12 ธ.ค. เวลา 10:32 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 186

ปะเกาหาร้ายไม่ (4) แปลงความพระราชโองการ
 
เกาฉิวพ่ายศึกสองครั้งกำลังงุนงงว่าจะทำอย่างไรต่อไป มีรายงานมาว่า “ท่านราชทูตมาถึงแล้ว”
เกาฉิวจึงนำเหล่าเจี๋ยตู้สื่อและทหารออกไปต้อนรับราชทูตและเสธ.เหวินห้วนจางที่นอกเมือง พอเข้ามาถึงกองบัญชาการแม่ทัพใหญ่ก็คุยกันถึงพระราชโองการนิรโทษกรรมพวกเหลียงซาน เกาไท่เว่ยจึงขอสำเนา 抄白 พระราชโองการมาอ่านโดยละเอียด
เกาฉิวตรองไม่ตกอยู่หลายวัน หากนิรโทษกรรมไม่สำเร็จผล ตนจะรบต่อ ก็พ่ายศึกมาแล้วสองครั้ง เสียทหารไปมาก โดยเฉพาะทัพเรือถูกเผาทำลายหรือยึดเอาไปจนหมด หากนิรโทษกรรมสำเร็จผล ตนก็ต้องเสียหน้ากลับไปเมืองกรุง ยุ่งยากใจนัก
ทว่า ที่เมืองจี้โจวนี้มีเจ้าหน้าที่ชรา 老吏 ผู้หนึ่งแซ่หวาง 王 ชื่อจิ่น 瑾 เป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย จนได้ฉายาว่า จอมล้วงตับ 剜心王 ได้รับมอบหมายให้มาช่วยงานที่กองบัญชาการแม่ทัพใหญ่ระหว่างที่เกาไท่เว่ยมาบัญชาการอยู่ หวางจิ่นได้เห็นสำเนาพระราชโองการแล้ว และสังเกตเห็นกิริยาอาการลังเลใจของเกาไท่เว่ย จึงตั้งใจมาเสนอทางออกว่า
“พระคุณท่านอย่าได้วิตกกังวลจนเกินไป ข้าน้อยเห็นว่าอาลักษณ์ผู้ร่างพระราชโองการนี้เป็นใจกับพระคุณท่าน จึงจงใจจารึกกำกวมเว้นช่องทางออกไว้ให้”
เกาไท่เว่ยสงสัยถามว่า “ท่านเห็นช่องทางออกใด”
หวางจิ่นว่า “ในพระราชโองการมีประโยคสำคัญว่า “กำหนดโทษประหารซ่งเจียงหลูจวิ้นอี้และพวกทั้งน้อยใหญ่นั้นเป็นอันยกเว้น” ข้อความนี้ร่างได้กำกวมนัก อาจแยกได้เป็นสองประโยค “กำหนดโทษประหารซ่งเจียง” และ “หลูจวิ้นอี้และพวกทั้งน้อยใหญ่นั้นเป็นอันยกเว้น” พวกเราก็ล่อให้พวกโจรมารับพระราชโองการยังเมืองนี้ จับซ่งเจียงประหารเสีย พวกลูกน้องให้เลิกส้องโจรแล้วปล่อยไป ดังคำกล่าวว่า “งูไร้หัวไม่อาจไป นกไร้ปีกไม่อาจบิน 蛇无头而不行 鸟无翅而不飞” เมื่อไม่มีซ่งเจียงแล้ว พวกที่เหลือก็ทำอะไรไม่ได้ มิทราบพระคุณท่านเห็นอย่างไร”
เกาฉิวชอบใจใหญ่ จึงเลื่อนตำแหน่งให้หวางจิ่นเป็นจ่างสื่อ 长史 เจ้าหน้าที่อาวุโส
เกาฉิวให้ตามเสธ.เหวินห้วนจางมาหารือถึงเรื่องดังกล่าว
เหวินห้วนจางว่า “เป็นราชทูตในพระองค์ ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างสัตย์ซื่อ มิควรเล่นเล่ห์เพทุบาย ในหมู่พวกซ่งเจียง ก็มีผู้ทรงปัญญาย่อมดูออกว่าเป็นการแปลงพระราชโองการ เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง”
เกาไท่เว่ยว่า “ผิดแล้ว พิชัยสงครามกล่าวไว้ว่า “การศึกมิหน่ายเล่ห์” จึงอาจบรรลุเป้าหมายใหญ่”
เหวินห้วนจางว่า “แม้การศึกมิอาจหน่ายเล่ห์ แต่นี่เป็นพระบรมราชโองการ อันเป็นทึ่เคารพเชื่อฟังกันทั่วหล้า พระราชดำรัสแต่โบราณมาละเอียดอ่อนดังสายไหม ผูกพันดังสายป่าน 如纶如綍 เลอค่าดังหยก มิอาจเปลี่ยนแปลงแก้ไข มิเช่นนั้นแล้วจะมีผู้ใดให้ความเชื่อถือ”
เกาไท่เว่ยว่า “เห็นแก่เรื่องเบื้องหน้า แล้วค่อยมาถกหลักการ”
เกาไท่เว่ยไม่ฟังคำทัดทานของเหวินห้วนจาง ใช้คนไปส่งข่าวชาวเหลียงซาน ให้ซ่งเจียงและพรรคพวกมายังเมืองจี้โจวเพื่อรับพระราชโองการพระราชทานนิรโทษกรรม
ทางด้านซ่งเจียงได้ชัยเหนือเกาฉิวอีกครั้ง เผาทำลายทัพเรือสิ้น จึงสั่งการให้ทหารไปเก็บไม้ไหม้ไฟไปทำฟืน เรือสมบูรณ์ส่งไปประจำการตามทัพน้ำ เชลยที่จับได้ทั้งหมดให้ปล่อยกลับไปจี้โจว
ในวันนั้น ทหารมารายงานว่า “ทางเมืองจี้โจวให้คนมาส่งข่าวว่า ทางราชสำนักให้ราชทูตอัญเชิญพระราชโองการ พระราชทานนิรโทษกรรม รับเข้าทำราชการเป็นขุนนาง จึงได้มาแจ้งแสดงความยินดี”
ซ่งเจียงได้ฟังก็ยินดีนัก ยิ้มแย้มแจ่มใสดังฟ้ามาโปรด ให้ตามตัวคนเดินสารมายังหอแล้วสอบถามรายละเอียด
คนเดินสารว่า “ราชสำนักมีพระราชโองการนิรโทษกรรม เกาไท่เว่ยจึงให้ผู้น้อยมาแจ้งข่าวและเรียนเชิญเหล่าหัวหน้าท่านไปยังเมืองจี้โจว ถวายคารวะ เพื่อเปิดอ่านพระราชโองการ หาได้คิดเป็นอื่น”
ซ่งเจียงให้นำเงินและผ้าแพรรางวัลคนเดินสาร ส่งตัวเดินทางกลับจี้โจวไป
ซ่งเจียงสั่งการให้เหล่าหัวหน้าทั้งน้อยใหญ่เตรียมตัวเดินทางไปรับพระราชโองการ
หลูจวิ้นอี้ว่า “พี่ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อน เกรงว่าเกาไท่เว่ยจะรู้เห็นในการนี้ พี่ท่านมิควรไป”
ซ่งเจียงว่า “หากท่านยังมัวระแวงอยู่เช่นนี้ แล้วจะกลับสู่ทำนองคลองธรรมได้เช่นไร เป็นตายร้ายดีก็ควรไปให้เห็นกันสักหน”
อู๋ย่งหัวเราะแล้วว่า
“เกาฉิวผู้นี้ถูกพวกเราไล่ล่าจนขวัญหนีดีฝ่อ ต่อให้มีแผนดีกว่านี้อีกสิบเท่าก็ขยายผลได้ไม่เต็มที่ เหล่าน้องพี่ผู้กล้าอย่ามัวระแวง โปรดติดตามท่านพี่ซ่งกงหมิงลงเขาไป ทางนี้ข้าได้วางกำลังรับมือไว้แล้ว โดยให้พายุหมุนดำหลี่ขุยนำฝานยุ่ย เป้าสวี้ เซี่ยงชง หลีกุ่นพาทหารเดินเท้าหนึ่งพันนายไปซุ่มไว้ทางตะวันออกของเมืองจี้โจว ให้อีจ้างชิงหู้ซานเหนียงนำกู้ต้าเส่า ซุนเอ้อเหนียง เสือเตี้ยหวาง ซุนซิน จางชิงพาทหารม้าหนึ่งพันนายไปซุ่มไว้ทางตะวันตก หากได้ยินเสียงปืนสัญญานยิงต่อเนื่องให้ยกทัพมาพร้อมกันที่ประตูเหนือ”
อู๋ย่งสั่งการเสร็จ เหล่าหัวหน้าก็พากันลงเขา คงเหลือเหล่าหัวหน้าทัพน้ำไว้รักษาค่ายเหลียงซาน
ทางฝ่ายเกาไท่เว่ยเรียกประชุมเหล่าเจี๋ยตู้สื่อที่กองบัญชาการแม่ทัพใหญ่ สั่งการให้รื้อค่ายนอกเมืองทั้งหมดย้ายเข้าเมือง ให้เหล่าเจี๋ยตู้สื่อซุ่มทัพไว้ในเมือง บนกำแพงเมืองไม่ปักแสดงธงทัพใดๆ มีเพียงธงเหลืองปักอักษร “โองการสวรรค์ 天诏” ที่ประตูเมืองทิศเหนือ เกาฉิวและคณะราชทูตอยู่บนกำแพง รอพวกซ่งเจียงมาถึง
ทางฝ่ายเหลียงซาน ให้ศรไร้ขนจางชิงนำทัพม้าห้าร้อยมาลาดตระเวนรอบเมืองจี้โจวรอบหนึ่ง ถัดมา ให้จอมเวทเทพเดินหนไต้จงมาดูลาดเลาที่เมืองอีกรอบ
พอได้ฤกษ์ เกาไท่เว่ยขึ้นไปบนเชิงเทินห้อมล้อมด้วยผู้ติดตามร้อยกว่าคน ธงทิวแสดงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ ตั้งโต๊ะเครื่องหอมบูชา เห็นทัพซ่งเจียงทางทิศเหนือแต่ไกล ด้านหน้ามีกลองม้าล่อประโคม ธงแม่ทัพห้าสี เหล่าหัวหน้าล้อมวงเป็นกลุ่มๆ กางแนวเป็นปีกกา ด้านหน้าแนวคือ ซ่งเจียง หลูจวิ้นอี้ อู๋ย่ง กงซุนเสิ้ง ค้อมกายบนหลังม้าขานคารวะแก่เกาไท่เว่ย
เกาไท่เว่ยให้คนตะโกนถามบนกำแพงว่า “บัดนี้ราชสำนักทรงนิรโทษกรรมแก่พวกท่าน ทั้งมาเกลี้ยกล่อมให้สามิภักดิ์ เหตุใดจึงยังคงสวมเกราะมากันครบ”
ซ่งเจียงให้ไต้จงเข้าไปใกล้กำแพงเมืองตอบว่า “พวกข้าทั้งใหญ่น้อยยังมิทันรับพระมหากรุณาธิคุณ ทั้งยังไม่แจ้งเจตจำนงค์แห่งพระราชโองการ จึงยังมิอาจถอดเกราะป้องกัน หวังว่าไท่เว่ยท่านจะเข้าใจ ขอให้ท่านเชิญเหล่าราษฎรอาวุโสขึ้นบนกำแพงเมืองรับฟังพระราชโองการพร้อมกัน เมื่อนั้นพวกเราจึงยินยอมถอดเกราะ”
เกาไท่เว่ยให้เกณฑ์ราษฎรอาวุโสขึ้นมาบนกำแพงเมือง พวกซ่งเจียงเมื่อเห็นเหล่าราษฎรบนกำแพงเมืองมีทั้งเด็กและคนชราขึ้นมากันแล้ว ก็ขี่ม้ามาข้างหน้า ลั่นกลองคำรบที่หนึ่ง เหล่าขุนพลพากันลงจากหลังม้า ลั่นกลองคำรบที่สอง เหล่าขุนพลเดินเท้าเข้าหากำแพง มีทหารจูงม้าตามหลัง จนถึงระยะห่างพ้นหนึ่งช่วงลูกธนู ลั่นกลองคำรบที่สาม เหล่าขุนพลกุมมือคารวะ รอฟังอ่านพระราชโองการ
ราชทูตอ่านว่า
“จิตเดิมแท้ของมนุษย์ หาได้แยกออกเป็นสอง วิถีอันสามัญของบ้านเมือง ล้วนหมายมุ่งหลักการเดียว ผู้สร้างบุญกุศลคือราษฎรที่ดี ผู้ก่อกรรมทำเข็ญคือขบถคิดคด
เจิ้นฟังว่ามีการส้องสุมที่เขาเหลียงซานนานมา ยังหาได้กล่อมเกลาฟื้นฟูจิตใจให้ดีงาม บัดนี้ให้ราชทูตถ่ายทอดพระราชโองการว่า กำหนดโทษประหารซ่งเจียง
หลูจวิ้นอี้และพวกทั้งน้อยใหญ่นั้นเป็นอันยกเว้น ผู้เป็นหัวหน้า ให้นำตัวสู่กรุงสนองพระมหากรุณาธิคุณ ผู้เป็นบริวารให้หวนสู่ถิ่นฐานบ้านเกิด
ดังนั้น จงรับเอาหยาดพิรุณอันเย็นฉ่ำ ละทิ้งความชั่วร้ายในจิตใจ อย่าได้ก่อเหตุให้ฟ้าร้องพิโรธ ควรละทิ้งกรรมเดิมเริ่มต้นกรรมใหม่ จึงได้พระราชทานคำชี้แนะให้ประจักษ์แก่ใจ
ปีเซวียนเหอ 宣和 เดือน วัน มีพระราชโองการ”
เสธ.อู๋ย่งพอฟังถึงคำว่า “กำหนดโทษประหารซ่งเจียง” ก็หันมาส่งสายตาเป็นนัยให้กับฮวาหยงว่า “ท่านขุนพลได้ยินแล้วใช่ไหม”
พอพระราชโองการอ่านจบลง ฮวาหยงก็ตะโกนว่า “เมื่อไม่อภัยให้ท่านพี่ พวกเราจะยอมทำไม”
ว่าแล้วก็คว้าธนูขึ้นสายเล็งไปยังราชทูต
“ดูธนูเทพของข้า”
ธนูพุ่งตรงใส่แสกหน้าราชทูต คนรอบข้างต่างรีบเข้าไปช่วย
เหล่าผู้กล้าเชิงกำแพงตะโกนพร้อมกัน “ค้าน” แล้วระดมยิงธนูขึ้นไปบนกำแพง เกาไท่เว่ยแทบหนีไม่ทัน
ซ่งเจียงให้ลั่นกลองแล้วถอยหนี ทหารหลวงยกออกจากเมืองไล่ตามตีมาได้ห้าหกลี้ มีเสียงปืนใหญ่ดัง หลี่ขุยพาทหารเดินเท้ามาจากทางตะวันออก หู้ซานเหนียงนำทัพม้ามาจากทางตะวันตก ซ่งเจียงหันกลับมาโจมตี กลายเป็นทัพกระหนาบสามด้าน ทัพทหารหลวงเกิดอลหม่าน พากันหนีกลับ ถูกไล่สังหารสูญเสียเป็นอันมาก ซ่งเจียงสั่งถอยทัพไม่ไล่ตีต่อ แล้วยกทัพกลับเหลียงซาน
เกาไท่เว่ยเร่งร่างหนังสือรายงานราชสำนักว่า “พวกโจรซ่งเจียง ยิงธนูสังหารราชทูต ไม่ยอมรับนิรโทษกรรม” แล้วร่างสารลับส่งให้ ไฉ้ไท่ซือ ถงซูมี่ หยางไท่เว่ย ขอให้ช่วยกราบทูลให้จัดส่งเสบียง และทัพหนุนมาช่วย
ราชครูไฉ้ได้รับสารลับของเกาไท่เว่ยแล้วก็ตรงไปขอเข้าเฝ้ากราบทูลโอรสสวรรค์ โอรสสวรรค์สีพระพักตร์ไม่ยินดีตรัสว่า “โจรพวกนี้ลบหลู่ราชสำนักหลายครั้งครา” จึงมีพระบัญชาให้เกาไท่เว่ยเกณฑ์ทัพเพิ่มเติมได้จากทุกหัวเมือง
หยางไท่เว่ยคัดทหารจากค่ายทหารองครักษ์หลวงทั้งสี่มี ค่ายหลงเหมิ่ง 龙猛 หู่อี้ 虎翼 เผิ่งยื่อ 捧日 จงอี้ 忠义 ซึ่งนับเป็นทหารระดับยอดฝีมือ ค่ายละห้าร้อยนาย เพื่อส่งไปช่วยเกาไท่เว่ย ผู้บัญชาการทัพเฟ้นได้สองนาย
นายหนึ่งเป็นครูฝึกทหารองครักษ์แปดสิบหมื่น ผู้บัญชาการทหารมหาดเล็กฝ่ายซ้าย ขุนพลรักษาพระองค์ 护驾将军 ชิวเยว่ 丘岳 บัญชาการทหารม้าจากค่ายหลงเหมิ่ง หู่อี้ รวมหนึ่งพันนาย ทหารม้าเพิ่มเติ่มอีกสองพันนาย ทหารราบห้าร้อยนาย
นายหนึ่งเป็นรองครูฝึกทหารองครักษ์แปดสิบหมื่น ผู้บัญชาการทหารมหาดเล็กฝ่ายขวา ขุนพลราชรถ 车骑将军 โจวอั๋ง 周昂 บัญชาการทหารม้าจากค่ายเผิ่งยื่อ จงอี้ รวมหนึ่งพันนาย ทหารม้าเพิ่มเติ่มอีกสองพันนาย ทหารราบห้าร้อยนาย
กำหนดฤกษ์ดี ยกทัพมุ่งมาจี้โจว
ก่อนทัพหนุนจะยกมาถึง เกาไท่เว่ยหารือกับเสนาธิการเหวินว่าจำเป็นต้องมีกองเรือในการบุกเหลียงซาน จึงให้คนไปตัดไม้ตามป่าเขาใกล้เคียงไปจนถึงหัวเมืองที่อยู่ใกล้ ระดมเกณฑ์ช่างต่อเรือ ตั้งอู่ต่อเรือที่นอกเมืองจี้โจว ทั้งยังประกาศรับสมัครทหารเรือ
ชายผู้หนึ่งแซ่เย่ 叶 ชื่อชุน 春 ชาวเมืองสื้อโจว 泗州 มีความสามารถในการต่อเรือ พำนักอยู่ที่โรงแรมในเมืองจี้โจว ระหว่างเดินทางมาซานตง ผ่านมาทางเขาเหลียงซานถูกพวกโจรชิงทรัพย์ไป จึงมาตกยากอยู่เมืองนี้ ไม่มีค่าเดินทางกลับบ้าน เห็นเกาไท่เว่ยตัดไม้เกณฑ์ช่างต่อเรือเพื่อบุกเหลียงซาน จึงนำภาพแบบต่อเรือที่ตนวาดขึ้นนำมาเสนอต่อเกาไท่เว่ย
เมื่อเกาไท่เว่ยให้เข้าพบ เย่ชุนจึงว่า “การบุกในครั้งก่อนๆ ที่ไม่บรรลุผล เพราะเรือที่ใช้เป็นเรือใช้ใบหรือถ่อพาย เรือก็เล็กแคบไม่มีที่ให้ทหารขยับตัว หากจะปราบพวกโจร ต้องต่อเรือใหญ่หลายร้อยลำ เรือตามแบบนี้มีสองขนาด
เรือขนาดใหญ่เรียกว่า เรือปลาหมูทะเลใหญ่ 大海鳅船 (ต้าไห่ชิวฉวน) บรรทุกได้หลายร้อยคน ใช้คนบังคับเรือยี่สิบสี่คน ใช้จักรถีบสองตัว ตัวละสิบสองคน รอบลำเรือใช้รั้วไม้ไผ่ป้องกันธนู บนดาดฟ้าเรือตั้งป้อมยิงหน้าไม้ และติดตั้งหัวกระแทก เวลาบุก บนป้อมจะรัวสัญญาน ให้ทั้งยี่สิบสี่คนเร่งถีบจักร เรือทะยานได้ดังเหาะ เรืออื่นไม่อาจสกัดได้ เวลาตั้งรับศัตรู ใช้ธนูยิงป้องกันจากบนหอและดาดฟ้าอาศัยกำแพงรั้วป้องกัน
เรือลำดับรองลงมาเรียกว่า เรือปลาหมูทะเลน้อย 小海鳅船 (เสียวไห่ชิวฉวน) บรรทุกได้หนึ่งร้อยสิบคน ใช้คนบังคับเรือสิบสองคน ถีบจักรตัวละหกคน หัวเรือและท้ายเรือต่อเหล็กแหลมยาว ตั้งหอยิงหน้าไม้ทั้งสองฝั่ง ใช้ไม้ไผ่สานทำกันสาด เรือนี้ใช้ในคลองซอยหนองเหลียงซาน ป้องกันการโจมตีจากกองซุ่ม
หากทำตามแผนนี้ พวกโจรเหลียงซานก็นับวันยอมแพ้”
เกาไท่เว่ยได้เห็นผังต่อเรือแล้วชอบใจยิ่งนัก ให้จัดสุราอาหารเสื้อผ้าอาภรณ์เป็นรางวัลแก่เย่ชุน แต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการการต่อเรือ สั่งการให้เร่งตัดไม้ จัดหาวัตถุดิบ ทั้งวันคืน เกณฑ์มาจากหัวเมืองใกล้เคียงภายในเวลาที่กำหนด หากล่าช้าไปสองวันต้องโทษโบยสี่สิบที และเพิ่มอีกวันละสิบที หากล่าช้าเกินกว่าห้าวันต้องโทษประหาร สร้างความเดือดร้อนสูญเสียแก่ราษฎรเป็นอันมาก ต่างพากันเคียดแค้นชิงชัง
ตอนก่อนหน้า : ผีผมแดงเผาทัพเรือ
ตอนถัดไป : ทัพเรือปลาหมูทะเล

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา