26 ธ.ค. 2024 เวลา 04:49 • หนังสือ

#39 HWG : บทที่ 2️⃣6️⃣ :

เธอไม่สามารถเปลี่ยนประสบการณ์ของเธอได้ —ทั้งในชีวิตนี้หรือชีวิตหน้า— จนกว่าเธอจะรู้ว่าเธอสร้างมันขึ้นมาอย่างไร
▪️ผู้แปล : อุดม (แอดมิน)
✴️ เพื่ออรรถรสในการอ่าน แนะนำให้โหลดไฟล์รูปภาพมาอ่าน โหลดได้ที่ลิงค์ครับ (ได้ภาพมาแล้วขยายขนาดให้เท่าหน้าจอแล้วอ่านได้เลยครับ)
You can’t change your experience—in this lifetime or the next—until you know how you’ve created it.
เธอไม่สามารถเปลี่ยนประสบการณ์ของเธอได้ —ทั้งในชีวิตนี้หรือชีวิตหน้า— จนกว่าเธอจะรู้ว่าเธอสร้างมันขึ้นมาอย่างไร
 
 
Chapter 2️⃣6️⃣
 
 
God : “Go on. Go ahead with what you were asking me.”
พระเจ้า: "พูดต่อเลย พูดต่อในสิ่งที่เธอกำลังถามฉัน"
 
 
Neale : Well, this is all becoming very theoretical here, and I really don’t know—I’ve said this before--I really don’t know if this has any value…
นีล : เอาล่ะครับ ทั้งหมดนี้กำลังกลายเป็นเรื่องทางทฤษฎีมากเกินไปแล้ว และผมก็ไม่รู้จริงๆ—ผมเคยพูดแบบนี้มาก่อน—ผมไม่รู้จริงๆว่ามันมีคุณค่าอะไรบ้าง...
G : “Again let me promise you that looking at all of life in this larger way has enormous value. It helps you to crystallize your thinking about what is going on here, to deepen your understanding. This prepares you for both life and ‘death.’”
พระเจ้า : "ขอให้ฉันได้ให้สัญญากับเธออีกครั้งว่า #การมองชีวิตทั้งหมดในมุมมองที่กว้างขึ้นนี้มีคุณค่ามหาศาล มันช่วยให้เธอจัดระเบียบความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อเพิ่มความเข้าใจของเธอ สิ่งนี้เตรียมเธอให้พร้อมทั้งสำหรับ 'ชีวิต' และ 'ความตาย'"
N : Then if, as you’ve said, the super conscious is the part of us that holds the larger agenda of the soul, and is constantly leading us to our next most appropriate growth experience, why in the world would it draw to us the experience of judgment, damnation, and hell in the afterlife? Why would it allow our conscious mind to accept and to embrace such an idea?
นีล : ถ้าหาก เป็นอย่างที่พระองค์บอกว่า 'จิตเหนือสำนึก' คือภาคส่วนหนึ่งของเราที่ยึดถือเอาวาระที่ใหญ่กว่าของวิญญาณไว้ และกำลังนำพาเราไปสู่ประสบการณ์การเติบโตที่เหมาะสมที่สุดอยู่ตลอดเวลา แล้วทำไมมันถึงได้ดึงดูดประสบการณ์ของการพิพากษา การสาปแช่ง (กล่าวประณาม/กล่าวโทษ) และนรกในชีวิตหลังความตายมาให้เรา❓ ทำไมมันถึงปล่อยให้จิตสำนึก (ในระดับปกติ) ของเรายอมรับและยึดมั่นกับความคิดเช่นนั้นด้วยล่ะครับ❓
G : “Do you remember now what you said, in your own words, in the letter to Jackie?”
พระเจ้า: "เธอยังจำได้ไหมว่าเธอพูดอะไรไว้ในจดหมายถึงแจ็กกี้❓"
N : I think so.
นีล : ผมคิดว่าจำได้ครับ
G : “In that letter you said, 'Sometimes the Soul chooses things at a subconscious or a superconscious level that it would never choose at a conscious level.’ “You said that it does this ‘in order to fulfill it’s larger Agenda.”
พระเจ้า : "ในจดหมายนั้นเธอเขียนว่า 'บางครั้งวิญญาณเลือกสิ่งต่างๆในระดับจิตใต้สำนึกหรือจิตเหนือสำนึก ซึ่งมันจะไม่มีวันยอมเลือกในระดับจิตสำนึก' เธอบอกว่ามันทำเช่นนั้น 'เพื่อให้บรรลุถึงวาระที่ใหญ่กว่า'"
N : So you’re telling me that the Larger Agenda of my soul is to experience judgment, damnation, and hell?
นีล : พระองค์กำลังบอกผมว่า วาระที่ใหญ่กว่าของวิญญาณผมคือการประสบกับการพิพากษา การสาปแช่ง และนรกงั้นเหรอครับ❓
G : "That may very well be the Larger Agenda of your soul. And remember, your experience of hell involves nothing of what you call ‘suffering.’"
พระเจ้า : "นั่นอาจเป็นวาระที่ใหญ่กว่าของวิญญาณเธอจริงๆ และจำไว้ว่า #ประสบการณ์นรกของเธอไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เธอเรียกว่า '#ความทุกข์ทรมาน'"
N : Still, if there is such a thing as a ‘superconscious,’ I can’t believe that it would deliberately choose to cause me to experience hell, with or without suffering. Besides, you’ve made a great effort to explain to me that we experience at the moment of our death what we believe we are going to experience.
You’ve told me that our Afterlife experience is thus a result of conscious choice. Now you’re telling me just the opposite! Now you’re telling me that it’s the result of my super conscious choice! Which is it?
นีล : ถึงกระนั้น ถ้ามีสิ่งที่เรียกว่า 'จิตเหนือสำนึก' อยู่จริงๆ ผมก็ไม่เชื่อว่ามันจะตั้งใจเลือกให้ผมไปประสบกับนรก ไม่ว่าจะมีความทุกข์ทรมานอยู่ที่นั่นหรือไม่ก็ตาม นอกจากนี้ พระองค์ก็พยายามเป็นอย่างมากที่จะอธิบายให้ผมเข้าใจว่าเราจะประสบกับสิ่งที่เราเชื่อว่าจะเกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาที่เราตาย พระองค์บอกว่าประสบการณ์หลังความตายของเราเป็นผลมาจากการเลือกอย่างมีสติ แต่ตอนนี้พระองค์กลับมาบอกตรงกันข้าม❗ ตอนนี้พระองค์บอกว่ามันเป็นผลมาจากการเลือกของจิตเหนือสำนึก❗ แล้วมันอันไหนกันแน่ครับ❓
G : “Both”
พระเจ้า: "ทั้งสองอย่าง"
N : Both ?
นีล : ทั้งสองอย่างงั้นเหรอครับ❓
G : “Consider the possibility that it may be the choice of your superconscious to create whatever you choose to create at the Conscious Level.”
พระเจ้า : "ให้ลองพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่ว่า อาจเป็นการเลือกของจิตเหนือสำนึกของเธอที่จะสร้างสิ่งใดก็ตามที่เธอเลือกสร้างในระดับจิตสำนึก"
N : Why? Why would it do that?
นีล : ทำไมครับ❓ ทำไมมันถึงทำแบบนั้นล่ะครับ❓
G : “Perhaps so that you may come to Completion in Experiencing and Feeling what you Know about yourself.”
พระเจ้า : "บางทีอาจเป็นเพื่อให้เธอได้บรรลุถึงความสมบูรณ์ในการมีประสบการณ์และรู้สึกถึงสิ่งที่เธอรู้เกี่ยวกับตัวเธอเอง"
N : Which would be...?
นีล : ซึ่งก็คือ...❓
G : “That you are the Creator of your own reality.”
พระเจ้า : "#ว่าเธอคือผู้สร้างความจริงของเธอเอง"
N : The superconscious part of me is going to allow the conscious part of me to experience myself in that way, as a creator, even if what is being created is bad for me?
นีล : ส่วนที่เป็นจิตเหนือสำนึกของผมจะยอมให้ส่วนที่เป็นจิตสำนึกของผมมีประสบการณ์ถึงตัวเองในแบบนั้น ในฐานะผู้สร้าง แม้ว่าสิ่งที่กำลังถูกสร้างจะเลวร้ายสำหรับผมงั้นเหรอครับ❓
G : “There is no such thing as ‘good’ and ‘bad.’ They do not exist in Ultimate Reality. Good and bad are judgments made in the mind.”
พระเจ้า : "ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า 'ดี' และ 'เลวร้าย' พวกมันไม่มีอยู่ในความจริงขั้นสูงสุด ความดีและความเลวร้ายเป็นเพียงการตัดสินที่เกิดขึ้นในจิต"*
(*จิตเป็นคนตัดสินใจไปเองว่าอะไรดี อะไรเลวร้าย ซึ่งแต่ละคน ก็ไม่เหมือนกัน ดี เลว จึงเป็นมายา ไม่ใช่ของจริง ด้ยยเหตุนี้ มันไม่ absolute ไม่เที่ยงแท้ถาวร)
N : Who cares where I am making the judgment? If I am in ‘hell’ and my mind says. ‘This is hell,’ that’s enough for me. It’s not going to matter to me that it’s ‘all in my mind‘! All that will matter to me is what I am experiencing. It’s not going to be very important to me HOW it has come to pass that I am experiencing that.
นีล : ใครจะสนกันว่าผมกำลังตัดสินอยู่ที่ไหน❓ ถ้าผมอยู่ใน 'นรก' และจิตผมบอกว่า 'นี่คือนรก' นั่นก็พอแล้วสำหรับผม มันไม่สำคัญหรอกว่าทั้งหมดนี้มันจะ 'อยู่ในจิตของผมเอง' (ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในจิตของผมเอง)❗ สิ่งเดียวที่สำคัญสำหรับผมก็คือสิ่งที่ผมกำลังประสบอยู่ มันไม่สำคัญเลยว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรแล้วถึงทำให้ผมต้องมาประสบกับมัน
G : “Ah, but it should be.”
พระเจ้า : "อ่า แต่มันควรจะสำคัญนะ"
N : Why?
นีล : เพราะอะไรครับ❓
G : “Because only when you know ‘how it has come to pass’ can you change it. You can’t change your experience--in this lifetime OR the next--until you know how you’ve created it.
พระเจ้า : "#เพราะเธอจะเปลี่ยนแปลงมันได้ก็ต่อเมื่อเธอรู้ว่า '#มันเกิดขึ้นได้อย่างไร' #เธอไม่สามารถเปลี่ยนประสบการณ์ของเธอได้—#ทั้งในชาตินี้หรือชาติหน้า—#จนกว่าเธอจะรู้ว่าเธอสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร
“Now if you know that the ‘hell’ you are experiencing is being created by you consciously, solely in your mind, then you will know the formula by which you can end that experience immediately.”
"ตอนนี้ถ้าเธอรู้ว่า 'นรก' ที่เธอกำลังประสบอยู่นั้น #ถูกสร้างขึ้นโดยตัวเธอเองอย่างมีสติ #เกิดขึ้นในจิตของเธอเพียงเท่านั้น #เธอก็จะรู้สูตรที่จะยุติประสบการณ์นั้นได้ในทันที"
N : Which is?
นีล : ซึ่งก็คือ...❓
G : “You have to be out of your mind.”
พระเจ้า: "เธอต้องออกไปจากจิตนึกคิดปกติของเธอ"*
(*out of your mind แปลได้อีกอย่างว่า : "สติหลุด/จิตไม่ปกติ หรือ วิกลจริต" นะครับ 😁 ส่วน ; have to be ก็แปลได้อีกอย่างว่า : ต้องมีสภาวะ, เป็นอยู่ ดำรงอยู่ในสภาวะ ➡️ จึงแปลประโยคนี้ได้อีกอย่างว่า : #เธอต้องเข้าสู่สภาวะที่อยู่นอกเหนือจิตนึกคิดปกติ หรือ อยู่นอกเหนือเหตุและผลในเชิงตรรกะ)
N : I’m going to be when I finish this conversation!
นีล : ผมคงจะสติหลุดจริงๆ เมื่อการสนทนานี้จบลง❗
G : “Just stay with it, my friend. You are doing very well.
พระเจ้า: "อดทนหน่อยนะ เพื่อนรัก เธอกำลังทำได้ดีมาก
“People who experience heaven instead of hell are all told that they are ‘out of their mind.’ They are confronted with the same set of circumstances as everyone else, but they experience them in a different way.”
"คนที่ประสบกับสวรรค์แทนที่จะเป็นนรกมักจะถูกบอกว่าพวกเขา 'สติหลุดไปแล้ว' พวกเขาเผชิญกับสถานการณ์เดียวกันกับคนอื่นๆ แต่พวกเขาประสบกับมันในแบบที่แตกต่างออกไป"
N : Like Don Quixote.
นีล : เหมือนดอน กิโฆเต้*
*อ่านเพิ่มเติมเรื่องแบบสรุปเรื่อง ดอน กิโฆเต้ ได้ตามลิงค์ครับ
G : “Like Don Quixote. Some people, as we said before, experience life as hellish, while others experience it as heaven on earth.”
พระเจ้า : "ใช่ เหมือนดอน กิโฆเต้ อย่างที่เราพูดกันไปก่อนหน้านี้ #บางคนประสบกับชีวิตราวกับเป็นนรก #ในขณะที่คนอื่นประสบกับมันราวกับเป็นสวรรค์บนดิน"
N : Yes, well, that does depend on what is going on in their life, doesn’t it?
นีล : ก็ใช่ครับ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าอะไรที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขาไม่ใช่เหรอครับ❓
G : “And why do you think that what is ‘going on’ is going on.”
พระเจ้า : "แล้วเธอคิดว่าทำไม 'สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น' ถึงกำลังเกิดขึ้นล่ะ"
N : Because of how they are thinking.
นีล : เพราะวิธีที่พวกเขาคิด
G :“That is correct. Or, to put it another way, so that you are not likely to forget it.
พระเจ้า : "ถูกต้อง หรือพูดอีกอย่างได้ว่า #เพื่อที่เธอจะได้ไม่ลืมมัน
“What is going on in people’s lives
is what is going on in people’s lives
because of what is going on in people’s minds.”
'#สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิตผู้คน
#กำลังเกิดขึ้นในชีวิตผู้คน
#เพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในจิตใจของผู้คน'"
N : What is happening is what we think is happening, and what is going to happen is what we think is going to happen.
นีล : #สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือสิ่งที่เราคิดว่ากำลังเกิดขึ้น #และสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือสิ่งที่เราคิดว่าจะเกิดขึ้น
G : “To a large extent, that is true.”
พระเจ้า : "นั่นเป็นความจริง ในขอบเขตที่กว้าง (ครอบคลุม) มากกว่า "
N : This is where the three Tools of Creation (thought, word, and deed) and the three Levels of Experience (subconscious, conscious, and super conscious) come in.
นีล : นี่คือจุดที่เครื่องมือแห่งการสร้างสรรค์ทั้ง 3 (ความคิด คำพูด และการกระทำ) และระดับแห่งประสบการณ์ทั้งสาม (จิตใต้สำนึก จิตสำนึก และจิตเหนือสำนึก) เข้ามาเกี่ยวข้อง
G : “Right. And thought is a very powerful tool because it is used at all three levels.”
พระเจ้า : "ถูกต้อง #และความคิดเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมากเพราะมันถูกใช้ในทุกระดับ"
N : What about words. Aren’t words used at the superconscious level? Isn’t that how the superconscious communicates with us?
นีล : แล้วคำพูดล่ะครับ❓ คำพูดไม่ได้ถูกใช้ในระดับจิตเหนือสำนึกด้วยหรือ❓ นั่นไม่ใช่วิธีที่จิตเหนือสำนึกสื่อสารกับเราหรอกหรือครับ❓"
G : “No. Words are creations of the mind. When you move from the conscious mind to superconscious awareness, you will find that there are no words for it.
พระเจ้า : "ไม่ใช่ คำพูดเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยจิต* (*จิตนึกคิดปกติ) เมื่อเธอเคลื่อนจากจิตสำนึกไปสู่การรับรู้ในระดับจิตเหนือสำนึก เธอจะพบว่าไม่มีคำพูดสำหรับมัน
“If you move to this level of awareness in meditation, during sacred dance or ritual, or by some other means, you will find in that place that there are only feelings (or vibrations).
"ถ้าเธอเคลื่อนไปสู่ระดับการรับรู้นี้ในระหว่างการทำสมาธิ ระหว่างการเต้นรำอันศักดิ์สิทธิ์หรือพิธีกรรม หรือด้วยวิธีอื่นใด เธอจะพบว่าในที่นั้นมีเพียงความรู้สึก (หรือการสั่นสะเทือน)
“When most people feel something, they will immediately explore that feeling with their conscious mind and try to ‘put it into words.’ This may or may not be useful.
"เมื่อคนส่วนใหญ่รู้สึกอะไรบางอย่าง พวกเขาจะสำรวจความรู้สึกนั้นด้วยจิตสำนึกทันทีและพยายาม 'แปลงมันเป็นคำพูด' ซึ่งอาจจะมีประโยชน์หรือไม่ก็ได้
“The master does not impulsively do this. The master simply feels the feeling, allows the feeling, and experiences the feeling fully. Then the master decides whether there will be any benefit in trying to put that feeling into words.
"ผู้รู้แจ้งจะไม่ทำเช่นนั้นโดยทันที ผู้รู้แจ้งจะเพียงแค่รู้สึกถึงความรู้สึก ยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้น และประสบกับความรู้สึกนั้นอย่างเต็มที่ จากนั้นผู้รู้แจ้งจึงตัดสินใจว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ที่จะพยายามแปลงความรู้สึกนั้นเป็นคำพูด
“Feeling are your first thought, your pure thought. A feeling is a wordless thought. It conveys a great deal without ‘saying’ anything. Feelings are the language of the soul.
"#ความรู้สึกคือความคิดแรกของเธอ เป็นความคิดบริสุทธิ์ของเธอ ความรู้สึกคือความคิดที่ไร้คำพูด มันสื่อสารได้มากมายโดยไม่ต้อง 'พูด' อะไร #ความรู้สึกคือภาษาของวิญญาณ
“Words are your second thought. They are your attempt to conceptualize your feelings by translating them into audible utterances. Words are the language of the mind. Masters have a feeling and often don’t give it a second thought. This avoids all manner of life complications. It makes the path less arduous.
"#คำพูดคือความคิดที่สองของเธอ มันคือความพยายามที่จะทำความเข้าใจความรู้สึกของเธอโดยการแปลมันให้เป็นเสียงที่ได้ยิน #คำพูดคือภาษาของจิตใจ ผู้รู้แจ้งมีความรู้สึกและมักจะไม่คิดต่อเป็นครั้งที่สอง (ไม่พูด) นี่หลีกเลี่ยงความยุ่งยากซับซ้อน/สับสนยุ่งเหยิงของชีวิตได้ในทุกรูปแบบ ทำให้เส้นทาง (ชีวิต) ไม่ยากลำบากนัก
“Actions are your third thought, and are often an afterthought. They are your attempt to physicalize what you have conceptualized. Actions are the language of the body.
"#การกระทำคือความคิดที่สามของเธอ และมักเป็นความคิดภายหลัง มันคือความพยายามที่จะทำให้สิ่งที่เธอเข้าใจกลายเป็นรูปธรรม #การกระทำคือภาษาของร่างกาย
“By the time you put feelings into words and words into action, you may have lost a lot in the translations. The master knows this, which is why the master is very careful and moves with great deliberation from one level of experience to another--if he moves to another level at all.”
"เมื่อเธอแปลงความรู้สึกเป็นคำพูดและแปลงคำพูดเป็นการกระทำ เธออาจสูญเสียความหมายมากมายในระหว่างการแปล ผู้รู้แจ้งตระหนักถึงเรื่องนี้ นั่นคือเหตุผลที่ผู้รู้แจ้งระมัดระวังมากและเคลื่อนจากระดับประสบการณ์หนึ่งไปสู่อีกระดับหนึ่งด้วยความตั้งใจอย่างมาก—ถ้าเขาจะเคลื่อนไปสู่อีกระดับเลย"*
(*ระดับแห่งประสบการณ์ทั้งสาม — จิตใต้สำนึก จิตสำนึก และจิตเหนือสำนึก)
 
 
➖➖➖ จบบทที่ 2️⃣6️⃣ ➖➖➖

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา