24 ธ.ค. 2024 เวลา 03:47 • หนังสือ

#38 HWG : บทที่ 2️⃣5️⃣ :

#ความตายคือทางเชื่อมระหว่างโลกทางกายภาพและอาณาจักรทางจิตวิญญาณ...#และการกลับไปกลับมา
▪️ผู้แปล : อุดม (แอดมิน)
THE THIRTEENTH REMEMBRANCE
บทแห่งการระลึกที่ 1️⃣3️⃣
Death is the passageway between the physical world and the spiritual realm…
and back again.
ความตายคือทางเชื่อมระหว่างโลกทางกายภาพและอาณาจักรทางจิตวิญญาณ...
และการกลับไปกลับมา
Chapter 2️⃣5️⃣
Neale : So I am ‘painting the mural’ in the Corridor of Time by changing the vibration of the energy of life that swirls in me and around me.
นีล : คือผมกำลัง 'วาดภาพจิตรกรรมฝาผนัง' ในระเบียงแห่งกาลเวลาด้วยการเปลี่ยนการสั่นสะเทือนของพลังงานแห่งชีวิตที่หมุนวนอยู่ในตัวผมและรอบๆ ตัวผม
 
 
God : “Yes.”
พระเจ้า: "ใช่"
“With your thoughts.
"ด้วยความคิดของเธอ
“You are ‘painting’ ahead of you with your thoughts.
"เธอกำลัง 'วาด' ไปข้างหน้าด้วยความคิดของเธอ
“And with your words.
"และด้วยคำพูดของเธอ
“Everything you say paints a picture of who you think you are, and how you imagine that life is.
"ทุกสิ่งที่เธอพูดได้วาดภาพของตัวตนที่เธอคิดว่าเป็น และวิธีที่เธอจินตนาการว่าชีวิตเป็นเช่นไร
“And with your actions.
"และด้วยการกระทำของเธอ
“Everything you do expresses something about you. You are putting the pictures of every possibility into the mural. Everything that you ever thought was possible—every hope, ever dream, every worry, every nightmare—is all in the mural.”
"ทุกสิ่งที่เธอทำแสดงออกถึงบางสิ่งเกี่ยวกับตัวเธอ เธอกำลังใส่ภาพของทุกความเป็นไปได้ลงในจิตรกรรมฝาผนัง ทุกสิ่งที่เธอเคยคิดว่าเป็นไปได้—ทุกความหวัง ทุกความฝัน ทุกความกังวล ทุกฝันร้าย—ทั้งหมดนั้นอยู่ในจิตรกรรมฝาผนัง"
 
 
N : You have mixed your metaphor with quantum mechanics which says that all possibilities exist.
นีล : พระองค์ได้ผสมอุปมาอุปไมยของพระองค์เข้ากับกลศาสตร์ควอนตัมที่กล่าวว่า ความเป็นไปได้ทั้งหมดมีอยู่จริง
 
 
G : “Exactly.”
พระเจ้า : "ถูกต้อง"
 
 
N : And I experience the possibilities that I look at.
นีล : และผมได้ประสบกับความเป็นไปได้ที่ผมมองเห็น
 
 
G : “That’s it. That’s the metaphor AND quantum mechanics, all rolled into one. Remember, it is quantum physics that says that everything observed is affected by the observer. The metaphor says, “The part of the mural you pay attention to is what you experience.”
พระเจ้า : "นั่นแหละ นั่นคือทั้งอุปมาอุปไมยและกลศาสตร์ควอนตัม รวมเป็นหนึ่งเดียว จำไว้ว่า 'ฟิสิกส์ควอนตัมกล่าวว่า' ทุกสิ่งที่ถูกสังเกตได้รับผลกระทบจากผู้สังเกต อุปมาอุปไมยกล่าวว่า 'ส่วนของจิตรกรรมฝาผนังที่เธอให้ความสนใจคือสิ่งที่เธอประสบ'"
 
 
N : Physics and metaphysics are saying the same thing. They’re just using different language!
นีล : ฟิสิกส์และอภิปรัชญากำลังพูดสิ่งเดียวกัน พวกเขาเพียงแค่ใช้ภาษาที่ต่างกัน❗
 
 
G : “Now you are piecing it together. You are understanding more and more every minute.
พระเจ้า : "ตอนนี้เธอกำลังเข้าใจมากขึ้นแล้ว เธอเข้าใจมากขึ้นๆในทุกๆนาทีที่ผ่านไป
“The point here is that you have lots of thoughts, but you don’t have to pay attention to all of them. In fact you couldn’t if you wanted to. You would go out of your mind.”
"ประเด็นตรงนี้ก็คือ เธอมีความคิดมากมาย แต่เธอไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจกับทุกความคิด จริงๆแล้วเธอทำไม่ได้แม้ว่าเธอจะต้องการ เพราะเธอจะเสียสติ"
 
 
N : Yet there are those who see more of the mural at once than most of us. They are often labeled as having ‘attention deficit disorder.’
นีล : แต่ก็มีคนที่เห็นจิตรกรรมฝาผนังได้มากกว่าพวกเราส่วนใหญ่ในคราวเดียว พวกเขามักถูกเรียกว่าเป็นผู้มี 'โรคสมาธิสั้น'
 
 
G : “In fact, this is not an attention deficit, but an attention surplus. Such individuals have a wider attention span than most people. They see across a broader spectrum of the Ultimate Reality. They ‘take in’ much more. After you understand this, you begin treating such children and adults differently, calling many of them ‘gifted,’ or ‘psychic,’ or ‘indigo.’
พระเจ้า : "จริงๆ แล้ว นี่ไม่ใช่การขาดสมาธิ แต่เป็นการมีสมาธิมากเกินไป บุคคลเหล่านี้มีช่วงความสนใจกว้างกว่าคนส่วนใหญ่ พวกเขาเห็นข้ามสเปกตรัมที่กว้างกว่าของความเป็นจริงสูงสุด พวกเขา 'รับรู้' ได้มากกว่า หลังจากที่เธอเข้าใจสิ่งนี้ เธอจะเริ่มปฏิบัติต่อเด็กและผู้ใหญ่เหล่านี้แตกต่างออกไป และเรียกพวกเขาเหล่านั้นว่า 'ผู้มีพรสวรรค์' หรือ 'ผู้มีญาณพิเศษ' หรือ 'อินดิโก'"
 
 
N : Wow, you are explaining everything here.
นีล : ว้าว พระองค์กำลังอธิบายทุกอย่างตรงนี้
 
 
G : “No, not everything. I would take many more conversations across the eternity of time to explain ‘everything,’ But it is good that we are having this conversation, limited as it must be. For when you even begin to really understand how life works, and death is all about, then you may at last feel at Home with God.
พระเจ้า : "ไม่ใช่ทุกอย่างหรอก การจะอธิบาย 'ทุกอย่าง' ต้องใช้การสนทนาอีกมากมายตลอดนิรันดร์กาล แต่ก็เป็นเรื่องดีที่เรากำลังมีการสนทนานี้ แม้จะมีข้อจำกัดอยู่ก็ตาม เพราะเมื่อเธอเริ่มเข้าใจจริงๆ ว่าชีวิตดำเนินไปอย่างไร และความตายคืออะไร เธอก็อาจรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้ในที่สุด
“You have yearned for this experience for so long. It is time now. It is your time to evolve to the next level, to grow in your understanding. That is why your soul brought you here. That is why you are creating this experience. That is why you are producing this dialogue.”
"เธอโหยหาประสบการณ์นี้มานานแล้ว มันถึงเวลาแล้ว ถึงเวลาของเธอที่จะพัฒนาไปสู่ระดับถัดไป เติบโตขึ้นไปในความเข้าใจของเธอ นั่นคือเหตุผลที่จิตวิญญาณของเธอนำพาเธอมาที่นี่ นั่นคือเหตุผลที่เธอกำลังสร้างประสบการณ์นี้ นั่นคือเหตุผลที่เธอกำลังสร้างบทสนทนานี้"*
(*รวมถึงพวกคุณทุกคนที่กำลังอ่านมาจนถึงตรงนี้เช่นกัน)
 
 
N : I am teaching myself how to make life work here?
นีล : นี่ผมกำลังสอนตัวเองว่าจะทำให้ชีวิตดำเนินไปอย่างไรอยู่ที่นี่❓
 
 
G : “Yes. You have been teaching yourself that all along. Now you are simply picking up speed. You are giving yourself the theoretical basis for life, using a bit of metaphor, a bit of science, a bit of metaphysics, and a lot of spirituality.”
พระเจ้า : "ใช่แล้ว เธอได้สอนตัวเองมาตลอด ตอนนี้เธอเพียงแค่เร่งความเร็วขึ้น เธอกำลังให้พื้นฐานทางทฤษฎีของชีวิตกับตัวเธอเอง โดยใช้อุปมาอุปไมยบ้าง วิทยาศาสตร์บ้าง อภิปรัชญาบ้าง และทางจิตวิญญาณเป็นส่วนใหญ่"
 
 
N : I got it. I see that. So now what I want to know is what I can do with, how I can work with, pictures that I, myself, am painting into the Mural of Possibilities along the Corridor of Time.
นีล : ผมเข้าใจแล้ว ผมได้เห็นแล้ว ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่ผมอยากรู้คือผมจะทำอะไรได้บ้าง ผมจะปฏิบัติอย่างไรกับภาพที่ผมเองกำลังวาดลงในภาพจิตรกรรมแห่งความเป็นไปได้ตลอดระเบียงแห่งกาลเวลา
 
 
G : “When you see a picture in your mind’s eye of something that you do not choose as part of your reality, don’t give it as second look. Picture something else.”
พระเจ้า: "เมื่อเธอเห็นภาพของบางสิ่งในดวงตาแห่งจิตใจ บางสิ่งที่เธอไม่ได้เลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นจริงของเธอ ก็จงอย่าให้ความสนใจกับมันเป็นครั้งที่สอง (*อย่ามองมันเป็นครั้งที่สอง) ให้จินตนาการถึงสิ่งอื่นแทน"
 
 
N :This holds true for everything in life, doesn’t it?
นีล : นี่เป็นความจริงสำหรับทุกสิ่งในชีวิตใช่ไหมครับ❓
 
 
G : “It does. And it also holds true for ‘death.’
พระเจ้า : "ใช่ และมันยังเป็นความจริงสำหรับ 'ความตาย' ด้วย"
 
 
N : Which is the amazing thing I mean. It’s amazing enough to think that we are creating our own reality during life. It’s absolutely mind-altering to think that we are creating our own reality after ‘death.’
นีล : ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าทึ่งจริงๆ มันน่าทึ่งพอแล้วที่คิดว่าเรากำลังสร้างความเป็นจริงของเราเองในระหว่างการมีชีวิต แต่มันได้เปลี่ยนความคิดไปอย่างสิ้นเชิงเลยที่จะคิดว่าเรากำลังสร้างความเป็นจริงของเราเองหลังจาก 'ความตาย' ด้วย
 
 
G : “It’s not so amazing when you realize there IS no death.”
พระเจ้า : "มันก็ไม่ได้น่าทึ่งขนาดนั้นเมื่อเธอตระหนักได้ว่า 'ความตาย' ไม่มีอยู่จริง"
 
 
N : Yes. Now I understand the Seventh Remembrance. ‘Death does not exist,’ at a much deeper level. What you mean by that is exactly what you said earlier. Death does not exist as we have pictured it.
นีล : ใช่ครับ ตอนนี้ผมเข้าใจบทแห่งการระลึกที่ 7️⃣ ในระดับที่ลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิมมาก 'ความตายไม่มีอยู่จริง' สิ่งที่พระองค์หมายถึงคือสิ่งที่พระองค์พูดไว้ก่อนหน้านี้พอดี ความตายไม่ได้เป็นอย่างที่เราจินตนาการไว้
 
 
G : “Go on with that.”
พระเจ้า : "ว่าต่อเลย"
 
 
N : I hear you better now when you say that there is this experience that we call ‘death,’ but it is not an ‘end’ to our lives--or really, an end to anything. ‘Death’ is really at the center of everything. It’s ‘the core of the apple.’
นีล : ผมเข้าใจสิ่งที่พระองค์ต้องการจะสื่อมากขึ้นแล้วครับในตอนนี้เมื่อพระองค์พูดว่า มีประสบการณ์ที่เราเรียกว่า 'ความตาย' นี้อยู่ แต่มันไม่ใช่ 'จุดจบ' ของชีวิตเรา—หรือจริงๆแล้ว มันไม่ใช่จุดจบของสิ่งใดเลย 'ความตาย' จริงๆแล้วก็คือศูนย์กลางของทุกสิ่ง* มันคือ 'แกนกลางของผลแอปเปิ้ล'
(*ทุกสิ่งนั้นเริ่มต้นไปจากความตาย คือ เราต้องตายจากโลกทางกายภาพเสียก่อนถึงจะไปเกิดหรือเข้าสู่โลกวิญญาณได้ ในทางกลับกันเราก็ต้องตายหรือออกจากโลกวิญญาณเสียก่อนถึงจะกลับสู่โลกทางกายภาพได้)
 
 
G : “Yes. It is the central experience of your life. It is what leads you to the Core of Your Being. It is where the seeds of new life are found. The seeds of new life are always at the Core.
พระเจ้า: "ใช่แล้ว มันคือศูนย์กลางแห่งประสบการณ์ของชีวิตเธอ มันคือสิ่งที่นำพาเธอไปสู่แก่นแท้แห่งการดำรงอยู่ของเธอ มันคือที่ที่เมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตใหม่ถูกพบ เมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตใหม่มักอยู่ที่แก่นกลางเสมอ
“’Death’ is something you move through in order to get to the ‘other side.’ It is the passageway between the physical world and the spiritual realm and back again.
"'ความตาย' คือสิ่งที่เธอต้องเคลื่อนผ่านเพื่อไปยัง 'อีกด้านหนึ่ง' มันคือทางผ่านระหว่างโลกทางกายภาพและอาณาจักรทางจิตวิญญาณและการกลับไปกลับมา"
 
 
N : I think that this is the greatest revelations of the metaphor. Even when a soul lives within the spiritual realm, there comes a day, there comes a time, when it ‘dies.’
นีล: ผมคิดว่านี่คือการเปิดเผยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอุปมาอุปไมยนี้ แม้แต่เมื่อคราวที่จิตวิญญาณอาศัยอยู่ ดำรงอยู่ในอาณาจักรทางจิตวิญญาณ ก็ต้องมีสักวันหนึ่ง ณ เวลาหนึ่ง เมื่อถึงคราว 'ตาย' มันก็ตาย
 
 
G : “There comes a time when it is ‘born again.’ This is the time when the soul becomes physical once more.”
พระเจ้า : "เมื่อถึงคราว มันก็ต้อง 'เกิดใหม่' อีกครั้ง นี่คือเวลาที่จิตวิญญาณกลับมาเป็นรูปธรรมชีวิตทางกายภาพอีกครั้ง"
 
 
N : And this happens when it comes through the Core and reemerges back into the physical world.
นีล : และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อมันผ่านแกนกลางและปรากฏขึ้นอีกครั้งในโลกทางกายภาพ
 
 
G : “Yes.
พระเจ้า: "ใช่แล้ว
“You are seeing everything perfectly through this metaphor of the Applorange.”
"เธอกำลังเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจนผ่านการอุปมาอุปไมยของแอปเปิ้ลส้มนี้"
 
 
N : But that would mean that, to the soul...
นีล : แต่นั่นหมายความว่า สำหรับวิญญาณแล้ว...
 
 
G : “But that precisely what it could mean. You have just hit upon…
พระเจ้า: "แต่นั่นคือสิ่งที่มันหมายถึงพอดี เธอเพิ่งได้ค้นพบ...
THE THIRTEENTH REMEMBRANCE
บทแห่งการระลึกที่ 1️⃣3️⃣
Birth and death are the same thing.
การเกิดและความตายคือสิ่งเดียวกัน
 
 
N : The experience of death and the experience of birth are identical?
นีล : ประสบการณ์แห่งความตายและประสบการณ์แห่งการเกิดเหมือนกันงั้นหรือครับ❓
 
 
G : “At the Center of the Core of Your Being, yes. To your soul, yes. Both are simply energy attenuations, acting not unlike power transformers, facilitating transition from one world to the next.
พระเจ้า: "ณ ศูนย์กลางของแก่นแท้แห่งการดำรงอยู่ของเธอ ใช่ สำหรับวิญญาณของเธอ ใช่ ทั้งสอง* (*การเกิดและการตาย) เป็นเพียงการลดทอนพลังงาน ทำหน้าที่คล้ายหม้อแปลงไฟฟ้า อำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนผ่านจากโลกหนึ่งไปสู่อีกโลกหนึ่ง
“The words death and birth could well be eliminated from all of your languages. The world creation could easily be substituted in both cases.
"คำว่าความตายและการเกิดอาจถูกลบออกจากภาษาทั้งหมดของเธอได้ คำว่า การสร้างสรรค์ (โลก/ชีวิต ขึ้นมาใหม่) สามารถใช้แทนได้ในทั้งสองกรณี
“Birth and death are moments of creation. They are the Prime Moments.”
"การเกิดและความตายคือช่วงเวลาแห่งการสร้างสรรค์ พวกมันคือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด"
 
 
N : So instead of saying that so-and-so was ‘born’ today, we could say that so and so was ‘created’ today. And instead of saying that so-and-so ‘died’ today, we could say that so-and-so was ‘created anew’ today.
นีล : ดังนั้นแทนที่จะพูดว่าคนนั้นคนนี้ 'เกิด' วันนี้ เราอาจพูดว่าคนนั้นคนนี้ 'ถูกสร้าง' วันนี้ และแทนที่จะพูดว่าคนนั้นคนนี้ 'ตาย' วันนี้ เราอาจพูดว่าคนนั้นคนนี้ 'ถูกสร้างใหม่' วันนี้
 
 
G : “Yes, that would be wonderful. That would be far more accurate!
พระเจ้า: "ใช่ นั่นจะยอดเยี่ยมมาก นั่นจะถูกต้องตรงกับความเป็นจริงกว่ามาก❗
“Very few people understand ‘death,' and so many have painted it as the saddest experience. Remember I said that you may paint the mural any way that you wish…and the picture you create is the picture you will experience.”
"มีคนน้อยมากที่เข้าใจ 'ความตาย' และหลายคนได้วาดมันให้เป็นประสบการณ์ที่น่าเศร้าที่สุด จำไว้ว่าฉันได้พูดว่า เธออาจวาดภาพจิตรกรรมได้ในแบบที่เธอปรารถนา...และภาพที่เธอสร้างคือภาพที่เธอจะได้ประสบ"
 
 
N : But that’s terrible. It’s not my fault if I was told of horrible things by people I trusted!
นีล : แต่นั่นมันแย่มาก มันไม่ใช่ความผิดของผมถ้าผมถูกบอกเล่าถึงเรื่องราวที่น่ากลัวจากคนที่ผมไว้ใจ❗
 
 
G : “You have let other people paint your pictures for you?”
พระเจ้า : "เธอจะปล่อยให้คนอื่นวาดภาพของเธอแทนงั้นหรือ❓"
 
 
N : We all have. Most people were told of judgment and damnation by their religions--priests, ministers, rabbis, mullahs, and others whom they deeply trusted to know to tell the truth.
นีล : พวกเราทุกคนเป็นแบบนั้นนะครับ คนส่วนใหญ่ถูกบอกเรื่องการพิพากษาและการสาปแช่งจากศาสนาของพวกเขา—บาทหลวง นักบวช รับไบ มุลลาห์ และคนอื่นๆ ที่พวกเขาไว้ใจอย่างลึกซึ้งว่าจะรู้ความจริงและบอกความจริง
 
 
G : “Yes. That is what makes religion, and what religion says to its followers, so critical.”
พระเจ้า: "ใช่ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ศาสนา และสิ่งที่ศาสนาบอกกับผู้ติดตาม/ผู้ศรัทธา มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง* (*เป็นสิ่งชี้ขาด/ชี้เป็นชี้ตายต่อผู้คนจำนวนมาก)"
 
 
N : But if there is no ‘hell’ or ‘judgment’ and 'damnation’ in Ultimate Reality; why should a person have to experience that?
นีล: แต่ถ้าไม่มี 'นรก' หรือ 'การพิพากษา' และ 'การสาปแช่ง' ในความเป็นจริงสูงสุด แล้วทำไมถึงมีคนที่ได้ประสบกับสิ่งนั้นล่ะครับ❓*
(*มีคนที่ได้ประสบกับสิ่งเหล่านี้จริงๆ เป็นจำนวนมากด้วยซ้ำ ก็เพราะพวกเขาเชื่อแบบนั้น ถึงได้ประสบแบบนั้น อย่างที่พระองค์บอกก็คือ "ภาพที่เธอสร้างคือภาพที่เธอจะได้ประสบ")
G : “As we have declared repeatedly now, a person does not have to experience that. A person would be choosing to experience that. You do not have to follow the dictates of my belief system, nor to accept and embrace the teachings of any person. You may make a conscious decision to seek your own truth. Indeed, to create it.”
พระเจ้า : "อย่างที่ฉันได้ป่าวประกาศซ้ำแล้วซ้ำอีก ผู้คนไม่จำเป็นต้องประสบกับสิ่งนั้น คนผู้นั้นอาจกำลังเลือกที่จะประสบกับสิ่งนั้นเอง เธอเองก็ไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งหรือคำบัญชาของระบบความเชื่อของฉัน หรือยอมรับและรับเอาคำสอนของใครก็ตาม เธออาจตัดสินใจอย่างมีสติที่จะแสวงหาความจริงของตัวเอง อันที่จริง ก็เพื่อสร้างความจริงของตัวเองขึ้นมา"
 
 
N : You keep saying that I can create my own truth.
นีล : พระองค์พูดซ้ำๆว่าผมสามารถสร้างความจริงของตัวเองขึ้นมาได้
 
 
G : “You do it every day, by what you believe.”
พระเจ้า : "เธอทำมันอยู่ทุกวัน ด้วยสิ่งที่เธอเชื่อ"
 
 
N : But if, as you told me earlier, a person is constantly creating at three different levels —the subconscious, the conscious, and the super-conscious— why in the world would the super-conscious, the highest part of us, not choose something other than damnation? Why wouldn’t it create something else?
นีล : แต่ถ้า เป็นอย่างที่พระองค์บอกผมก่อนหน้านี้ คนหนึ่งคนกำลังสร้างในสามระดับที่แตกต่างกัน —จิตใต้สำนึก จิตสำนึก และจิตเหนือสำนึก— แล้วทำไมในโลกนี้จิตเหนือสำนึก ที่เป็นส่วนที่สูงส่งที่สุดของเรา จึงไม่เลือกสิ่งอื่นแทนการสาปแช่ง❓ ทำไมมันถึงไม่ไปสร้างสิ่งอื่นแทนล่ะครับ❓
 
 
G : “You have been listening to every word I’ve said, haven’t you.”
พระเจ้า: "เธอได้ยินในทุกถ้อยคำที่ฉันได้พูดมา ใช่ไหม"
 
 
N : We are talking now about life and death in the most detailed and important way ever. Of course I have.
นีล : เรากำลังพูดกันถึงเรื่องชีวิตและความตายในแบบที่ละเอียดและสำคัญที่สุดเท่าที่เคยมีมา แน่นอนว่าผมต้องได้ยินสิครับ
 
 
G : “Good. Because I have listened to every word that YOU have said.”
พระเจ้า : "ดี เพราะฉันก็ได้ยินทุกคำที่เธอพูดเช่นกัน"
 
 
N : What’s that supposed to mean?
นีล : หมายความว่าไงครับนั่น❓
 
 
G : “You’ll see.”
พระเจ้า: "เดี๋ยวเธอก็รู้"
 
 
➖➖➖(((จบบทที่ 2️⃣5️⃣)))➖➖➖

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา