2 ม.ค. เวลา 07:25 • หนังสือ

#41 HWG : บทที่ 2️⃣7️⃣ (ตอนที่ 2) :

สิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างการผ่านประตูเข้าสู่แก่นแท้แห่งตัวตนของเรา
▪️ผู้แปล : อุดม (แอดมิน)
✴️ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านแนะนำให้โหลด 'ไฟล์ภาพ' ไปอ่านครับ :
Neale : This is really getting to be an amazing discussion. First we got into perception theory and quantum physics, then super string theory and metaphorical metaphysical cosmology, and now we’re into alchemy. Whew.
นีล : นี่กำลังกลายเป็นการสนทนาที่น่าทึ่งจริงๆ แล้ว ตอนแรกเราคุยกันเรื่องทฤษฎีแห่งการรับรู้ (การสังเกตเห็น) และฟิสิกส์ควอนตัม จากนั้นก็เรื่องทฤษฎีซุปเปอร์สตริงและจักรวาลวิทยาเชิงอุปมา และตอนนี้เราก็มาถึงเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุ โอ้โห
But you indicated that before this conversation ended you would be talking to me in much more depth about the moment of merging, or reuniting, with the Essence. Is it okay if I ask about that now?
แต่พระองค์บอกว่าก่อนการสนทนานี้จะจบลง พระองค์จะพูดกับผมในเชิงลึกมากขึ้นเกี่ยวกับช่วงเวลาแห่งการผสานรวม หรือการกลับมารวมกับแก่นแท้ ผมขอถามเรื่องนั้นตอนนี้เลยได้ไหมครับ❓
G : “Of course it is. But I must tell you again that plain words are going to fall short as we try to describe the indescribable. Perhaps it would help if we created another picture within the picture now in your mind…”
พระเจ้า : "แน่นอน แต่ฉันต้องบอกเธออีกครั้งว่าคำพูดธรรมดาๆจะไม่เพียงพอเมื่อเราพยายามอธิบายสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ บางทีอาจจะช่วยได้ถ้าเราสร้างภาพอีกภาพหนึ่งขึ้นมาในความคิดของเธอ..."
N : Again with the pictures.
นีล : ภาพอีกล่ะ
G : “Yes, well, as you said, a picture is worth a thousand words.
พระเจ้า : "ใช่ อย่างที่เธอพูดไว้ ภาพหนึ่งภาพมีค่าเท่ากับคำพูดนับพัน
“Now we have already established that at the center of the Applorange is the Core, yes?”
"ตอนนี้เราได้กำหนดไว้แล้วว่าที่ศูนย์กลางของ แอปเปิ้ลส้ม คือแก่นแท้หรือแกนกลางของเรา ใช่ไหม❓"
N : Yes. I get that.
นีล : ใช่ครับ ผมเข้าใจเรื่องนั้นแล้วครับ
G : “Good. Now see if you can picture this Core as a room or a chamber of some kind. Give it a shape and a color if that helps.”
พระเจ้า : "ดี ตอนนี้ลองดูว่าเธอจะจินตนาการว่าแกนกลางนี้เป็นห้องหรือห้องโถงแบบไหนได้บ้าง ให้มันมีรูปร่างและสีถ้ามันช่วยได้"
N : Okay. I’ve made it a shiny metallic, golden bronze cylindrical container.
นีล : ตกลงครับ ผมจินตนาการให้มันเป็นทรงกระบอกโลหะอันเงางามสีทองบรอนซ์
G : “Great. Make it any shape or color that you wish. Now picture a sign on the door leading into this chamber. The sign reads ‘DEATH.’ And let us imagine that there is a second door leading into this chamber from its far side. This one is marked ‘BIRTH.’
พระเจ้า : "เยี่ยมมาก ทำให้มันเป็นรูปร่างหรือสีอะไรก็ได้ตามที่เธอต้องการ ตอนนี้ลองจินตนาการถึงป้ายบนประตูที่นำเข้าไปสู่ห้องโถงนี้ ป้ายนี้เขียนว่า 'ความตาย' และให้เราจินตนาการว่ามีประตูที่สองที่นำเข้าไปสู่ห้องโถงนี้จากอีกด้านหนึ่ง ซึ่งประตูนี้มีป้ายเขียนว่า 'การเกิด'
“Do you have this pictured?”
"เธอจินตนาการภาพนี้ออกไหม❓"
N : Yes.
นีล : ออกครับ
G : “Okay. Now, the inside of the door marked ‘DEATH’—the side that you would see behind you once you moved through the door--is marked ‘PHYSICAL WORLD.’"
พระเจ้า : "ดี ตอนนี้ ด้านในของประตูที่มีป้าย 'ความตาย' —ด้านที่เธอจะเห็นอยู่ข้างหลังหลังจากที่เธอเดินผ่านประตูเข้าไป —มีป้ายเขียนว่า 'โลกทางกายภาพ'"
N : That’s where I’ve just come from.
นีล : นั่นคือที่ที่ผมเพิ่งมาจาก
G : “Exactly. And on the inside of the door across the room is a sign saying ‘SPIRITUAL REALM.’
พระเจ้า : "ใช่แล้ว และที่ด้านในของประตูอีกฝั่งหนึ่งของห้องมีป้ายเขียนว่า 'อาณาจักรทางจิตวิญญาณ'
“Do you have it? Do you have this pictured?”
"เธอเห็นภาพไหม❓ เธอจินตนาการออกไหม❓"
N : I do, yes.
นีล : ออกครับ ใช่
G : “Repeat it to me.”
พระเจ้า : "ลองพูดทวนให้ฉันฟังหน่อย"
N : You don’t believe me?
นีล : พระองค์ไม่เชื่อผมเหรอ❓
G : “Just to make sure.”
พระเจ้า : "แค่อยากให้แน่ใจ"
N : Okay…we are imagining that the chamber at the core of the Applorange has two doors, one on each side. The outside of the doors are marked Death and Birth. The inside of these same doors are marked Physical World and Spiritual Realm. Both doors lead inward to the same chamber, the same experience—and both doors lead outward to entirely different experiences.
นีล : ได้ครับ... เรากำลังจินตนาการว่าห้องโถงที่แก่นของ 'แอปเปิ้ลส้ม' มีประตูสองบาน อยู่คนละด้าน ด้านนอกของประตูมีป้ายเขียนว่า 'ความตาย' และ 'การเกิด' ด้านในของประตูเหล่านี้มีป้ายเขียนว่า 'โลกทางกายภาพ' และ อาณาจักรทางจิตวิญญาณ ประตูทั้งสองนำเข้าไปสู่ห้องโถงเดียวกัน ประสบการณ์เดียวกัน —และประตูทั้งสองก็นำออกไปสู่ประสบการณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
G : “You have it exactly.
พระเจ้า : "เธอเข้าใจถูกต้องแล้ว
“Thus, you realize when you are in the chamber that you may move to either door and, opening it, will find life in one form or another. There are two ways out of the Core. One door leads to physical life, one door leads to spiritual life.”
"ดังนั้น เธอจะตระหนักได้ว่าเมื่อเธออยู่ในห้องโถง เธอสามารถเคลื่อนที่ไปที่ประตูใดก็ได้ และเมื่อเปิดมัน เธอจะพบชีวิตในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง มีทางออกสองทางจากแก่นกลาง ประตูหนึ่งนำไปสู่ชีวิตทางกายภาพ อีกประตูหนึ่งนำไปสู่ชีวิตทางจิตวิญญาณ"
N : I’ve got it. I see it.
นีล : เห็นภาพเลย ผมเข้าใจแล้วครับ
G : “Okay, one final detail and the metaphor will be complete.”
พระเจ้า : "ดี อีกรายละเอียดสุดท้ายและการเปรียบเทียบจะสมบูรณ์"
N : I’m with you. Go ahead.
นีล : ผมตามทัน เชิญต่อได้เลยครับ
G : “Remember that previously in our analogy you were moving down a long corridor, or tunnel. We called this the Corridor of Time.”
พระเจ้า : "จำได้ไหมว่าก่อนหน้านี้ในการเปรียบเทียบของเรา เธอกำลังเคลื่อนที่ไปตามระเบียงทางยาว หรือ อุโมงค์ ที่เราเรียกมันว่า ระเบียงแห่งกาลเวลา"
N : Yes.
นีล : จำได้ครับ
G : “There was a mural surrounding you along the walls, floor, and ceiling, remember? This mural stretches all along the corridor.”
พระเจ้า : "มีภาพจิตรกรรมฝาผนังล้อมรอบเธอไปตามผนัง พื้น และเพดาน จำได้ไหม❓ ภาพจิตรกรรมนี้ทอดยาวไปตลอดระเบียงทางเดิน"
N : I remember, yes. I’m painting it as I go.
นีล : ผมจำได้ครับ แล้วผมก็กำลังวาดมันขณะที่ผมเดินไปด้วย
G : “Good. Now you come to the end of the corridor to a door marked ‘DEATH.’ Let’s pick up the metaphor there.”
พระเจ้า : "ดี ตอนนี้เธอมาถึงปลายระเบียงทางเดินที่มีประตูซึ่งมีป้ายเขียนว่า 'ความตาย' มาเริ่มต้นการเปรียบเทียบจากตรงนั้นกัน"
N : Okay. What’s next? I enter the chamber?
นีล : ได้ครับ แล้วไงต่อครับ❓ ผมเข้าสู่ห้องโถงเลยใช่ไหมครับ❓
G : “Not directly. The door does not open directly into the chamber, but into a short passage that leads into the chamber. The door remains open behind you as you step into this passage.
พระเจ้า : "ไม่ใช่โดยตรง ประตูไม่ได้เปิดเข้าสู่ห้องโถงโดยตรง แต่เปิดเข้าสู่ทางเดินสั้นๆ* ที่นำไปสู่ห้องโถง ประตูยังคงเปิดอยู่ข้างหลังเธอขณะที่เธอก้าวเข้าสู่ทางเดินนี้
(*ให้คิดซะว่าประตูมันหนามากๆก็ได้ครับ ประมาณว่าเป็นประตูกำแพงเมืองที่มีความหนามาก ต้องใช้เวลาเดินสักพักกว่าจะเดินพ้นจากประตูไปได้)
“You can feel something ’happen’ to you as you move into this passage. It feels like a real ’passage,’ with the word used as verb, not as a noun. It feels as if you are making a passage, not just in a passage. You will move through all three stages of death in this passage--and it will feel as if something is passing away.
"เธอจะรู้สึกว่ามีบางอย่าง 'เกิดขึ้น' กับเธอขณะที่เธอเคลื่อนที่เข้าสู่ทางเดินนี้ มันรู้สึกเหมือนการ 'ผ่าน' จริงๆ โดยใช้คำนี้ในความหมายของคำกริยา* (*การกระทำ) ไม่ใช่คำนาม มันรู้สึกเหมือนเธอกำลังผ่านไป ไม่ใช่แค่อยู่ในทางเดิน เธอจะผ่านขั้นตอนทั้ง 3 ของความตายในทางเดินนี้ —และจะรู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจากไป
“What is passing away is your sense of yourself as a physical body. It feels as if you still ARE someone, but your ’sense of self’ does not include a sense of having a body.
"สิ่งที่กำลังจากไปคือ ความรู้สึกของตัวเธอเองในฐานะร่างกายทางกายภาพ มันรู้สึกเหมือนเธอยังคง 'เป็น' ใครบางคน แต่ 'ความรู้สึกถึงตัวตน' ของเธอไม่รวมความรู้สึกของการมีร่างกาย*
[🔸 ข้อสังเกต : ตรงนี้ 'อีโก้' หรือ 'ตัวตนปลอมๆ' หรือ ตัวตนที่เรามารับบทบาทมาเล่นในโลกทางกายภาพที่เป็นแค่เปลือกนอกเพื่อมีประสบการณ์ (อัตตาตัวตนในคำพุทธ) กำลังค่อยๆจางหายไปในระหว่างที่เรากำลังค่อยๆผ่านประตูที่ว่าไป]
“What is occurring here in the during this passage is that you are being cleansed of all physical limitation, experience, or sensation. This is the first stage of ‘death.’ when you realize that you are not your body—but that you are still very much alive.
"สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่นี่ในระหว่างการผ่านไปนี้คือเธอกำลังถูกชำระล้างจากข้อจำกัดของ ประสบการณ์ หรือ ความรู้สึกทางกายภาพทั้งมวล นี่คือ ขั้นแรกของ 'ความตาย' เมื่อเธอตระหนักได้ว่า เธอไม่ใช่ร่างกายของเธอ —เธอไม่มีร่างกายแล้วแต่เธอก็ยังคงรู้สึกว่ากำลังมีชีวิตอยู่อย่างเต็มเปี่ยม*
(*ไม่เห็นรู้สึกว่าได้ตายอะไรตรงไหนเลย ตายที่ไหนกันกำลังมีชีวิตอยู่ชัดๆ รู้สึกว่ากำลังมีชีวิตอยู่ชัดเจนกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะหลุดพ้นจากข้อจำกัดของประสาทสัมผัสทั้ง 5 ที่เป็นประสาทสัมผัสทางกายภาพไปแล้ว อะไรประมาณนั้นครับ)
“The door marked DEATH is still open behind you, and you can look back through it onto the physical world. Now you move into death’s second stage and will experience awareness or confusion or whatever you expect to experience.
During this second stage you can go back and forth through the open door to the physical world. You will not experience yourself there in any physical sense, but you will feel very much as if you are there nonetheless. Others, still living with their body, may also experience you there.
"ประตูที่มีป้าย 'ความตาย' ยังคงเปิดอยู่ข้างหลังเธอ และเธอสามารถมองย้อนกลับไป มองผ่านมันไปยังโลกทางกายภาพได้ ในตอนนี้เธอได้เคลื่อนเข้าสู่ ขั้นที่สองของความตาย และ จะประสบกับ 'การตื่นรู้' หรือ 'ความสับสน'* หรือ 'อะไรก็ตามที่เธอคาดว่าจะประสบ'**
ซึ่งในระหว่างขั้นที่สองนี้ เธอสามารถเดินกลับไปกลับมาผ่านประตูที่เปิดอยู่ไปยังโลกทางกายภาพได้ เธอจะไม่รู้สึกถึงตัวเธอเองที่นั่นในความรู้สึกทางกายภาพใดๆ แต่เธอจะยังรู้สึกเหมือนตัวเธอเองยังคงอยู่ที่นั่นได้อย่างชัดเจน คนอื่นๆที่ยังมีชีวิตอยู่พร้อมกับร่างกายของพวกเขา อาจรู้สึกถึงการมีอยู่ของเธอที่นั่นได้ด้วย
*ข้อสังเกต : คนตายที่กำลังสับสนนี้ ชาวพุทธบ้านเราอาจจะเรียกพวกเขาว่า 'สัมภเวสี' กระมัง คือพวกเขาอาจจะไม่คิดหรือไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้วเพราะได้แยกออกจากร่างกายไปอย่างกะทันหัน ก็เลยเกิดความสับสนงุนงง
ฉะนั้นการที่นักบวชที่แท้จริง ที่รู้ความจริงจริงๆ เห็นโลกหลังความตายได้จริงๆ จะส่งพลังงานที่โปร่งโล่งเบา ที่ชาวพุทธบ้านเราอาจเรียกว่าพลังบุญ หรือคลื่นความสั่นสะเทือนแห่งความรัก ที่ชาวพุทธบ้านเราอาจเรียกว่าความเมตตา ไปกระตุ้นให้วิญญาณที่กำลังสับสนนั้นตื่นขึ้นมาหรือตระหนักรู้ขึ้นมาว่าตนได้แยกออกจากร่างไปแล้วนะ สลัดกายเนื้อทิ้งไปแล้วนะ อะไรประมาณนั้นครับ
**ในแต่ละคนก็จะเจอแตกต่างกันครับตรงนี้ ใครเชื่ออะไรก็จะเจอแบบนั้น เจอนรก เจอสวรรค์ เจอเทพ เจอปีศาจ เจอยมทูต เจอครูบาอาจารย์ที่จากไปแล้ว เจอคนรักที่จากไปแล้ว เจอพระเจ้า เจอพระพุทธเจ้า อะไรก็ได้ครับตรงนี้แล้วแต่ที่จิตจะสร้างขึ้นมา)
“If you believe that nothing exists or occurs after ‘death,’ you will pass during death’s second stage into ‘nothingness,’ and experience nothing at all. I have described this before.
"ถ้าเธอเชื่อว่าไม่มีอะไรดำรงอยู่หรือเกิดขึ้นหลังจาก 'ความตาย' เธอจะผ่านในขั้นที่สองของความตายเข้าสู่ 'ความไม่มีอะไรเลย'* และไม่ประสบกับอะไรเลย ฉันได้อธิบายถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้ว
(*nothingness ตรงนี้ไม่ได้หมายความว่า 'ความว่างเปล่า' นะครับ ความว่างเปล่า มันต้องใช้คำว่า emptiness และในความว่างเปล่านั้นไม่ใช่ว่ามันไม่มีอะไรอยู่เลย มันมีพลังงานอันบริสุทธิ์อยู่ มีพลังงานแห่งความรักและแสงสว่างอยู่ มันแค่ว่างเปล่าจากอัตตาตัวตน หรือ ตัวตนปลอม หรือ อีโก้เท่านั้นเอง มันคือการกลับไปสู่การตระหนักรู้ได้ถึงตัวตนที่แท้จริง หรือ true self ของเรา ที่ซึ่งก็คือพระเจ้า หรือ the source หรือ ต้นกำเนิด ของเรานั่นเอง
nothingness (ความไม่มีอยู่) และ isness (ความมีอยู่) ที่เป็นขั้วตรงข้ามกัน ถูกโอบอุ้ม โอบล้อมเอาไว้ด้วย emptiness (ความว่าง)อีกที ซึ่งพระเจ้าก็คือทั้งหมดที่ได้กล่าวมา)
“You may remain in the second stage of death as long as it pleases you to.”
"เธออาจจะอยู่ในขั้นที่สองของความตายได้นานเท่าไหร่ก็ได้เท่าที่เธอพอใจ"
N : What would make you wish to remain at the second stage? Wouldn’t you want to go on?
Do you even know that there is a third stage of death to go to?
นีล : อะไรที่จะทำให้เราปรารถนาที่จะอยู่ในขั้นที่สองต่อไปครับ❓ เราไม่อยากไปต่อหรือ❓
แล้วเรารู้หรือไม่ว่ามีขั้นที่สามของความตายที่จะไปต่อได้❓
G : “Each experience after death stands on its own. Whether you experience the ‘hell’ of your own creation or the ‘heaven’ of your own creation, the ‘nothingness’ of your own creation, or another created reality altogether, those experience will stand alone. You will draw from them whatever remembrance there are to draw from them, and then you will move on.”
พระเจ้า : "แต่ละประสบการณ์หลังความตายนั้นเป็นเอกเทศ ไม่ว่าเธอจะประสบกับ 'นรก' ที่เธอสร้างขึ้นเอง หรือ 'สวรรค์' ที่เธอสร้างขึ้นเอง 'ความไม่มีอะไรเลย' ที่เธอสร้างขึ้นเอง หรือ ความจริงในแบบอื่นๆที่ถูกสร้างขึ้น ประสบการณ์เหล่านั้นจะคงอยู่อย่างเป็นเอกเทศ เธอจะดึงความทรงจำใดๆ ที่มีให้ดึงออกมาจากสิ่งเหล่านั้น เมื่อจำได้แล้วเธอก็จะเดินหน้าต่อไป"
N : During this second stage, do we ever return in spirit to those loved ones who are still living with their bodies?
N : ในระหว่างขั้นที่สองนี้ เราเคยกลับไปหาคนที่เรารักที่ยังมีชีวิตอยู่ในร่างกายในรูปแบบของจิตวิญญาณไหมครับ❓
G : “The soul may indeed choose to return in spirit to loved ones remaining in physicality. Often the soul visits loved ones even before it leaves the body.”
พระเจ้า : "วิญญาณอาจเลือกที่จะกลับไปหาคนที่รักที่ยังอยู่กับร่างกายในรูปแบบของจิตวิญญาณ บ่อยครั้งที่วิญญาณมาเยี่ยมคนที่รักแม้กระทั่งก่อนที่จะแยกออกจากร่างกายไปด้วยซ้ำ"
N : Yes. Maggie Berry did that. Many others have done it, too. My father did that. He came to me in a dream in a way that told me he was leaving. The next morning I received a call that he had died the night before.
นีล : ครับ แม็กกี้ เบอร์รี่ ก็ทำแบบนั้น คนอื่นๆ อีกมากมายก็ทำเช่นกัน พ่อของผมก็ทำแบบนั้น เขามาหาผมในความฝันในลักษณะที่บอกผมว่าเขากำลังจะจากไป เช้าวันรุ่งขึ้นผมได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าเขาเสียชีวิตในคืนก่อนหน้านั้น
Maggie Berry was the founder and visionary of Core Matters, a transformational leadership organization in Denver. Her close friend and partner in Core Matters at the time of her death, Tom LaRotonda, told me this astonishing story in June 2005, one year following the death of his dear friend, who he knew was terminally ill.
แม็กกี้ เบอร์รี่ เป็นผู้ก่อตั้งและผู้มีวิสัยทัศน์ของ Core Matters ซึ่งเป็นองค์กรด้านการพัฒนาภาวะผู้นำในเดนเวอร์ เพื่อนสนิทและหุ้นส่วนของเธอใน Core Matters ในช่วงที่เธอเสียชีวิต ทอม ลาโรทอนดา เล่าเรื่องราวที่น่าทึ่งนี้ให้ผมฟังในเดือนมิถุนายน 2005 หนึ่งปีหลังจากการจากไปของเพื่อนรักของเขา ซึ่งเขารู้ว่าเธอป่วยระยะสุดท้าย
🔘🔘🔘
 
'On the morning of June 23, 2004 I was in the office Maggie and I shared. I had cancelled all my appointments. I was sitting at my desk just dazed, not knowing what to do. I wasn’t sad or angry…it just felt so surreal.
"เช้าวันที่ 23 มิถุนายน 2004 ผมอยู่ในออฟฟิศที่ผมเช่าร่วมกับแม็กกี้ ผมยกเลิกนัดทุกอย่าง ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะ งงงวย ไม่รู้จะทำอะไร ผมไม่ได้เศร้าหรือโกรธ...มันแค่รู้สึกเหมือนไม่เป็นความจริง
'Maggie was in hospice and I truly wanted to be with her; but I fully understood and honored her request to not see visitors. I had my feet up on my desk and my eyes closed and began to meditate. Suddenly I heard Maggie’s voice so clearly say ‘Hi, partner’—a term we used with each other all the time. Suddenly a vision appeared in my mind and there was Maggie standing in front of me, smiling.
"แม็กกี้อยู่ในฮอสพิซ* (*โรงพยาบาลสำหรับคนใกล้จะเสียชีวิตโดยเฉพาะจากโรคมะเร็ง) และผมอยากจะไปอยู่กับเธอจริงๆ แต่ผมเข้าใจและเคารพคำขอของเธอที่ไม่อยากพบใคร ผมยกเท้าขึ้นบนโต๊ะและหลับตา เริ่มทำสมาธิ ทันใดนั้นผมได้ยินเสียงของแม็กกี้ดังชัดเจนพูดว่า 'ไง คู่หู' —คำที่เราใช้เรียกกันเป็นประจำ จู่ๆ ภาพก็ปรากฏในความคิดของผม และแม็กกี้ยืนอยู่ตรงหน้าผม กำลังยิ้ม
'I was filled with joy at seeing her. She looked completely healthy and radiant, even though I knew she had lost all her hair and her body had been ravished by the cancer. She came over and we embraced and then she took both my hands in hers and said to me. ‘Tom, it’s time for me to go. I have said good-bye to everyone but you. I wanted to save your good-bye for last.’
"ผมรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขที่ได้เห็นเธอ เธอดูแข็งแรงสมบูรณ์และเปล่งประกาย แม้ว่าผมรู้ว่าเธอผมร่วงหมดและร่างกายถูกมะเร็งทำลายไปหมดแล้ว เธอเดินมาหาและเรากอดกัน แล้วเธอจับมือทั้งสองข้างของผมและพูดว่า 'ทอม ถึงเวลาที่ฉันต้องไปแล้ว ฉันได้บอกลาทุกคนยกเว้นคุณ ฉันอยากเก็บการบอกลาคุณไว้เป็นคนสุดท้าย'
' She then took me by the hand and we walked holding hands as she thanked me for everything I had ever done for her and she told me how much she loved me…and I did the same for her.
"จากนั้นเธอจับมือผมและเราเดินจับมือกัน ขณะที่เธอขอบคุณผมสำหรับทุกสิ่งที่ผมเคยทำให้เธอ และบอกว่าเธอรักผมมากแค่ไหน...และผมก็ทำแบบเดียวกัน
'Suddenly she stopped and released my hand, even though I tried to hold on. She said to me, ‘It’s time…I have to go. I love you, partner!” and she ran off. As I opened my eyes I noticed the time on my laptop computer. It read 11:44 a.m.
"ทันใดนั้นเธอหยุดและปล่อยมือผม แม้ว่าผมพยายามจะจับไว้ เธอพูดกับผมว่า 'ถึงเวลาแล้ว...ฉันต้องไปแล้ว ฉันรักคุณนะ คู่หู!' และเธอก็วิ่งจากไป เมื่อผมลืมตาขึ้น ผมสังเกตเห็นเวลาบนคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป มันแสดงเวลา 11:44 น."
'I was unsure of what had just happened, so I walked outside to get a breath of fresh air. I had been keeping my cell phone with me, waiting for any news from Butch (Maggie’s husband), however I failed to take it with me just then. After about five minutes I returned and noticed I had a message. It was from Butch, and the call was recorded on my phone as being received at 11:45 a.m.
"ผมไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงเดินออกไปข้างนอกเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ ผมพกโทรศัพท์มือถือติดตัวตลอดเพื่อรอข่าวจากบุตช์ (สามีของแม็กกี้) แต่ตอนนั้นผมกลับลืมพกไปด้วย หลังจากประมาณห้านาทีผมกลับเข้ามาและเห็นว่ามีข้อความ เป็นข้อความจากบุตช์ และการโทรถูกบันทึกไว้ในโทรศัพท์ว่าได้รับเวลา 11:45 น.
'I called Butch and he said that he had a real strong feeling that I needed to be there at the hospice. I told Butch I would come immediately and he said to hurry, that she might not make it much longer.
"ผมโทรกลับหาบุตช์และเขาบอกว่าเขารู้สึกแรงกล้าว่าผมควรไปที่ฮอสพิซ* ผมบอกบุตช์ว่าจะรีบไปทันที และเขาบอกให้รีบหน่อย เพราะเธออาจจะอยู่ได้ไม่นานแล้ว
'When I arrived Butch greeted me and took me into the room. Maggie was still alive but incoherent. She lived about another hour before she took her last breath. It was the most sacred moment of my life. After she died, I told her family that I would go back to the office and notify people.
"เมื่อผมไปถึง บุตช์มาต้อนรับและพาผมเข้าไปในห้อง แม็กกี้ยังมีชีวิตอยู่แต่ไม่ได้สติ เธอมีชีวิตอยู่อีกประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะหายใจเฮือกสุดท้าย มันเป็นช่วงเวลาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในชีวิตผม หลังจากเธอเสียชีวิต ผมบอกครอบครัวของเธอว่าผมจะกลับไปที่ออฟฟิศเพื่อแจ้งให้คนอื่นๆ ทราบ
'I returned to my office, called the people that I needed to call, then composed and sent out an e-mail to the remainder of the wonderful community that she had started and that together we had built. After that was completed I drove down to my favorite park in Denver; a place called City Park.
I went down to one of the two lakes that are there and just sat…stunned and at a loss for words…and cried. Maggie had one message that she sent constantly to people in every situation: Live a life of joy. Life is meant to be joyous. I tried hard to get in touch with that message now. I calmed down a bit, and after about an hour I decided to head back to the office to see if I had any messages.
"ผมกลับไปที่ออฟฟิศ โทรหาคนที่ต้องแจ้ง จากนั้นก็เขียนและส่งอีเมลไปยังสมาชิกที่เหลือของชุมชนที่วิเศษที่เธอได้เริ่มต้นไว้และที่เราได้สร้างขึ้นมาด้วยกัน หลังจากทำเสร็จ ผมขับรถไปที่สวนสาธารณะที่ผมชอบในเดนเวอร์ สถานที่ที่เรียกว่าซิตี้พาร์ค
ผมไปที่ทะเลสาบหนึ่งในสองแห่งที่นั่นและนั่งอยู่ตรงนั้น...ตะลึงและพูดไม่ออก...และร้องไห้ แม็กกี้มีข้อความหนึ่งที่เธอส่งถึงผู้คนในทุกสถานการณ์อยู่เสมอ: จงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ชีวิตมีไว้เพื่อความสุข ผมพยายามอย่างหนักที่จะเข้าถึงข้อความนั้นในตอนนี้ ผมสงบลงเล็กน้อย และหลังจากประมาณหนึ่งชั่วโมง ผมตัดสินใจกลับไปที่ออฟฟิศเพื่อดูว่ามีข้อความอะไรถึงผมบ้างไหม"
'As I was driving back the traffic was extremely congested and I found myself getting more and more irritated. Already I was reverting back to fear and anger after just experiencing one of the most spiritual moments of my life.
"ขณะที่ผมขับรถกลับ การจราจรติดขัดมาก และผมรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ ผมกำลังกลับไปสู่ความกลัวและความโกรธอีกครั้ง หลังจากที่เพิ่งผ่านประสบการณ์ที่เป็นจิตวิญญาณที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
'As I sat at a traffic light, fuming. I glanced up and there was one of those giant-sized SUVs directly in front of me. I looked down and noticed the license plate. It was one of those personalized plates and the letters jumped out at me…the plate said JOYOUS.
"ขณะที่ผมนั่งรอสัญญาณไฟจราจร อารมณ์เสีย ผมเหลือบมองขึ้นไปและเห็นรถ SUV ขนาดใหญ่คันหนึ่งอยู่ตรงหน้าผม ผมมองลงไปและสังเกตเห็นป้ายทะเบียน มันเป็นป้ายทะเบียนแบบกำหนดเองและตัวอักษรดึงดูดความสนใจผม...ป้ายเขียนว่า JOYOUS (ความสุข)
'I laughed out loud.
"ผมหัวเราะออกมาเสียงดัง
'Maggie was sending me a message loud and clear. She was telling me that she was free and happy, and she was reminding me that there is only one way to live life. She was reminding me to be joyous.
"แม็กกี้กำลังส่งข้อความถึงผมอย่างชัดเจน เธอกำลังบอกผมว่าเธอเป็นอิสระและมีความสุข และเธอกำลังเตือนผมว่ามีเพียงวิธีเดียวในการใช้ชีวิต เธอกำลังเตือนให้ผมมีความสุข
'I now have a replica of that license plate hanging above my door; reminding me and everyone who sees it what Maggie’s life and her message to us was all about the joy of an inspired life.'
"ตอนนี้ผมมีป้ายทะเบียนจำลองแบบนั้นแขวนอยู่เหนือประตู เตือนผมและทุกคนที่เห็นมันว่าชีวิตของแม็กกี้และข้อความของเธอถึงพวกเราเกี่ยวกับความสุขของชีวิตที่ให้แรงบันดาลใจ"
🔘🔘🔘
N : When Tom told me this story I was really taken aback. I had heard of things like this before, but never actually met a person who had such an experience. So these things do happen.
นีล : เมื่อทอมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ผมรู้สึกตกใจมาก ผมเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่ไม่เคยเจอคนที่มีประสบการณ์แบบนี้จริงๆ ดังนั้นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้จริง
G : “Oh, yes. They are very real. They are very real. Sometimes before death, and often in the second stage of death, your soul will ‘visit’ loved ones.
พระเจ้า : "ใช่ มันเป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องจริงอย่างยิ่ง บางครั้งก่อนความตาย และ บ่อยครั้งในระยะที่สองของความตาย วิญญาณของพวกเธอจะ 'ไปเยี่ยม' คนที่พวกเธอรัก
“When you are ready, you will move into the third stage of death. Now the door behind you closes, and you can see only the passage before you. This entire passage presents a much shorter distance than the distance you’ve just traveled through life. It took years to get through the first corridor, but you now experience yourself racing through this one, flying forward at an incredible speed.
"เมื่อเธอพร้อม เธอจะเข้าสู่ ระยะที่สามของความตาย ตอนนี้ ประตูด้านหลังเธอปิดลง และเธอเห็นเพียงแค่ทางเดินตรงหน้า ทางเดินทั้งหมดนี้มีระยะทางสั้นกว่าระยะทางที่เธอเพิ่งเดินทางผ่านชีวิตมามาก มันใช้เวลาหลายปีในการผ่านทางเดินแรก*(*ใช้ชีวิตด้วยตัวตนปัจเจกนี้ในครั้งแรก) แต่ตอนนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังพุ่งผ่านทางเดินนี้ไป บินไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง
“There is a pinpoint of Light at the end of this passage, with the passage itself appearing to be getting smaller and smaller. The Light is warm and glowing and feels wonderfully safe and inviting.”
"มีจุดแสงสว่างที่ปลายทางเดินนี้ โดยที่ทางเดินเองดูเหมือนจะแคบลงเรื่อยๆ แสงนั้นอบอุ่นและเรืองรอง ให้ความรู้สึกปลอดภัยและชวนให้เข้าไปหาอย่างน่าอัศจรรย์"
N : Are there pictures on the sides of this passage?
นีล : มีรูปภาพอยู่ข้างๆทางเดินนี้ไหมครับ❓
G : “No. This passage into the chamber that is the Core of Your Being is darker, but not in a foreboding way. Rather, in a soft, warm, and glowing way. The glow is coming from the far end of the passage. It is the Light, and it is a tiny speck at first, but as you zoom through the passage it becomes larger and larger in your field of vision until the Light is…
พระเจ้า : "ไม่มี ทางเดินนี้ที่นำเข้าไปสู่ห้องที่เป็นแก่นแท้แห่งตัวตนของเธอนั้นค่อนข้างมืด แต่ไม่ได้น่ากลัว ออกจะอบอุ่น นุ่มนวล และมีแสงเรืองรอง แสงสว่างนั้นมาจากปลายทางเดิน มันคือแสงสว่าง และมันเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆในตอนแรก แต่เมื่อเธอพุ่งผ่านทางเดินไป มันจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆในสายตาของเธอจนกระทั่งแสงสว่างนั้นกลายเป็น...
“…All There Is.”
"...#ทุกสิ่งที่มีอยู่"
➖➖➖(((จบบทที่ 2️⃣7️⃣)))➖➖➖

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา