31 ธ.ค. 2024 เวลา 03:00 • หนังสือ

#40 HWG : บทที่ 2️⃣7️⃣ (ตอนที่ 1) :

เธออยู่ในการกระทำแห่งการสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องทั้งในชีวิตและความตาย ซึ่งนี่ก็คือ : วิชาเล่นแร่แปรธาตุของจักรวาล
▪️ผู้แปล : อุดม (แอดมิน)
✴️ เพื่ออรรถรสในการอ่านแนะนำให้โหลด 'ไฟล์ภาพ' ไปอ่านครับ :
THE FOURTEENTH REMEMBRANCE
บทแห่งการระลึกที่ 1️⃣4️⃣
Most human beings are focused most of the time On things that do not really matter.
มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่สำคัญจริงๆ (กับสิ่งไร้สาระ) เป็นส่วนมาก
Chapter 2️⃣7️⃣
Neale: Speaking of the Tools of Creation, you have made a real point here of letting us know that death is a moment of creation.
นีล : พูดถึงเครื่องมือแห่งการสร้างสรรค์ พระองค์ได้เน้นย้ำให้เราเห็นว่า #ความตายคือช่วงเวลาแห่งการสร้างสรรค์
God: “Because it is, and very few people think of it this way.”
พระเจ้า: "เพราะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ และมีคนน้อยมากๆที่คิดถึงมันในแง่นี้"
N : If more people did, there might be might be a lot less sadness surrounding death.
นีล : ถ้าผู้คนส่วนใหญ่คิดเช่นนี้ อาจจะมีความเศร้าโศกรอบๆความตายน้อยลงมาก
G :“There would be no sadness at all. Not for the person departing. There would be celebration.
พระเจ้า : "จะไม่มีความเศร้าโศกเลยต่างหาก ไม่ใช่สำหรับผู้ที่จากไป จะมีแต่การเฉลิมฉลอง
“Death is a time when people become very powerful, because who they are is magnified through the process of death itself."
"ความตายคือเวลาที่ผู้คนกลายเป็นผู้ที่ทรงพลังมาก เพราะตัวตนของพวกเขาถูกขยายผ่านกระบวนการของความตายนั่นเอง"
N : And that process is, again?
นีล : และกระบวนการนั้นคืออะไร จะอธิบายซ้ำอีกครั้งใช่ไหมครับ❓
G : “’Death’ is the energy that propels you through the Core of Your Being and into your next reality.
พระเจ้า : "'ความตาย' คือพลังงานที่ขับเคลื่อนเธอผ่านแก่นแท้ (แกนกลาง) แห่งตัวตนของเธอเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงถัดไปของเธอ
“We’re going to get back into this business of ‘energy alignment’ here that we explored before.
"เราจะกลับมาพูดถึงเรื่อง 'การจัดเรียงพลังงาน' ที่เราได้สำรวจกันไปก่อนหน้านี้
“Birth’ and ‘death’ are moments of Pure Creation because they align or ‘fine-tune’ the energy that is Life itself, increasing the vibration of it’s frequency and manifesting as matter in the physical world, or decreasing the vibration and manifesting as invisible energy in the spiritual realm.
"'การเกิด' และ 'ความตาย' #เป็นช่วงเวลาแห่งการสร้างสรรค์บริสุทธิ์ เพราะมันจัดเรียงหรือ '#ปรับแต่ง' #พลังงานที่เป็นตัวชีวิตเองนั้น* โดยเพิ่มการสั่นสะเทือนของความถี่และแสดงออก (ปรากฏขึ้น) เป็นสสารในโลกทางกายภาพ หรือลดการสั่นสะเทือนและแสดงออกเป็นพลังงานที่มองไม่เห็นในอาณาจักรทางจิตวิญญาณ
“It is in this way that entire universes are born. It is in this way that you were born.
"จักรวาลทั้งหมดถือกำเนิดขึ้นด้วยวิธีนี้เอง เธอเองก็ถือกำเนิดขึ้นด้วยวิธีนี้เช่นกัน
“And—now here is the secret—the energy with which you enter birth is ‘what matters.’ That is, it is what changes into matter, manifesting in the physical world.
"และ—นี่คือความลับ—#พลังงานที่เธอนำเข้าสู่การเกิด คือ '#สิ่งที่สำคัญ' * นั่นคือ มันคือ #สิ่งที่ถูกเปลี่ยนเป็นสสารและแสดงออกในโลกทางกายภาพ
(*ตรงนี้คือการเล่นคำด้วยนะครับ — what matters แปลได้ว่า : สิ่งที่สำคัญ หรือจะแปลว่า สสารอะไร ก็ได้)
“The exact opposite occurs at the moment of death. Thus, you create with death by what you bring into death from the physical world and you create with birth by what you bring into birth from the spiritual realm."
"สิ่งที่ตรงกันข้ามแบบเดียวกันเป๊ะก็เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาแห่งความตายเช่นกัน ดังนั้น เธอสร้างสรรค์ด้วยความตายโดยสิ่งที่เธอนำเข้าสู่ความตายจากโลกทางกายภาพ* และเธอสร้างสรรค์ด้วยการเกิดโดยสิ่งที่เธอนำเข้าสู่การเกิดจากอาณาจักรทางจิตวิญญาณ**"
(*นำประสบการณ์ชีวิตที่ได้จากโลกทางกายภาพเข้าสู่ความตาย
**นำการรู้ที่ได้จากอาณาจักรทางจิตวิญญาณเข้าสู่การเกิด)
N : Again, I’ve never had it explained to me like that. So many things are being made clear here.
นีล : เป็นอีกครั้ง ที่ผมไม่เคยได้ยินใครอธิบายให้ฟังแบบนี้มาก่อน หลายสิ่งหลายอย่างกำลังชัดเจนขึ้นตรงนี้
G : “Good, because this is critical. What you bring into the experience of your death will be brought in either consciously or unconsciously, either with full awareness or with a complete lack of awareness of what you are doing.
พระเจ้า : "ดีมาก เพราะนี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก* (*นี่คือสิ่งชี้ขาดในชีวิตของเราได้เลย) สิ่งที่เธอนำเข้าสู่ประสบการณ์แห่งความตายของเธอจะถูกนำเข้ามาอย่างมีสติรู้สึกตัว หรือ อย่างขาดสติก็ได้ ด้วยความตระหนักรู้อย่างเต็มที่ หรือ ด้วยการขาดความตระหนักรู้โดยสิ้นเชิงในสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ก็ได้* (*ไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้เลย)
“That is why the conversation we are now having is so important.
"นั่นคือเหตุผลที่การสนทนาที่เรากำลังมีอยู่นี้จึงสำคัญมาก
“The purpose of this conversation is to make you fully aware of what you are doing.
"จุดประสงค์ของการสนทนานี้คือ #การทำให้พวกเธอตระหนักรู้อย่างเต็มที่ถึงสิ่งที่พวกเธอกำลังทำอยู่
You brought your Self to this conversation so that you could remind your Self of this :
พวกเธอได้นำพาตัวตนของเธอมาสู่การสนทนานี้เพื่อที่เธอจะได้เตือนตัวเองถึงสิ่งนี้ :
“You are creating your reality by the vibration, by the energy, that you send out.
"#เธอกำลังสร้างความเป็นจริงของเธอเองด้วยการสั่นสะเทือน #ด้วยพลังงานที่เธอส่งออกไป
"NOW YOU CAN SAY THAT YOU’VE HEARD ALL OF THIS BEFORE—BUT YOU ARE NOT ACTING LIKE IT.
"ตอนนี้เธออาจจะบอกว่าเธอเคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาหมดแล้ว—#แต่เธอก็ไม่ได้ทำตัวเหมือนกับว่าตัวเธอรู้แล้ว_เข้าใจแล้ว
"THAT IS WHY YOU KEEP TELLING YOUR SELF THIS OVER AND OVER.”
"#นั่นคือเหตุผลที่เธอจึงต้องคอยบอกตัวเอง_เตือนตัวเองถึงเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า*"
 
(*ในอีกแง่หนึ่ง พระเจ้าถึงต้องย้ำถึงเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้พวกเราได้ยิน หรือ ได้อ่าน)
N : What would it ‘look like’ if I were ‘acting like it’?
นีล : มันจะ 'เป็นอย่างไร' ครับ ถ้าผม 'ทำตัวเหมือนกับว่าผมรู้แล้ว-เข้าใจแล้ว'❓
If I really understood this and didn't need to have this conversation circle back, again and again, over what I 'think' I already know, what would that look like?
ถ้าผมเข้าใจเรื่องนี้จริงๆ และไม่จำเป็นต้องมีการสนทนาวนกลับมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่า เกี่ยวกับสิ่งที่ผม 'คิดว่า' ผมรู้อยู่แล้ว มันจะเป็นอย่างไรครับ❓
G : “First, you would never entertain negative thoughts in your mind again.
พระเจ้า : 📍"1️⃣ : เธอจะไม่มีวันปล่อยให้ความคิดในแง่ลบอยู่ในจิตใจของเธออีกเลย*
(*คิดถึงมันซ้ำแล้วซ้ำอีก วนเวียนคิดถึงแต่มันอย่างไม่จบไม่สิ้น )
“Second, if a negative thought did happen to slip in, you would get it out of your mind immediately. You would think of something else, deliberately. You would simply change your mind about that.
📍"2️⃣ : ถ้าความคิดในแง่ลบแอบเล็ดลอดเข้ามา เธอจะขจัดมันออกจากจิตใจในทันที เธอจะคิดถึงสิ่งอื่นแทน โดยเจตนา เธอจะแค่เปลี่ยนความคิดของเธอเกี่ยวกับเรื่องนั้นไปอย่างง่ายๆ*
(*ความคิดในแง่ลบยึดเอาความสนใจของเราให้จดจ่ออยู่กับมันเอาไว้ไม่ได้)
“Third, you would begin to not only understand Who You Really Are, but to honor and demonstrate that. That is, you would move from what you Know to what you Experience as the measure of your own evolution.
📍"3️⃣ : เธอจะเริ่มไม่เพียงแค่เข้าใจว่าตัวตนที่แท้จริงของเธอคือใคร แต่จะให้เกียรติ (ตระหนักว่านี่คือสิ่งที่มีคุณค่ามาก) และแสดงออกถึงสิ่งนั้นด้วย นั่นคือ เธอจะก้าวจากสิ่งที่เธอรู้ไปสู่สิ่งที่เธอประสบเป็นดั่งเครื่องวัดการพัฒนา (การวิวัฒน์ทางจิตวิญญาณ) ของตัวเธอเอง
“Fourth, you would love yourself fully, just as you are.
📍"4️⃣ : เธอจะรักตัวเองอย่างเต็มที่ ในแบบที่เธอเป็น
“Fifth, you would love everyone else fully, just as they are.
📍"5️⃣ : เธอจะรักทุกคนอย่างเต็มที่ ในแบบที่พวกเขาเป็น
“Sixth, you would love life fully, just as it is.
📍"6️⃣ : เธอจะรักชีวิตอย่างเต็มที่ ในแบบที่มันเป็น
“Seventh, you would forgive everyone everything.
📍"7️⃣ : เธอจะให้อภัยทุกคนในทุกสิ่ง
“Eighth, you would never deliberately hurt another human being again—emotionally or physically. Least of all would you ever do this in the name of God.
📍"8️⃣ : เธอจะไม่มีวันตั้งใจ (มีเจตนา) ทำร้ายมนุษย์คนอื่นอีก—ไม่ว่าจะทางอารมณ์หรือทางร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง #เธอจะไม่มีวันทำสิ่งนี้ในนามของพระเจ้า
“Ninth, you would never mourn the death of another again, not even for a moment. You might mourn your loss, but not their death.
📍"9️⃣ : เธอจะไม่มีวันเศร้าโศกกับความตายของผู้อื่นอีก แม้แต่ชั่วขณะเดียว เธออาจจะเศร้าโศกกับการสูญเสียของเธอ แต่ไม่ใช่กับความตายของพวกเขา
“Tenth, you would never fear or mourn your own death, not even for a moment.
 
📍"🔟 : เธอจะไม่มีวันกลัวหรือเศร้าโศกกับความตายของตัวเองเลย แม้แต่ชั่วขณะเดียว
“Eleventh, you would be aware that everything is vibration. Everything. And so you would pay much more attention to the vibration of everything that you eat, of everything that you wear, of everything that you watch, read, or listen to, and most important, of everything that you think, say, and do.
📍"1️⃣1️⃣ : เธอจะตระหนักว่าทุกสิ่งคือการสั่นสะเทือน ทุกทุกสิ่ง ดังนั้นเธอจะให้ความสนใจมากขึ้นกับการสั่นสะเทือนของทุกสิ่งที่เธอกิน ของทุกสิ่งที่เธอสวมใส่ ของทุกสิ่งที่เธอดู อ่าน หรือฟัง และ #ที่สำคัญที่สุด #ของทุกสิ่งที่เธอคิด_พูด_และทำ
“Twelfth, you would do whatever it takes to adjust the vibration of your own energy and the life energy that you are creating around you if you find that it is not in resonance with the highest knowing you have about Who You Are, and the greatest experience of this that you can possibly imagine.”
📍"1️⃣2️⃣ : เธอจะทำทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อปรับการสั่นสะเทือนของพลังงานของตัวเธอเองและพลังงานชีวิตที่เธอกำลังสร้างรอบตัวเธอ ถ้าเธอพบว่ามันไม่สอดคล้องกับความรู้สูงสุดที่เธอมีเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเธอ และประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสิ่งนี้เท่าที่เธอสามารถจินตนาการได้"
N : Excuse me, but how does all that happen? For instance, how can I become ‘cognizant’ of the 'vibration’ of a piece of clothing or a meal listed on a menu, to say nothing of something that I’m thinking, saying, or doing?
นีล : ขอโทษนะครับ แต่ทั้งหมดนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร❓ ยกตัวอย่างเช่น ผมจะ 'รับรู้' 'การสั่นสะเทือน' ของเสื้อผ้าชิ้นหนึ่งหรืออาหารที่อยู่ในเมนูได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่ผมกำลังคิด พูด หรือทำ❓
G : “It’s really quite simple. Tune in to how you feel.”
พระเจ้า : "มันง่ายมากจริงๆ ลองรับรู้ถึงความรู้สึกของเธอดูสิ"
N : Now I can just see someone saying, ‘Boy, what a piece of new age jargon—get in touch with your feelings.’
นีล : ตอนนี้ผมเห็นภาพคนพูดว่า 'โอ้โห นี่มันศัพท์แสงยุคใหม่ชัดๆ —เข้าถึงความรู้สึกของคุณสิ'
G : “Those who see it as jargon will experience it as jargon. Those who see it as wisdom will open the door to a whole new world."
พระเจ้า : "คนที่มองว่ามันเป็นแค่ศัพท์แสง ก็จะประสบกับมันว่าเป็นศัพท์แสง ส่วนคนที่มองว่ามันเป็นปัญญาญาณ ก็จะเปิดประตูสู่โลกใหม่ทั้งใบ"
N : Any suggestions on how to do that?
นีล : มีคำแนะนำไหมครับว่าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร❓
G : “It is just a matter of focus. Most human beings are focused most of the time on things that do not really matter. Yet if they were to take a few moments each day to focus on what does, they could change their whole lives.
พระเจ้า : "มันเป็นเพียงแค่เรื่องของการจดจ่อเท่านั้นเอง มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะจดจ่อหรือให้ความสนใจกับสิ่งที่ไม่สำคัญจริงๆเป็นส่วนมาก #แต่ถ้าพวกเขาใช้เวลาสักครู่ในแต่ละวันเพื่อจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ #พวกเขาสามารถเปลี่ยนชีวิตทั้งหมดของตัวเองได้เลย
“Your body is a magnificent instrument of highly sensitive energy receptors. Believe it or not, you can run your hand six inches over the food in a buffet line and, without touching it, feel whether it is of benefit to you to eat that right now.
"#ร่างกายของเธอเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมที่มีตัวรับพลังงานที่ไวมาก จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม เธอสามารถเอามือวางห่างจากอาหารในแถวบุฟเฟต์หกนิ้วและ โดยที่ไม่ต้องแตะต้อง ก็สามารถรู้สึกได้ว่าอาหารนั้นเป็นประโยชน์ต่อเธอที่จะกินในตอนนี้หรือไม่*
(*😲)
“You can do the same thing with clothing that you are picking out of a closet to wear for the day, or that you are thinking of buying in a store.
"เธอสามารถทำแบบเดียวกันกับเสื้อผ้าที่เธอกำลังเลือกจากตู้เสื้อผ้าเพื่อใส่ในวันนั้น หรือที่เธอกำลังคิดจะซื้อจากร้าน
“When you are with another person, if you will stop listening to what you are thinking and begin listening to what you are feeling, the quality of your communication with that person will skyrocket—as will the quality of the relationship itself.
"เมื่อเธออยู่กับคนอื่น ถ้าเธอหยุดฟังสิ่งที่เธอกำลังคิด (จอจ่อหรือมัวแต่สนใจสิ่งที่ตัวเองกำลังคิด) และ (ย้ายความสนใจไป) เริ่มฟังสิ่งที่เธอกำลังรู้สึก คุณภาพการสื่อสารของเธอกับคนๆ นั้นจะพุ่งทะยานขึ้น—#เช่นเดียวกับคุณภาพของตัวความสัมพันธ์นั้นเอง
“When you are confused and perplexed and looking for answers from the universe, if you will just turn off the part of you that desperately wants to figure things out and turn on the part of you that knows it has access to every answer —if you will stop trying to decide what to do and start choosing what you wish to be— you will find dilemmas dissolving and solutions appearing magically right in front of your face.
"เมื่อเธอสับสนและกังวลและกำลังมองหาคำตอบจากจักรวาล ถ้าเธอเพียงแค่ปิดส่วนของเธอที่อยากจะหาคำตอบอย่างสิ้นหวัง* (*mind-จิตนึกคิด) และเปิดส่วนของเธอที่รู้ว่ามันสามารถเข้าถึงคำตอบทุกอย่างได้* (*heart-หัวใจ) —ถ้าเธอหยุดพยายามตัดสินใจว่าจะ 'ทำอะไร' และเริ่มเลือกว่าเธอปรารถนาที่จะ #เป็นอะไร— เธอจะพบว่าปัญหา*ต่างๆจางหายไปและทางออกได้ปรากฏขึ้นอย่างมหัศจรรย์ตรงหน้าเธอ
(*เราคิดว่ามันเป็นปัญหามันก็เลยเป็นปัญหา)
“As for measuring the vibes of thoughts or words, there are very few people, actually, who cannot tell you whether they are feeling light or heavy about thinking or saying something.
Most people can assess these pretty quickly."
"สำหรับการวัดความสั่นสะเทือนของความคิดหรือคำพูด จริงๆ แล้วมีคนน้อยมากที่ไม่สามารถบอกเธอได้ว่า #พวกเขารู้สึกเบาหรือหนักเกี่ยวกับการคิดหรือพูดบางสิ่ง คนส่วนใหญ่สามารถประเมินสิ่งเหล่านี้ได้ค่อนข้างเร็ว"
N : Yes, but—and here is where the screw turns—very few people ever do. At least, that’s my observation. Gosh knows, I certainly don’t nearly enough.
นีล : ก็ใช่ครับ แต่ว่า—และนี่คือจุดที่ผิดจากที่คิดเอาไว้จากหน้ามือเป็นหลังมือ — มีคนน้อยมากที่ทำแบบนั้นจริงๆ อย่างน้อยก็จากที่ผมสังเกต พระองค์ก็คงรู้ดี ผมเองก็แทบไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นเลย
G : “Then you may wish to start.
พระเจ้า: "งั้นเธอก็ควรจะต้องเริ่มต้นทำแบบนั้นได้แล้ว
“Because you are right, very few people use their intuitive and psychic abilities to go deep within themselves and get in touch with their feelings before they think or say or do something. Very few people even do it afterward.
"เพราะเธอพูดถูก มีคนน้อยมากที่ใช้ความสามารถในการหยั่งรู้* (*ญาณ) และพลังจิตของตน #เพื่อดิ่งลึกเข้าไปในตัวเองและเข้าถึงความรู้สึก "ก่อน" ที่จะคิด พูด หรือทำอะไร* มีคนน้อยมากอีกเช่นกันที่จะทำแม้กระทั่งหลังจากนั้น**
(*จิตรู้ก่อนเลยว่าความคิดคำพูดและการกระทำมันโผล่มาจากไหน หรือก่อนที่มันจะโผล่ออกมา หรือปรากฏขึ้นมา รับรู้หรือเห็น (ด้วยจิต) ได้อย่างชัดเจนว่าจากความไม่มีกลายเป็นมีขึ้นมา
**การมีสติสัมปชัญญะถึงสิ่งที่ตนได้คิด พูด ทำไปแล้ว ตระหนักรู้ว่าว่าเมื่อกี้นี้ตนได้ทำอะไรไป — การมีสติ จริงๆแล้วมันก็คือ 'การรับรู้ตามหลังสิ่งที่เกิดขึ้น' เพราะมันต้องมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นก่อนเราถึงจะรับรู้มันได้ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นสิ่งที่จิตเรารับรู้มันก็คือความว่างนั่นเอง ไม่ได้หมายความว่ามันไม่รับรู้อะไรนะครับ แต่มันรับรู้อีกอย่าง นั่นก็คือความว่างอย่างที่ได้กล่าวไป)
If you did this you would allow yourself to be satisfied with nothing less than lightness. You would have nothing to do with anything that has heavy vibes. You would seek to lighten the vibration of everything that you observe, create, experience, and express. You would call this ‘enlightenment.’ and you would see amazing results in a very short period of time.
ถ้าเธอทำแบบนี้ เธอจะยอมให้ตัวเองพอใจกับสิ่งที่ไม่น้อยไปกว่าความโปร่งโล่งเบาสบาย* (*ของจิตใจ) เธอจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งใดที่มีความสั่นสะเทือนหนักๆ (รุนแรง) เธอจะพยายามทำให้การสั่นสะเทือนของทุกสิ่งที่เธอสังเกต สร้าง ประสบ และแสดงออก 'เบาขึ้น' เธอจะเรียกสิ่งนี้ว่า '#การรู้แจ้ง' และเธอจะเห็นผลลัพธ์ที่น่าทึ่งได้ในเวลาอันสั้น
“The alchemy of the universe is really quite extraordinary. Your dictionaries define ‘alchemy’ as ‘an inexplicable or mysterious transmuting,’ and it is just that, being the process by which energy and matter are manipulated to create specific and particular manifestations in both individual and collective reality.
"#วิชาเล่นแร่แปรธาตุของจักรวาล นั้นพิเศษมากจริงๆ พจนานุกรมของเธอนิยาม 'วิชาเล่นแร่แปรธาตุ' ว่าเป็น 'การเปลี่ยนแปลงที่อธิบายไม่ได้หรือลึกลับ' และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ #มันเป็นกระบวนการที่พลังงานและสสารถูกจัดการ #เพื่อสร้างการแสดงออกที่เฉพาะเจาะจงทั้งในความเป็นจริงส่วนบุคคลและส่วนรวม
“And that brings us to…
"และนั่นได้นำเรามาถึง...
THE FOURTEENTH REMEMBRANCE
บทแห่งการระลึกที่ 1️⃣4️⃣
You are continually in the act of creation, in life and in death.
#เธออยู่ในการกระทำแห่งการสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง #ทั้งในชีวิตและความตาย
“I have explained to you many times now how creation occurs. What it would be beneficial for you to understand is that it occurs continuously. That is, it never stops. Every thought, word, and deed is creative.
Every vibration released from the Core of Your Being recreates you, and your entire reality, anew. And you are being changed in every single moment. Your future is produced in tiny increments, not in one fell swoop or with one major decision. It is the increments to which you must pay attention. Then the ‘major moments’ and ‘monumental decisions’ will take care of themselves.
"ฉันได้อธิบายให้เธอฟังหลายครั้งแล้วว่าการสร้างสรรค์เกิดขึ้นอย่างไร สิ่งที่จะเป็นประโยชน์สำหรับเธอที่จะเข้าใจคือ #มันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นคือ มันไม่เคยหยุด ทุกความคิด คำพูด และการกระทำล้วนสร้างสรรค์
ทุกการสั่นสะเทือนที่ปล่อยออกมาจากแก่นแท้แห่งตัวตนของเธอได้สร้างตัวเธอ และความเป็นจริงทั้งหมดของเธอขึ้นมาใหม่ #และเธอกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทุกๆขณะ* อนาคตของเธอถูกสร้างขึ้นทีละน้อย ไม่ใช่ในคราวเดียวหรือด้วยการตัดสินใจครั้งใหญ่ครั้งเดียว มันคือสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เธอต้องให้ความสนใจ** แล้ว 'ช่วงเวลาสำคัญ' และ 'การตัดสินใจครั้งใหญ่' ก็จะจัดการตัวมันเอง
(*ตัวเราและความจริงของเราเปลี่ยนแปลงไปในทุกๆขณะ ซึ่งนั่นก็คือเราเป็นคนใหม่ในทุกๆวินาทีที่ผ่านไป ตัวเราในตอนนี้กับตัวเราเมื่อกี้นี้เป็นคนละคนกันแล้วหรือไม่ใช่คนเดิมแล้ว นั่นเอง 😁
**คือจงมีสติรู้สึกตัวอยู่ในทุกๆห้วงขณะ)
“Death and birth are the biggest acts of creation because these are the moments in the Eternal life Cycle when Essential Energy transmutes itself to produce specific manifestations in the spiritual realm (at death) or in the physical realm (at birth)."
"ความตายและการเกิดเป็นการกระทำแห่งการสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะนี่คือช่วงเวลาในวัฏจักรชีวิตนิรันดร์ที่เมื่อพลังงานแก่นแท้แปรเปลี่ยนตัวมันเองเพื่อสร้างการแสดงออกที่เฉพาะเจาะจงในอาณาจักรทางจิตวิญญาณ (ที่ความตาย) หรือในอาณาจักรทางกายภาพ (ที่การเกิด)"
➖➖➖(((มีต่อ)))➖➖➖

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา