18 ธ.ค. เวลา 04:58 • หนังสือ

#37 HWG : บทที่ 2️⃣4️⃣ :

จักรวาลทั้งหมดประกอบด้วยสิ่งเดียว ที่แสดงออกในรูปแบบที่แตกต่างกัน... เธอกำลังประสบกับตัวตนของเธอในฐานะความเป็นปัจเจกที่หลากหลาย
𝗧𝗵𝗲 𝗲𝗻𝘁𝗶𝗿𝗲 𝘂𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗲 𝗶𝘀 𝗰𝗼𝗺𝗽𝗼𝘀𝗲𝗱 𝗼𝗳 𝗼𝗻𝗲 𝘁𝗵𝗶𝗻𝗴, 𝗮𝗰𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗱𝗶𝗳𝗳𝗲𝗿𝗲𝗻𝘁𝗹𝘆…
𝗬𝗼𝘂 𝗮𝗿𝗲 𝗲𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗶𝗻𝗴 𝘆𝗼𝘂𝗿 𝗦𝗲𝗹𝗳
𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗠𝘂𝗹𝘁𝗶𝘁𝘂𝗱𝗶𝗻𝗼𝘂𝘀 𝗜𝗻𝗱𝗶𝘃𝗶𝗱𝘂𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆.
จักรวาลทั้งหมดประกอบด้วยสิ่งเดียว
ที่แสดงออกในรูปแบบที่แตกต่างกัน...
เธอกำลังประสบกับตัวตนของเธอ
ในฐานะความเป็นปัจเจกที่หลากหลาย
 
𝗖𝗵𝗮𝗽𝘁𝗲𝗿 2️⃣4️⃣
Neale: Well, you said you were going to circle back on major points several times, and you have. And what you are laying out for us here is a whole new spirituality. It is a new way of looking at things.
นีล : ก็อย่างที่พระองค์เคยบอกว่าจะวนกลับมาพูดถึงประเด็นสำคัญๆ อีกหลายครั้ง และพระองค์ก็ทำอย่างนั้นจริงๆ และสิ่งที่พระองค์กำลังอธิบายให้เราฟังอยู่นี้คือความรู้ทางจิตวิญญาณแบบใหม่ทั้งหมด* (*ที่ไม่เคยได้ยินได้อ่านจากที่ไหนมาก่อน) มันเป็นการมองสิ่งต่างๆในมุมมองใหม่
I used to think that I was outside of the apple, wanting and hoping to get a taste of it. That’s the old spirituality taught me. But you are saying that I am not outside the apple, but a part of the apple, moving through the apple, and the entire apple is God. God is not only at the core, at the center of all things. God IS all things.
ผมเคยคิดว่าผมอยู่ภายนอกแอปเปิ้ล อยากชิมและหวังว่าจะได้ชิมมัน นั่นคือสิ่งที่จิตวิญญาณแบบเก่าสอนผม แต่พระองค์กำลังบอกว่าผมไม่ได้อยู่นอกแอปเปิ้ล แต่เป็นส่วนหนึ่งของแอปเปิ้ล เคลื่อนที่ผ่านแอปเปิ้ล และแอปเปิ้ลทั้งลูกก็คือพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้อยู่แค่ที่แกนกลาง ที่ศูนย์กลางของทุกสิ่งเท่านั้น แต่พระเจ้าคือทุกสิ่ง
God : “That is correct.
พระเจ้า : "ถูกต้องแล้ว
“Now you are using the metaphor to see past the metaphor.
"ตอนนี้เธอกำลังใช้อุปมาเพื่อมองเห็นสิ่งที่อยู่เหนือกว่าอุปมา
“You have been imaging that you stand outside of God, but you do not stand outside of God. You CAN not. God is All There Is. It is impossible for anything to exist outside of ALL There Is.
"เธอจินตนาการว่าเธออยู่นอกพระเจ้า แต่เธอไม่ได้อยู่นอกพระเจ้า เธอไม่สามารถอยู่นอกพระเจ้าได้ #พระเจ้าคือทั้งหมดที่มีอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่อะไรจะดำรงอยู่นอกเหนือจากทั้งหมดที่มีอยู่"
N : And so, I am--
นีล: และด้วยเหตุนั้น ผมก็คือ--
G : “--that is correct. Just as you have already stated, you are a part of the Applorange moving through the Applorange. You are a part of God, getting a taste of God.”
พระเจ้า: "—ถูกต้องแล้ว เหมือนที่เธอได้กล่าวไว้ เธอเป็นส่วนหนึ่งของแอปเปิ้ลส้มที่เคลื่อนที่ผ่านแอปเปิ้ลส้ม เธอเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า ที่กำลังลิ้มรส (มีประสบการณ์ถึง) พระเจ้า"
N : And just how am I doing that? I mean, how is my endless cyclical movement through the Corridors of Time giving me a ‘taste of God’?
นีล : แล้วผมทำแบบนั้นได้อย่างไร❓ ผมหมายถึง การเคลื่อนที่เป็นวงจรอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของผมผ่านระเบียงทางเดินแห่งกาลเวลานี้ ให้ 'รสชาติของพระเจ้า (ประสบการณ์ถึงความเป็นพระเจ้า)' กับผมได้อย่างไร❓
G : “By giving you the endless experience of yourself as the creator. God is the Creator, and when you experience yourself as the creator, you experience yourself as Divine.
พระเจ้า: "ด้วยการให้ประสบการณ์อันไม่มีที่สิ้นสุดกับเธอในฐานะผู้สร้าง พระเจ้าคือผู้สร้าง และเมื่อเธอมีประสบการณ์ถึงตัวเองในฐานะผู้สร้าง เธอก็มีประสบการณ์ถึงตัวเองในฐานะพระผู้เป็นเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์
“Earlier I told you that the entire universe is composed of one thing, acting differently. Your scientists are now calling this one thing the basic energy of life, manifesting as minuscule ‘super- strings’ vibrating at different speeds. The variations in these vibrations produce the variations in the physical matter that makes up all things in the universe.
"ก่อนหน้านี้ฉันได้บอกกับเธอว่าจักรวาลทั้งหมดประกอบด้วย 'สิ่งเดียว' ที่แสดงออกในรูปแบบที่แตกต่างกัน นักวิทยาศาสตร์ของเธอในตอนนี้เรียก 'สิ่งเดียว' นี้ว่า พลังงานพื้นฐานของชีวิต ที่แสดงออกในรูปของ 'ซูเปอร์สตริง'* ขนาดจิ๋วที่สั่นสะเทือนด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน ความแตกต่างในการสั่นสะเทือนเหล่านี้ทำให้เกิดความแตกต่างในสสารทางกายภาพที่ประกอบเป็นทุกสิ่งในจักรวาล
(*strings :แปลได้ว่า เงื่อนไข หรือ เส้นด้าย ก็ได้ครับ ในที่นี้อาจแปลได้ว่า : เส้นด้ายพลังงานขนาดจิ๋วที่สั่นสะเทือนด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน)
“I also said that you were composed of the same thing. Now once you know this, and once you know that ‘matter’ shows up differently depending on the differing vibrations of these super- strings, all you have left to figure out in order to create the physical reality that you desire is how to make the super-strings vibrate the way you choose.
"ฉันยังบอกด้วยว่าตัวเธอประกอบขึ้นมาจากสิ่งเดียวกัน เมื่อเธอรู้เรื่องนี้แล้ว และเมื่อเธอรู้ว่า 'สสาร' ปรากฏแตกต่างกันไปตามการสั่นสะเทือนที่แตกต่างกันของซูเปอร์สตริงเหล่านี้ สิ่งเดียวที่เธอต้องหาคำตอบเพื่อสร้างความเป็นจริงทางกายภาพที่เธอปรารถนาก็คือวิธีทำให้ซูเปอร์สตริง* (*เส้นด้ายพลังงาน) สั่นสะเทือนในแบบที่เธอเลือก
“It is the speed and pattern of the vibration of the strings that creates particular physical manifestations.”
"ความเร็วและรูปแบบของการสั่นสะเทือนของสตริง* (*เส้นด้าย) นี้เองที่สร้างการแสดงออกหรือการปรากฏขึ้นทางกายภาพที่เฉพาะเจาะจง"
N : Okay, so what makes their vibration quicken or lessen? What makes there frequency higher or lower?”
นีล: โอเคครับ แล้วอะไรทำให้การสั่นสะเทือนของพวกมันเร็วขึ้นหรือช้าลงล่ะครับ❓ อะไรทำให้ความถี่ของมันสูงขึ้นหรือต่ำลง❓
G : “You do.”
พระเจ้า: "เธอไง"
N : I do?
นีล : ผมเหรอครับ❓
G : “Yes. All of you do. With your thoughts, your words, and your actions.
พระเจ้า: "ใช่ พวกเธอทุกคนเป็นคนทำให้พวกมันเร็วขึ้นหรือช้าลง ด้วยความคิด คำพูด และการกระทำของพวกเธอ
“The things you think, the things you say, and the things that you do, send out a 'vibe' from the center of your being. Thoughts are nothing more than vibrations. They can be measured, as you know. Words are vibrations of your vocal cords. Actions are your whole physical body vibrating in one way or another.
"สิ่งที่เธอคิด สิ่งที่เธอพูด และสิ่งที่เธอทำ ได้ส่ง 'พลังสั่นสะเทือน' ออกจากศูนย์กลางของความเป็นเธอ—ศูนย์กลางแห่งตัวตนของเธอ ความคิดไม่ใช่อะไรมากไปกว่าการสั่นสะเทือน มันสามารถวัดได้ อย่างที่เธอรู้ คำพูดคือการสั่นสะเทือนของเส้นเสียง ส่วน การกระทำคือการที่ร่างกายทั้งหมดของเธอสั่นสะเทือนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
“These vibrations form particular patterns and obtain particular frequencies, and these fluctuations produce particular kinds of disturbances are nothing more than patterned and changing movements of the invisible super strings, and it is these varying vibrations that produce varying physical matter."
"การสั่นสะเทือนเหล่านี้ก่อตัวเป็นรูปแบบเฉพาะและมีความถี่เฉพาะ และความผันผวนเหล่านี้ก่อให้เกิดความแปรปรวนเฉพาะ ซึ่งไม่ใช่อะไรมากไปกว่าการเคลื่อนไหวที่มีรูปแบบและการเปลี่ยนแปลงของซูเปอร์สตริงที่มองไม่เห็น และการสั่นสะเทือนที่แตกต่างกันเหล่านี้เองที่ก่อให้เกิดสสารทางกายภาพที่แตกต่างกัน"
N : This is the alchemy of life!
นีล: นี่คือวิชาเล่นแร่แปรธาตุของชีวิต❗
G : “Yes. You can alter ‘life frequency’ by what you are thinking, saying, or doing, thus producing changes in the energy pattern that is ‘you,’ and in the energy that ‘you’ emit and send into the world.
พระเจ้า: "ใช่แล้ว เธอสามารถเปลี่ยนแปลง 'ความถี่ของชีวิต' ได้ด้วยสิ่งที่เธอกำลังคิด กำลังพูด หรือกำลังทำ สิ่งเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบทางพลังงานที่ก็คือ 'ตัวเธอ' และในพลังงานที่ 'ตัวเธอ' ปล่อย (เปล่งประกาย) และส่งออกไปสู่โลก
“The changes in the energy field inside and around you produce new localized fluctuations in the larger Space/Time Continuum within which you exist, and that is what causes the new physical effects of your life.”
"การเปลี่ยนแปลงในสนามพลังงานทั้งภายในและรอบๆ ตัวเธอ ก่อให้เกิดความผันผวนใหม่ๆ ในพื้นที่เฉพาะภายในความต่อเนื่องโยงใยของพื้นที่ว่างและเวลาที่กว้างใหญ่กว่าที่ซึ่งเธอดำรงอยู่ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เกิดผลกระทบทางกายภาพใหม่ๆ ในชีวิตของเธอ"
N : What kinds of thoughts, words, and actions produce the most beneficial frequencies? I think I know the answer, but tell me anyway.
นีล : ความคิด คำพูด และการกระทำแบบไหนที่สร้างความถี่ที่เป็นประโยชน์มากที่สุดครับ❓ ผมคิดว่าผมรู้คำตอบ แต่ยังไงก็ช่วยบอกผมหน่อยครับเพื่อความมั่นใจ
G : “Well, of course you know the answer. Positive thoughts, words, and actions produce the most beneficial frequencies in the super- string vibrations, or energy patterns, of life.
พระเจ้า: "แน่นอนอยู่แล้วว่าเธอต้องรู้คำตอบ ความคิดเชิงบวก คำพูดเชิงบวก และการกระทำเชิงบวก สร้างความถี่ที่เป็นประโยชน์มากที่สุดในการสั่นสะเทือนของซูเปอร์สตริง หรือรูปแบบทางพลังงานของชีวิต
“Meditation or prayer is a high form of energy alteration. Visualizing what you desire is a high form of energy manipulation. Speaking your word is a high form of energy adjustment. Such activities alter the vibration of the super-strings that make up you and everything around you.
"การทำสมาธิหรือการสวดมนต์เป็นรูปแบบขั้นสูงของการเปลี่ยนแปลงพลังงาน การจินตนาการถึงสิ่งที่เธอปรารถนาเป็นรูปแบบขั้นสูงของการจัดการพลังงาน การพูดด้วยถ้อยคำของเธอเป็นรูปแบบขั้นสูงของการปรับพลังงาน กิจกรรมเหล่านี้เปลี่ยนแปลงการสั่นสะเทือนของซูเปอร์สตริงที่ประกอบกันขึ้นเป็นตัวเธอและทุกสิ่งรอบตัวเธอ
“Time itself is also experienced differently depending upon the vibrational shifts that occur with changes in the state of your awareness. If you are in an altered state of consciousness, time can seem to stand still, or to speed up dramatically.
"ตัวเวลาเองก็ถูกรับรู้แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของการสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของระดับในการตระหนักรู้ของเธอ ถ้าสภาวะจิต (ในการรับรู้) ของเธอเปลี่ยนไป เวลาอาจดูเหมือนหยุดนิ่ง หรือเร่งเร็วขึ้นอย่างมากก็ได้
“Many is the person who has been deeply in meditation for what seemed like an eternity--only to find that barely a few moments have passed in the Eternal Reality. Conversely, it is not unusual for a person to be in prayer or in quiet contemplation for what seems like a short time, then to look up at the clock and discover that an hour or more has elapsed.
"มีคนมากมายที่เคยดิ่งลึกลงสู่สภาวะแห่งสมาธิ ที่ดูเหมือน (รู้สึกเหมือน) กับว่าจะยาวนานมาก ๆ* —แต่กลับพบว่าเพียงไม่กี่ห้วงขณะเท่านั้นที่ผ่านไปในความเป็นจริงนิรันดร์ ในทางกลับกัน ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่คนๆ หนึ่งจะสวดมนต์หรืออยู่ในภาวะครุ่นคิดเงียบๆ ในสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่แล้วเมื่อมองนาฬิกากลับพบว่าผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้น
(*รู้สึกว่าอยู่ในสภาวะแห่งสมาธินี้นานมากกกก แต่พอลืมตาขึ้นมา หรือ รู้สึกตัวขึ้นมารับรู้โลกภายนอกตัว กลับพบว่าผ่านไปแค่แป๊บเดียว)
“People experience this and then say that time can feel contractible or stretchable. What is actually happening is that you are moving more slowly or more rapidly through the Corridor of Time, which is not contracting or stretching at all.”
"ผู้คนที่ได้ประสบกับสิ่งนี้แล้วก็พูดว่า ตนสามารถรู้สึกได้ว่าเวลาหดหรือยืดได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็คือ ตัวเธอต่างหากที่กำลังเคลื่อนที่ช้าลงหรือเร็วขึ้นผ่านระเบียงแห่งกาลเวลา ซึ่งเวลาไม่ได้หดหรือยืดตัวใดๆเลย"
N : This is an extraordinary short course in metaphysics. Maybe we should call it metaphysical cosmology. Metaphorical metaphysical cosmology at that. But we should not really label this ‘science,’ because we’ll have a lot of people debunking it on scientific grounds. And rightly they should, because based on what science now knows, much of this will make no sense.
นีล : นี่เป็นคอร์สสั้นๆ ที่น่าทึ่งเกี่ยวกับความรู้ในทางอภิปรัชญา บางทีเราควรเรียกมันว่า 'จักรวาลวิทยาเชิงอภิปรัชญา' หรือจะเป็น 'จักรวาลวิทยาเชิงอภิปรัชญาในเชิงอุปมา' ก็ได้ แต่เราไม่ควรเรียกสิ่งนี้ว่า 'วิทยาศาสตร์' เพราะจะมีคนมากมายที่หักล้างมันบนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ และพวกเขาก็ควรทำเช่นนั้น เพราะจากสิ่งที่วิทยาศาสตร์รู้ในตอนนี้ หลายสิ่งในนี้นั้นไม่สมเหตุสมผลเอาสะเลย
G : “You would be surprised at how much of it will make perfect sense.”
พระเจ้า: "เธออาจจะแปลกใจว่ามีหลายสิ่งในที่นี้ที่มีความสมเหตุสมผลอย่างสมบูรณ์"
N : Having said that, how much of this short course is necessary, do you think, in order to understand life and death. I mean, we’ve gotten into so many things here…
นีล : พูดแบบนั้นแล้ว พระองค์คิดว่าจำเป็นต้องเรียนรู้มากแค่ไหนในคอร์สสั้นๆ นี้เพื่อที่จะเข้าใจเรื่องชีวิตและความตาย ผมหมายถึง เราได้พูดคุยกันถึงหลายสิ่งหลายอย่างมากที่นี่...
G : “It can be very helpful to know, at a theoretical level, what is going on in the process of life and death, as well as how, and why.”
พระเจ้า: "มันเป็นประโยชน์มากที่ได้รู้ ในระดับทฤษฎี ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในกระบวนการของชีวิตและความตาย รวมถึงอย่างไร และทำไม"
N : Okay, then, let’s explore further this idea that there are many ‘routes’ through Space/Time--
นีล: โอเคครับ งั้นเรามาสำรวจแนวคิดนี้กันต่อว่ามี 'เส้นทาง' อยู่มากมายผ่านพื้นที่ว่างและเวลา—
G : “—an endless number—”
พระเจ้า: "—เส้นทางจำนวนไม่สิ้นสุด—"
N : —and that I may take any route that I wish.
นีล: —และผมสามารถเลือกเส้นทางไหนก็ได้ที่ผมปรารถนา
G : “You may. Including, as we’ve already noted, one that you took before. In fact, you do this quite often.”
พระเจ้า: "ใช่แล้ว รวมถึง อย่างที่เราได้ให้ข้อสังเกตไปแล้ว เส้นทางที่เธอเคยเดินมาก่อนแล้วก็ด้วย เอาจริงๆ แล้วเธอทำแบบนั้นบ่อยมาก"
N : And when I do, I may experience the same things that I experienced before, or I may not, depending on what I choose, yes?
นีล : และเมื่อผมทำแบบนั้น คือเลือกเส้นทางเดิม (อัตลักษณ์เดิม) ผมอาจจะประสบกับสิ่งเดียวกับที่เคยประสบมาก่อน หรืออาจจะไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ผมเลือก ใช่ไหมครับ❓
G : “That is correct.”
พระเจ้า: "ถูกต้อง"
N : But how does the process work? How do I make this choice?
นีล: แต่กระบวนการทำงานจะเป็นอย่างไร❓ ผมจะเลือกได้อย่างไร❓
G : “By what you look at, by what you give your attention to. What you look at is what you will experience.”
พระเจ้า: "โดยสิ่งที่เธอมอง โดยสิ่งที่เธอให้ความสนใจ สิ่งที่เธอมองคือสิ่งที่เธอจะได้ประสบ"
N : Yes, you’ve told me that. Still, I need just a little more help here. I think I’m beginning to understand this, but I need just little more help.
นีล: ครับ พระองค์เคยบอกผมเรื่องนั้นแล้ว แต่ผมยังต้องการความช่วยเหลือเพิ่มอีกนิดตรงนี้ ผมคิดว่าผมเริ่มเข้าใจเรื่องนี้แล้ว แต่ผมต้องการความช่วยเหลือเพิ่มอีกหน่อย
G : “Remember when I asked you to imagine markings on the tunnel? Remember the markings on the corridor of Time?”
พระเจ้า: "จำได้ไหมตอนที่ฉันขอให้เธอจินตนาการถึงเครื่องหมายบนอุโมงค์❓ ยังจำเครื่องหมายบนระเบียงแห่งกาลเวลาได้ไหม❓"
N : Yes. You said they were actually pictures.
นีล : จำได้ครับ พระองค์ยังบอกด้วยว่ามันเป็นรูปภาพจริงๆ (ไม่ใช่แค่เครื่องหมาย)
พระเจ้า: "ถูกต้อง เธอมีความจำที่ดีมาก ตอนนี้ในจินตนาการของเธอ ให้เราทำให้มันเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนัง ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ไม่มีที่สิ้นสุด มันปกคลุมทั้งผนังสองด้านของอุโมงค์ เพดาน และพื้น ภาพจิตรกรรมฝาผนังอยู่รอบตัวเธอ เธอจินตนาการออกไหม❓"
N : Yes.
นีล : ออกครับ
G : “Okay, good. Now let us say that on your first passage through the ‘time tunnel’ your attention is captured at one particular point by a portion of this mural. The mural has many parts and they are all around you, but you have moved to and are focused on. Then you keep on moving, but you remember that at that place in the tunnel you experienced one part of the picture. You now call this your ‘past.’ Are you following the metaphorical storyline here?”
พระเจ้า: "โอเค ดีมาก ตอนนี้ให้เราจินตนาการว่าในการเดินทางครั้งแรกของเธอผ่าน 'อุโมงค์เวลา' ความสนใจของเธอถูกดึงดูดไปที่จุดหนึ่ง ที่ส่วนหนึ่งของภาพจิตรกรรมฝาหนังนี้ ซึ่งภาพจิตรกรรมฝาผนังนั้นมีหลายส่วนและอยู่รอบตัวเธอ แต่เธอได้เคลื่อนไปและจดจ่ออยู่ที่ส่วนนั้น จากนั้นเธอก็เคลื่อนต่อไป แต่เธอจำได้ว่า ณ จุดนั้นในอุโมงค์ เธอได้ประสบกับส่วนหนึ่งของภาพ ซึ่งในตอนนี้เธอเรียกสิ่งนี้ว่า 'อดีต' ของเธอ เธอตามเรื่องราวเชิงอุปมานี้ทันไหม❓"
N : I think so. Go on.
นีล: ผมคิดว่าทัน ต่อเลยครับ
G : “On the next journey you make through this particular tunnel of ‘time,’ at the same point you passed before, maybe you move to and look at a different spot in the mural. You see something entirely different. You focus on another part of the picture. You can do this in the same ‘moment’ by moving left to right, up and down forward and backward, or circumferentially in the Corridor of Time.
พระเจ้า: "ในการเดินทางครั้งถัดไปที่เธอผ่านอุโมงค์ 'เวลา' อันเฉพาะเจาะจงนี้* ณ จุดเดียวกับที่เธอเคยผ่านมาก่อน บางทีเธออาจเคลื่อนไปและมองไปยังจุดที่ต่างไปในภาพจิตรกรรมฝาผนังที่อยู่ ณ จุดนั้น เธอจึงเห็นบางสิ่งที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง เธอจดจ่อไปที่อีกส่วนหนึ่งของภาพ เธอสามารถทำสิ่งนี้ได้ใน 'ช่วงเวลา – ห้วงขณะ' เดียวกันนั้นโดยการเคลื่อนที่จากซ้ายไปขวา ขึ้นบนและลงล่าง ไปข้างหน้าและถอยหลัง หรือเคลื่อนเป็นวงกลมทวนเข็มและตามเข็มในระเบียงแห่งกาลเวลา
(*ถ้ายังจำกันได้ พระองค์บอกว่า เส้นทางเดินมีอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน ไม่มีที่สิ้นสุด)
“Remember, there are pictures all around you in every ‘moment’ of ‘time.’ If you only move forward and back, up and down, left and right, through the Corridor, you limit your options as to which other pictures you can move to and look at.
But if you move circumferentially, you can explore all the pictures that exist in one single moment, by moving around the ‘ring of time’ that represents that particular nanosecond. It is like moving around every edge of a snowflake. Remember that I have said, every Moment is like a snowflake. There are no two alike in all of Eternity.”
"จงจำไว้ว่า มีภาพอยู่รอบตัวเธอในทุก 'ช่วงเวลา' ของ 'กาลเวลา' ถ้าเธอเคลื่อนที่แค่ไปข้างหน้าและถอยหลัง ขึ้นและลง ซ้ายและขวา ผ่านระเบียงเวลา เธอได้จำกัดตัวเลือกของเธอว่าจะเคลื่อนที่ไปดูภาพอื่นๆ ได้แค่ไหน
แต่ถ้าเธอเคลื่อนที่เป็นวงกลม เธอสามารถสำรวจภาพทั้งหมดที่มีอยู่ในช่วงเวลาเดียวนั้นได้ โดยการเคลื่อนที่รอบ 'วงแหวนแห่งเวลา'* ที่แทนด้วยหน่วยเวลาเป็นนาโนวินาทีต่อวง มันเหมือนกับการเคลื่อนไปรอบๆ ทุกขอบของเกล็ดหิมะ จงจำไว้ว่าฉันเคยบอกว่า ทุกช่วงเวลาเหมือนกับเกล็ดหิมะ ไม่มีสองช่วงเวลาใดที่เหมือนกันในความเป็นนิรันดร์ทั้งมวล"**
(*ให้ลองจินตนาการว่า : วงแหวนแห่งเวลา 1 วง คือ นาโนวินาที (0.000000001 วินาที) แล้วนำวงแหวนแห่งเวลาที่ว่ามาเรียงต่อกันไปเรื่อยๆจนกลายเป็นระเบียงกาลเวลา
**ความเป็นนิรันดร์ทั้งมวล ตรงนี้ก็จะหมายถึง : วงแหวนแห่งเวลาที่มาเรียงร้อยต่อกันจนครอบคลุมการดำรงอยู่ หรือ ความมีอยู่ทั้งหมด หรือทั้งจักรวาลทางกายภาพ และในแต่ละวงแหวน ก็ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่วงแหวนเดียว 🤯)
N : And if I change one single thing in any of those rings, I change all the ‘pictures’ that follow.
นีล: และถ้าผมเปลี่ยนแค่สิ่งเดียวในวงแหวนใดวงแหวนหนึ่งเหล่านั้น ผมได้เปลี่ยน 'ภาพ' ทั้งหมดที่อยู่ถัดไปจากภาพที่ถูกเปลี่ยนนั้น* (*ภาพที่อยู่ในแต่ละวงแหวนวงต่อๆๆๆๆๆๆไปทั้งหมด)
G : “Exactly. Thus it is that you can take the same path, but see different things.”
พระเจ้า: "ถูกเผง ด้วยเหตุนี้เธอจึงสามารถเดินทางในเส้นทางเดิม แต่เห็นสิ่งต่างๆ ที่แตกต่างกันได้"
N : Gosh, I really am Lord of the Rings!
นีล: ไม่อยากจะเชื่อ ผมคือเจ้าผู้ครองแหวนตัวจริงเสียงจริง❗*
(*คงไม่มีใครไม่เคยดู The Lord of the Rings หรอกกระมังครับ 😄)
G : “You are, indeed.
พระเจ้า: "ใช่แล้ว เธอเป็นจริงๆ
“The ring, or circle, has always been a sacred symbol signifying eternity, completeness, endless love, and the endless journey.”
"วงแหวน หรือ วงกลม ♾️ เป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด มันแสดงถึงความเป็นนิรันดร์ ความสมบูรณ์หรือบูรณภาพ ความรักที่ไม่มีที่สิ้นสุด และการเดินทางที่ไม่มีวันจบ"
N : But if I am on this endless journey, won’t I recognize--I mean, the mural is all around me…won’t I recognize anything at all?
นีล : แต่ถ้าผมอยู่ในการเดินทางอันไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ผมจะไม่จำได้หรอกหรือครับ—ผมหมายถึง ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่อยู่รอบตัวผม...ผมจะจำอะไรไม่ได้เลยหรือ❓
G : “Oh, yes. When you travel in a spiral through the Corridor of Time, very often your eyes will light upon a portion of the ‘mural’ that you saw before, and you will say, ‘I have been here before! Everything is exactly as it was then.’”
พระเจ้า: "โอ้ จำได้สิ เมื่อเธอเดินทางเป็นเกลียวผ่านระเบียงแห่งกาลเวลา บ่อยครั้งที่ดวงตาของเธอจะสะดุดกับส่วนหนึ่งของ 'ภาพจิตรกรรมฝาผนัง' ที่เธอเคยเห็นมาก่อน และเธอจะพูดว่า 'ฉันเคยมาที่นี่มาก่อน❗ ทุกอย่างเหมือนกับตอนนั้นเป๊ะเลย'"
N : Déjà vu!
นีล : เดจาวู❗
G : “Precisely.
พระเจ้า: "ถูกต้องที่สุด
“Now sometimes when you travel around a ‘time tunnel,’ you will experience yourself receiving a message ‘message’ or getting ‘instructions.’ It could be a warning…’Don’t move that way. Don’t focus on that part of the mural.’ Or it could be an invitation…’Look at this part of the mural. See this picture, over here.’”
"ในบางครั้งเมื่อเธอเดินทางรอบ 'อุโมงค์เวลา' เธอจะประสบกับตัวเองที่กำลังได้รับ 'ข้อความ' หรือได้รับ 'คำแนะนำ' มันอาจเป็นคำเตือน...'อย่าเคลื่อนไปทางนั้น อย่าจดจ่อกับส่วนนั้นของภาพจิตรกรรม' หรืออาจเป็นคำเชิญชวน...'มองส่วนนี้ของภาพจิตรกรรมสิ ดูภาพนี้ ตรงนี้'"
N : Yes! I’ve had that experience! Who is telling me that? You?
นีล: ใช่เลย❗ ผมเคยมีประสบการณ์แบบนั้น❗ ใครกำลังบอกผมแบบนั้น❓ พระองค์เหรอ❓
G : “You. YOU are telling you that. It is the Individuation of the Singularity that is sending you these ‘instructions’ that come in the form of what you call ‘hints’ or ‘hunches’ or ‘women’s intuition’ or a ‘psychic hit.’”
พระเจ้า : "เธอเองนั่นแหละ เธอกำลังบอกตัวเธอเอง มันคือการที่ความเป็นเอกภาพของความเป็นเอกเทศที่กำลังส่ง 'คำแนะนำ' เหล่านี้มาให้เธอ ในรูปแบบของสิ่งที่เธอเรียกว่า 'ความรู้สึกบอก' หรือ 'ลางสังหรณ์' หรือ 'สัญชาตญาณผู้หญิง' หรือ 'ญาณหยั่งรู้'"
N : I’m talking to myself.
นีล : ผมกำลังคุยกับตัวเอง
G : “You are.”
พระเจ้า: "ใช่แล้ว เธอกำลังคุยกับตัวเอง"
N : My ‘future self’ is talking to my ‘present self.’
นีล: 'ตัวผมในอนาคต' กำลังคุยกับ 'ตัวผมในปัจจุบัน'
G : “You could put it that way. And if you listen carefully to your Self, you can experience any point in ‘time,’ or your whole trip through the tunnel, in an entirely new way.”
พระเจ้า : "เธออาจจะพูดแบบนั้นก็ได้ และถ้าเธอฟังตัวเธอเองอย่างตั้งใจ เธอสามารถประสบกับจุดใดก็ได้ใน 'กาลเวลา' หรือการเดินทางทั้งหมดของเธอผ่านอุโมงค์เวลา จะเป็นไปในวิถีทางที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง"
N : So…let see if I’ve got this right…I’m continually moving through Time and Space, and either I’m taking new routes altogether—
นีล : "ลองดูว่าผมเข้าใจถูกไหม... ผมเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องผ่านกาลเวลาและพื้นที่ว่าง และผมอาจจะเดินทางในเส้นทางใหม่ทั้งหมด—"
G :“—what you would call ‘living different lives’—”
พระเจ้า : "—สิ่งที่เธอเรียกว่า 'การมีชีวิตที่ต่างไป (เป็นคนอีกคน/ภพชาติใหม่)'—"
N : —or taking the same route as before.
นีล : —หรือเดินทางในเส้นทางเดิมอีกครั้ง
G : “What you would call ‘living the same life over again,’ during which you may experience déjà vu--the sense of having ‘been there before.’”
พระเจ้า : "สิ่งที่เธอเรียกว่า 'การใช้ชีวิตเดิมซ้ำใหม่หมดอีกครั้ง' ซึ่งเธออาจจะได้ประสบกับภาวะเดจาวู—เกิดความรู้สึกที่ว่า 'เคยอยู่ที่นี่มาก่อน'"
N : But if all of this is happening at the same moment…
นีล : "แต่ถ้าทั้งหมดนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน..."
G : “It is. Remember, there is only one Applorange. The Space/Time Continuum is the Singularity. There is nothing else BUT the Singularity.”
G: "ใช่แล้ว จำไว้ว่ามีแค่หนึ่งแอปเปิ้ลส้มเท่านั้น มิติแห่งกาลเวลาคือความเป็นหนึ่งเดียว (ความเป็นเอกภาพ) ไม่มีอะไรอื่นนอกจากความเป็นหนึ่งเดียวนี้"
N : …then I must exist within the Singularity at several different points simultaneously. We touched on this a little before, when we explored the idea of alternative realities. Are you saying that I can be in two places at once?
นีล : "...งั้นผมก็ต้องดำรงอยู่ภายในความเป็นหนึ่งเดียวนี้ในหลายๆจุดพร้อมกันในขณะเดียวกัน เราเคยพูดคุยถึงเรื่องนี้กันเล็กน้อยในตอนที่เราสำรวจแนวคิดเรื่องความเป็นจริงทางเลือก พระองค์กำลังบอกว่าผมสามารถอยู่ในสองที่พร้อมกันในขณะเดียวกันได้เหรอครับ❓"
G : “You can be in many places at once, not just two. And you are.”
พระเจ้า : "เธอสามารถอยู่ได้หลายที่พร้อมกันในขณะเดียวกัน ไม่ใช่แค่สองที่ และเธอก็เป็นเช่นนั้นอยู่ในขณะนี้"
N : I’m the Individuation of the Singularity experiencing life sequentially simultaneously.
นีล : "ผมคือการแยกย่อย (ตัวตนปัจเจกหรือความเป็นเอกเทศ) ของความเป็นเอกภาพ/หนึ่งเดียวที่กำลังประสบกับชีวิตแบบเรียงลำดับและพร้อมกันในขณะเดียวกัน"
G : “And you now understand completely.
“The ‘you’ that is You--the All that is the Individuality--has expressed itself multitudinously.”
พระเจ้า: "และตอนนี้เธอได้เข้าใจอย่างสมบูรณ์แล้ว
'เธอ' ที่มีความเป็นตัวเธอ—คือทั้งหมดที่มีความเป็นปัจเจก—ได้สำแดงตัวเองออกมาในหลากหลายรูปแบบ"
N : I always knew I had multiple personalities!
นีล : "ผมรู้มาโดยตลอดว่าผมมีบุคลิกภาพ (อัตลักษณ์) หลายแบบ❗"
My God, no wonder you have to circle back over this stuff. This all has countless layers. It seems that I am the multitudinous individuation of the singularity, experiencing life sequentially simultaneously.
พระเจ้า ไม่แปลกเลยที่พระองค์ต้องวนกลับมาพูดเรื่องพวกนี้ซ้ำ มันมีหลายชั้นมากมายนับไม่ถ้วน ดูเหมือนว่าผมคือการแยกย่อยอันหลากหลายของความเป็นหนึ่งเดียว ที่กำลังประสบกับชีวิตแบบเรียงลำดับและพร้อมกันในขณะเดียวกัน
G : “You see how hard it is to put all this into words? You have to make up words and phrases that don’t exist in order to even get close.”
พระเจ้า : "เธอเห็นไหมว่ามันยากแค่ไหนที่จะอธิบายสิ่งเหล่านี้ออกมาเป็นคำพูด❓ เธอต้องคิดคำและวลีที่ไม่เคยมีมาก่อนเพื่อให้เข้าใกล้ความจริงที่สุด"
N : But I know what you are saying! You are saying that I have lived many lives, and that I have lived THIS life many times.
นีล : "แต่ผมเข้าใจสิ่งที่พระองค์กำลังบอก❗ พระองค์กำลังบอกว่าผมได้ใช้ชีวิตมาแล้วหลากหลายชีวิต (*เป็นหลายคน) และผมก็ได้ใช้ชีวิตนี้มาแล้วหลายครั้ง (*เป็นคนเดิม)"
G : “That is correct. Except you would understand this even better--you would be stating it more accurately--if you did not use the past tense.”
พระเจ้า : "ถูกต้อง ยกเว้นก็แต่ว่าเธอจะเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นไปอีก—เธอจะกล่าวถ้อยแถลงได้แม่นยำกว่านี้อีก--ถ้าเธอไม่ใช้กาลอดีต"
N : I am living many lives, and I am living. THIS life many times.
นีล : "ผมกำลังใช้ชีวิตอันหลากหลายอยู่ในตอนนี้ และผมก็กำลังใช้ชีวิตนี้หลายครั้งอยู่ในตอนนี้
G : “Now you have it exactly.
“Almost.”
พระเจ้า : "ตอนนี้เธอเข้าใจถูกต้องแล้ว
เกือบจะเข้าใจถูกต้องทั้งหมดแล้ว"
N : Almost?
นีล : เกือบงั้นเหรอครับ❓
G : “There’s one more little detail…”
พระเจ้า : "ยังมีรายละเอียดเล็กๆ อีกอย่าง..."
N : What is it?
นีล : คืออะไรครับ❓
G : “You have painted the mural.”
พระเจ้า : "เธอเป็นคนวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้เอง"
N : What?
นีล : อะไรนะครับ❓
G : “And you can alter the painting at any time.”
พระเจ้า : "และเธอก็สามารถเปลี่ยนแปลงภาพวาดเหล่านี้ได้ทุกเมื่อ"
N : WHAT?
นีล : ว่าไงนะครับ❓
G : “You can add to it, white out any part of it, color over or change the color of any portion of it each time you pass any point in ‘time,’ You may alter the painting in any way that you wish, whenever you wish.”
พระเจ้า : "เธอสามารถเพิ่มเติม ลบส่วนใดก็ได้ ระบายทับหรือเปลี่ยนสีส่วนใดก็ได้ในทุกครั้งที่เธอผ่านจุดใดก็ตามในกาลเวลา เธอสามารถเปลี่ยนแปลงภาพวาดได้ในทุกวิธีที่เธอปรารถนา และเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่เธอต้องการ"
N : Oh, my God, the super-strings are my brushes!
นีล : โอ้ พระเจ้า ซูเปอร์สตริง*คือพู่กันของผม❗
(*ความคิด คำพูด การกระทำ)
G : “Good work! Great analogy.”
G : "เก่งมาก❗ เป็นการเปรียบเทียบที่ยอดเยี่ยมมาก"
N : So nothing EVER has to be the way it was before!
นีล : งั้นไม่มีอะไรที่จำเป็นต้องเป็นเหมือนเดิมเลย❗
G : “That is right.”
พระเจ้า : "ถูกต้องแล้ว"
N : That means that the possibilities are endless.
นีล : "นั่นหมายความว่าความเป็นไปได้นั้นไม่มีที่สิ้นสุด"
G : “Correct.”
พระเจ้า : "ถูกต้อง"
N : Then…then…this could go on forever.
นีล : งั้น...งั้น...สิ่งนี้อาจจะดำเนินต่อไปตลอดกาลอีกด้วย
G : “It does, my wonderful One. It does.”
พระเจ้า : "ใช่แล้ว ผู้วิเศษของฉัน มันเป็นเช่นนั้นแล"
(★และผมก็คิดว่าตรงส่วนหลังนี้น่าจะหมายถึงอย่างนี้ได้ด้วยคือ : เราได้วาดภาพทั้งหมดในอุโมงค์เวลาไปแล้ว คือทุกๆเส้นทางเดินอันนับไม่ถ้วนเราได้วาดภาพไว้หมดแล้ว ก็คือทุกๆวงแหวนเวลาที่ประกอบกันขึ้นเป็นทั้งจักรวาลทางกายภาพนั้น เราได้วาดภาพลงไปหมดแล้ว ไม่งั้นทั้งจักรวาลทางกายภาพคงปรากฏขึ้นมาไม่ได้ และจักรวาลทางกายภาพทั้งจักรวาลก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับความคิด คำพูด และการกระทำของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลที่ดำรงอยู่ในจักรวาลทางกายภาพนั้น🤯)
➖➖➖(((จบบทที่ 2️⃣4️⃣)))➖➖➖

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา