION.
#จงเห็นความสมบูรณ์แบบ
Ah, but does it work? Does it really work?
อา แต่มันได้ผลหรือ❓ มันได้ผลจริงๆ หรือ❓
On New Years Eve. Helen handed me a note that she’d written when she’d returned to her room after a walk under the clear crisp Colorado sky the night before. Like Robert Frost and Lisel Mueller, she had also turned to poetry to speak the beauty of her knowing.
ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า เฮเลนส่งโน้ตให้ผม เธอเขียนมันหลังจากเดินเล่นใต้ท้องฟ้าโคโลราโดที่แจ่มใสและหนาวเย็นในคืนก่อน เช่นเดียวกับโรเบิร์ต ฟรอสต์ และลิเซล มูลเลอร์ เธอก็หันไปใช้บทกวีเพื่อบอกเล่าความงามแห่งการรู้แจ้งของเธอ
▪️▪️▪️
I came here with a burden heart,
A heart afraid to cry.
It’s near three years since Billy left
And I couldn’t say goodbye.
I stood, alone, beside his grave
And couldn’t even cry.
ฉันมาพร้อมหัวใจที่แบกภาระ
หัวใจที่กลัวการร่ำไห้
เกือบสามปีแล้วที่บิลลี่จากไป
และฉันไม่ได้บอกลา
ฉันยืนเดียวดายข้างหลุมศพของเขา
และไม่อาจหลั่งน้ำตา
We had a deal, I said to him
You left me high and dry.
It’s near three years since Billy left,
God had not seen fit to try
To soothe this hurt, to heal this heart,
To give me tears to cry.
เราเคยมีสัญญา ฉันบอกเขา
เธอทิ้งฉันไว้กลางทาง
เกือบสามปีแล้วที่บิลลี่จากไป
พระเจ้าทรงยังไม่เห็นควรจะ
เยียวยาความเจ็บปวด รักษาหัวใจ
ให้ฉันมีน้ำตาได้ร่ำไห้
And then God spoke, He pointed out
That even though He tried,
My heart was closed and couldn’t hear
His gentle, ageless sigh.
And though It was just Neale whose voice
Brought the message from on high,
My spirit heard God’s words tonight.
แล้วพระเจ้าก็ทรงตรัส พระองค์ทรงชี้ให้เห็น
แม้พระองค์ทรงพยายาม
แต่หัวใจฉันปิดตาย ไม่อาจได้ยิน
เสียงถอนหายใจอันแผ่วเบานิรันดร์
แม้เป็นเพียงเสียงของนีลที่นำ
สารจากสวรรค์เบื้องบน
จิตวิญญาณฉันได้ยินพระวจนะในคืนนี้
And now my eyes can cry.
และบัดนี้ดวงตาฉันร่ำไห้ได้แล้ว
I took a walk this starry night.
It’s finally time to try
To find the joy to free my son.
It’s time to say goodbye.
And as I did, a shooting star…
…danced across the sky.
ฉันออกเดินในค่ำคืนที่ดวงดาวพร่างพราย
ถึงเวลาแล้วที่จะลอง
ค้นหาความสุขเพื่อปลดปล่อยลูกชาย
ถึงเวลาต้องบอกลา
และขณะที่ฉันทำเช่นนั้น ดาวตก
...ได้โลดแล่นผ่านท้องนภา
======[จบบทที่ 2️⃣2️⃣]======

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา