6 ม.ค. เวลา 08:46 • หนังสือ

#43 HWG : บทที่ 2️⃣9️⃣ :

การหลอมรวมเข้ากับแก่นแท้นี้ไม่ใช่จุดจบ ที่จริงแล้วมันตรงกันข้าม "มันคือจุดเริ่มต้น"
▪️ผู้แปล : อุดม (แอดมิน)
✴️ เพื่ออรรถรสในการอ่านแนะนำให้โหลด 'ไฟล์ภาพ' ไปอ่านครับ :
 
The moment you surrender to love and allow it to lead you to exactly where your soul wants to go, you will have no difficulty.
ในวินาทีที่เธอยอมจำนนต่อความรักและปล่อยให้มันนำพาเธอไปยังจุดที่จิตวิญญาณของเธอต้องการไป เธอจะไม่พบกับความยากลำบากใดๆ
Chapter 2️⃣9️⃣
Neale : This is another of the several things you have repeated here, I am clear that you wish me to understand that the moment of merging into self-realization, the moment of experiencing my Oneness with the All, is not something I have to wait for until my death.
นีล : นี่เป็นอีกหนึ่งในหลายๆ สิ่งที่พระองค์ได้กล่าวซ้ำที่นี่* ผมเข้าใจชัดเจนว่าพระองค์ปรารถนาให้ผมเข้าใจว่า ช่วงเวลาแห่งการหลอมรวมเข้าสู่การรู้แจ้งในตนเอง ช่วงเวลาแห่งการมีประสบการณ์ถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง #ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องรอจนกว่าผมจะต้องตายไปเสียก่อน
(*พระเจ้ากับเราไม่ได้แยกขาดจากกัน)
God : “It is not. You may experience this merging and this realization during your physical lifetime. May people do.”
พระเจ้า : "ใช่แล้ว เธอสามารถประสบกับการหลอมรวมและการรู้แจ้งนี้ได้ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่กับร่างกาย ผู้คนมากมายก็ประสบพบเจอสิ่งนี้"
N : You’ve already mentioned meditation, deep prayer, certain disciplines (yoga, tai chi, and so on), dance, and ritual as ways in which people move toward greater harmony, peace, and a state of divine resonance, or oneness. Are there any other ‘tricks’ you can share❓
นีล : พระองค์ได้กล่าวถึงการทำสมาธิ การสวดภาวนาอย่างลึกซึ้ง การประพฤติตนอย่างมีวินัยบางประการ (โยคะ ไทชิ และอื่นๆ) การเต้นรำ และพิธีกรรมต่างๆ ว่าเป็นวิธีที่ผู้คนใช้เคลื่อนไปสู่ความกลมกลืน สันติ และสภาวะแห่งการสั่นสะเทือนที่เป็นหนึ่งเดียวกับความศักดิ์สิทธิ์ มี 'เคล็ดลับ' อื่นๆ อีกไหมครับที่พระองค์จะแบ่งปัน❓
G : “Moving into a place of wonder and awe with all of life, and a simple willingness to experience the fullness of that, a desire pure and true, is all that it takes to open oneself to the possibility of such moments of transcendence.
Many people experience this melting into the Oneness quite spontaneously, in the middle of some very ordinary activity. Doing dishes. Vacuuming the carpet. Washing the car. Dressing the baby. Handling an assignment at work. Driving down the road. Standing in the shower.
พระเจ้า : "จงเคลื่อนเข้าสู่สภาวะแห่งความเข้าใจต่อความน่ามหัศจรรย์ที่ชีวิตมอบให้และให้ความเคารพต่อสรรพชีวิตทั้งมวล มีความเต็มใจอย่างซื่อตรงที่จะสัมผัสกับประสบการณ์แห่งความเป็นหนึ่งนั้นอย่างเต็มเปี่ยม มีความปรารถนาอันบริสุทธิ์และจริงแท้ต่อการเป็นหนึ่งเดียวกับความศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือ #ทั้งหมดที่จำเป็นในการเปิดตนเองสู่ความเป็นไปได้ของช่วงเวลาแห่งการก้าวข้ามเหล่านี้
มีผู้คนมากมาย #ประสบกับการหลอมละลายเข้าสู่ความเป็นหนึ่งเดียวโดยฉับพลันในระหว่างกิจกรรมธรรมดาๆ เช่น การล้างจาน การดูดฝุ่น การล้างรถ การแต่งตัวให้เด็ก การทำงานที่ได้รับมอบหมาย การขับรถไปตามถนน การยืนอาบน้ำ
“Suddenly, abruptly, without warning or cause, there is a sense of ‘no separation,’ an experience of unity with everything. It is usually for a split second, and then things go back to ‘normal,’ but it is an experience that one never forgets."
"ทันใดนั้น อย่างฉับพลัน โดยไม่มีการเตือนหรือสาเหตุ จะมีความรู้สึกถึง '#การไม่แบ่งแยก' เกิดประสบการณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง มันมักจะเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที และจากนั้นทุกอย่างก็กลับสู่ภาวะ 'ปกติ' แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม"
N : What should we do if this happens.
นีล : เราควรทำอย่างไรเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นครับ
G : “Well, whatever you do, don’t ignore it. For many people its meaning is often missed or ignored. If you have, or have had, such an experience, you can go back to it in memory and recapture much of the feeling that was experienced there.
พระเจ้า : "เอาล่ะ สิ่งหนึ่งที่เธอไม่ควรทำก็คือเพิกเฉยต่อมัน สำหรับคนจำนวนมาก ความหมายของมันมักถูกมองข้ามหรือถูกละเลย หากเธอมีหรือเคยมีประสบการณ์เช่นนี้ เธอสามารถย้อนกลับไปในความทรงจำและเรียกคืนความรู้สึกส่วนใหญ่ที่เธอได้สัมผัสในตอนนั้น
“You can use it as a starting place, a jumping-off point, for longer experiences.”
"เธอสามารถใช้มันเป็นจุดเริ่มต้น เป็นจุดกระโดด สำหรับการมีประสบการณ์ที่ยาวนานขึ้น"
“There are people who are able to move into this experience of Oneness at will, and who remain within it for extended periods. Some remain within it for the rest of their lives. It is simply a matter of focus, or whole presence centering.”
"#มีผู้คนที่สามารถก้าวเข้าสู่ประสบการณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวนี้ได้ตามต้องการ และดำรงอยู่ในสภาวะนั้นได้เป็นระยะเวลายาวนาน บางคนคงอยู่ในสภาวะนั้นตลอดช่วงชีวิตที่เหลือ #มันเป็นเพียงเรื่องของการจดจ่อไปที่สภาวะนั้น หรือ #การรวมศูนย์ทั้งหมดอยู่ที่การดำรงอยู่ในปัจจุบัน"
N : 'Whole presence centering’?
นีล : 'การรวมศูนย์ทั้งหมดอยู่ที่การดำรงอยู่ในปัจจุบัน' คืออะไรครับ❓
G : “Well, we are going to encounter the problem with words again. It is very difficult to describe certain experiences using the limitation of words. That is why I have encouraged you to form pictures whenever you can. Even though the pictures in your mind are metaphors, they will often come closer to bringing you the feeling of ‘knowing’ than words can ever do.
พระเจ้า : "ก็นะ เราได้พบกับปัญหาเรื่องคำศัพท์อีกครั้ง มันเป็นเรื่องยากมากที่จะอธิบายประสบการณ์บางอย่างโดยใช้ข้อจำกัดของคำ นั่นคือเหตุผลที่ฉันสนับสนุนให้เธอสร้างภาพในใจเมื่อใดก็ตามที่เธอทำได้ แม้ว่าภาพในใจของเธอจะเป็นเพียงแค่การอุปมาอุปไมย แต่มันก็มักจะนำพาเธอให้เข้าใกล้ความรู้สึกแห่ง 'การรู้' ได้มากกว่าคำพูดใดๆ
“By ‘whole presence centering’ I mean those times when you are wholly present in the moment that is occurring right now in your life; when there is not a single part of your body, mind, or spirit that is ‘somewhere else,’ This is very rare for most people--but it can occur, and people with a real willingness can cause it to occur regularly.
"เมื่อฉันพูดถึง 'การรวมศูนย์ทั้งหมดอยู่ที่การดำรงอยู่ในปัจจุบัน' ฉันหมายถึง #ช่วงเวลาที่เธอมีสติอยู่กับขณะปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิตของเธออย่างสมบูรณ์ เมื่อไม่มีส่วนใดของร่างกาย จิตใจ หรือจิตวิญญาณของเธอที่ 'อยู่ที่อื่น' นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมากสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่มันสามารถเกิดขึ้นได้ และผู้ที่มีความตั้งใจจริงสามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้อย่างสม่ำเสมอ
“You can, with determination, take your mind off of everything else and bring it to this moment right now. Some of you call this the experience of being ‘centered,’ or fully ‘present.’
"ด้วยความมุ่งมั่น เธอสามารถปล่อยวางความคิดของเธอออกจากทุกสิ่ง* (*ว่างจากความคิด-จิตว่าง) และนำมันมาสู่ขณะปัจจุบันนี้ได้ บางคนเรียกสิ่งนี้ว่าประสบการณ์แห่งการ 'ดำรงอยู่ ณ ศูนย์กลาง' หรือ 'การรู้ตัวทั่วพร้อม' อยู่กับปัจจุบันขณะอย่างเต็มที่"*
*ตรงนี้ชาวพุทธเราที่เป็นนักปฏิบัติจะเข้าใจได้ไม่ยากเลยครับ ก็คือการมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอย่างสมบูรณ์ หรือการอยู่กับปัจจุบันขณะนั่นเอง
▪️มีสติหรือความรู้สึกตัวอยู่กับร่างกาย ไม่ใช่แค่จุดใดจุดหนึ่ง แต่เป็นทั้วๆทั้งร่างกาย ว่ามันกำลังมีอิริยาบถอย่างไร มันกำลังนิ่ง กำลังเคลื่อนไป กำลังขยับ ทั้งร่างกำลังหายใจ (ไม่เพียงแค่ผ่านจมูก แต่ให้รู้สึกว่าทั้งร่างกำลังหายใจ) ฯลฯ เป็นต้น
▪️เมื่อมีอารมณ์ความรู้สึกอะไรเกิดขึ้น จิตก็รู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นไปตามความเป็นจริง #ไม่ขัดแย้งและไม่ไหลตาม จิตเฝ้าดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างเป็นกลาง ไม่ไหลไปข้างใดข้างหนึ่ง หรือก็คือ ไม่สุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง นั่นเอง นี่คือการปล่อยวาง
เมื่อรู้เท่าทันอย่างต่อเนื่อง จิตจะมีความเคยชินในความปล่อยวางในอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นเป็นอัตโนมัติ ตัวมันจึงปล่อยวางเป็นอัตโนมัติ โดยเราไม่ได้ไปบังคับให้มันปล่อยวาง นี่คือความเป็นกลางที่แท้จริง ความเป็นกลางที่เกิดขึ้นเองจากความเคยชินในความปล่อยวางของจิตโดยไม่ได้ถูกบังคับให้ปล่อยวาง
▪️จิตว่างเปล่าจากความคิด ถ้ามันเผลอคิดไปก็ให้รู้ทันว่าจิตมันเผลอคิดไป ไม่คิดต่อ แล้วก็กลับมาที่ความรู้สึกตัว เมื่อจิตรู้เท่าทันความคิดมากเข้ามากเข้า จิตก็สงบ เพราะมันรู้แล้วว่าเข้าใจความจริงแล้วว่า อารมณ์ สุขหรือทุกข์ เกิดขึ้นจากความคิด เมื่อไม่มีความคิด ก็ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นกลางๆ ซึ่งความเป็นกลางๆที่ว่านั้นกลับทำให้มันรู้สึกสงบสุขยิ่งกว่าความสุขที่เกิดจากความคิด
มันจึงชอบหรือโน้มเอียงไปกับการที่จะอยู่กับความสงบสุขแห่งการไม่เข้าไปอยู่กับความคิดใดๆนั้นมากกว่า จิตจึงมักจะอยู่กับความสงบที่ปราศจากความคิดเป็นปกติวิสัย และเมื่อจิตสงบ ไม่ค่อยสัดส่ายหรือฟุ้งไป ก็ทำให้มันรับรู้ถึงร่างกายได้ง่ายได้ชัดแล้วก็ได้ตลอดเวลาหรือได้มากขณะกว่าเดิม
▪️จิตรู้หรือผู้รู้ ที่ถอยออกไปเป็นผู้ดู ว่าสิ่งทั้งหมดนี้กำลังเกิดขึ้น ทั้งหมดนี้คือ การรวมศูนย์การมีสติอยู่กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันขณะของทั้งกาย เวทนา จิต และ ธรรม (ธรรม คือ การเห็นทุกอย่างตามสภาพความเป็นจริง)
1
ทั้งหมดนี้ที่ผมกล่าวมา ก็คือ #สติปัฏฐาน 4️⃣ ของชาวพุทธเถรวาทเรานั่นเอง ใครที่เคยเป็นนักปฏิบัติทางพุทธอย่างจริงจังมาก่อน พวกคุณก็ถือได้ว่ารู้วิธีการปฏิบัติที่มากกว่าคนอื่นๆที่ไม่รู้อ่ะนะครับ ส่วนถ้ารู้แล้วแต่ไม่ปฏิบัติ ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ไม่รู้อยู่ดี 😆
✴️ และ #การได้ทำในสิ่งที่รัก_หรือได้ทำตาม_passion จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะความจดจ่อทั้งหมดของตัวคุณจะมารวมอยู่ที่สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นี้ คุณจะหลงลืมเวลาไปเลย เวลาหายไป ความจดจ่อของคุณจะอยู่กับปัจจุบันขณะ อยู่กับสิ่งที่คุณทำอยู่ ณ ปัจจุบันขณะเท่านั้น แล้วคุณก็จะสามารถอยู่กับสิ่งที่คุณรักที่จะทำไปได้เรื่อยๆ ในทุกๆขณะในทุกๆวัน ได้โดยไม่มีเบื่ออีกด้วย #คุณจึงเข้าถึงประสบการณ์ของความเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งได้ง่ายกว่า คนที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ตนรัก หรือตาม passion ของตน
แล้วก็อ่านทบทวนเรื่อง 'สภาวะรู้ตัวทั่วพร้อมโดยสมบูรณ์' ที่พระเจ้ากล่าวไว้ในหนังสือสนทนากับพระเจ้าเล่ม 3 ได้ตามลิงค์ที่แนบมาครับ
(เล่ม 3 ที่ผมลงไว้ ห้าปีแล้วหรือนี่❗ 😄)
N : Ram Dass wrote a book about this called Be Here Now. And there is the more recent contributions by Eckhart Tolle, The Power of Now.
นีล : แรม ดาส เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ชื่อ "Be Here Now" และยังมีผลงานล่าสุดของ เอ็คฮาร์ท โทลเล่ เรื่อง "The Power of Now"
G : “One way to achieve this state of being is to look into your own eyes in a mirror. This is a deceptively simple and incredibly powerful tool.
พระเจ้า : "วิธีหนึ่งในการเข้าถึงสภาวะแห่งการเป็นเช่นนี้ก็คือ #การมองเข้าไปในดวงตาของตัวเองผ่านกระจก* นี่เป็นเครื่องมือที่ดูเรียบง่ายแต่ทรงพลังอย่างน่าประหลาด
“The trick is to not turn away if this deep looking becomes uncomfortable. If you are able to hold your own gaze for more than a count of ten, you will begin to experience such compassion and love for yourself that you will almost not know what to do with that feeling. It could be very difficult for you to take in this feeling if you are not used to loving yourself--and most people, sadly, are not. Just be with the feeling and embrace it.
"กุญแจสำคัญคือการไม่หันหนีหากการมองลึกๆนี้เริ่มทำให้รู้สึกอึดอัด หากเธอสามารถจ้องมองตาของตัวเองได้นานกว่าการนับถึงสิบ เธอจะเริ่มสัมผัสได้ถึงความเมตตากรุณาและความรักที่มีต่อตัวเองได้มากเสียจนเธอแทบไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกนั้นอย่างไร มันอาจเป็นเรื่องยากมากที่จะรับความรู้สึกนี้หากเธอไม่เคยชินกับการรักตัวเอง—และน่าเศร้าที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยชิน ขอให้เธอเพียงแค่อยู่กับความรู้สึกนั้นและโอบรับมัน
“Continue looking deeply and more deeply into your own eyes. If you use a hand mirror, you can be sitting when you do this. Now, all at once, after looking deeply into your own eyes for as long as you can, simply and quickly close your eyes—and be with the feeling that follows. Very often you will feel merged with the Essence. This could last only a moment—or for the rest of the day.
"มองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอให้ลึกขึ้นเรื่อยๆ หากเธอใช้กระจกมือถือ เธอสามารถนั่งขณะทำสิ่งนี้ได้ จากนั้น ในคราวเดียว หลังจากมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้หลับตาลงอย่างเรียบง่ายและรวดเร็ว—และอยู่กับความรู้สึกที่ตามมา บ่อยครั้งที่เธอจะรู้สึกหลอมรวมเข้ากับแก่นแท้ สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ—หรืออาจตลอดทั้งวัน
“If you have a life partner or a friend with whom you feel close, you may also try a variation of this process by looking deeply into the eyes of another. Again, do not turn your eyes away, even if this deep looking begins to become uncomfortable. It will soon pass, melting into a softness and an inner glow as you feel yourself merging with the Self of the other.
"หากเธอมีคู่ชีวิตหรือเพื่อนที่เธอรู้สึกสนิทสนม เธออาจลองทำในอีกรูปแบบหนึ่งด้วยการมองลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย อีกครั้ง อย่าหันสายตาหนี แม้ว่าการมองลึกๆนี้จะเริ่มทำให้รู้สึกอึดอัด มันจะผ่านไปในไม่ช้า ความอึดอัดจะหลอมละลายกลายเป็นความอ่อนโยนและความเรืองรองภายในในขณะที่เธอรู้สึกถึงการหลอมรวมเข้ากับตัวตนของอีกฝ่าย
“What you are seeing when you look deeply into the eyes of yourself or another is the soul. The eyes are the windows of the soul.
"สิ่งที่เธอได้เห็นเมื่อเธอมองลึกเข้าไปในดวงตาของตัวเองหรือผู้อื่นคือจิตวิญญาณ #ดวงตาคือหน้าต่างของจิตวิญญาณ
“You may remember that, earlier. I said that if you look into the eyes of another, or into your own eyes, and expect to see God there, you will. If you do not, you won’t. Either way, however, you will become fully present. And becoming fully present to the Here and Now is a very effective way to slough off the distractions and excursions of the meandering mind and bring yourself into a much higher experience of the life you are living.
"เธออาจจำได้ว่าก่อนหน้านี้ ฉันได้กล่าวว่าหากเธอมองเข้าไปในดวงตาของผู้อื่น หรือในดวงตาของตัวเอง และคาดหวังว่าจะได้เห็นพระเจ้าที่นั่น เธอก็จะเห็น หากเธอไม่คาดหวัง เธอก็จะไม่เห็น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เธอจะเข้าถึงสภาวะแห่งการดำรงอยู่ ณ ปัจจุบันขณะอย่างเต็มที่ และการดำรงอยู่อย่างเต็มที่ ณ ที่นี่และเดี๋ยวนี้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากในการสลัดทิ้งสิ่งรบกวนและการออกนอกลู่นอกทางของจิตที่เตลิดไป และนำพาตัวเธอเองเข้าสู่ประสบการณ์ที่สูงส่งกว่าในชีวิตที่เธอกำลังดำเนินอยู่"*
(*น่าสนใจมาก 🤔 นี่เป็นวิธีที่อยู่นอกเหนือวิธีปฏิบัติในแนวทางพุทธที่ผมอธิบายถึงไว้ก่อนหน้านี้ไปอย่างสิ้นเชิงเลย ใครที่ไม่เคยปฏิบัติในวิถีทางแบบพุทธมาก่อน พวกคุณได้วิธีในการปฏิบัติแล้วนะครับ ซึ่งมันเรียบง่ายกว่ามาก แล้วก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อนอะไรเลย ไม่ต้องจำวิธีการปฏิบัติอะไรที่มันยุบยับหลายขั้นตอนไปหมดด้วยซ้ำ สงสัยผมคงต้องไปลองสักหน่อยแล้ว แล้วผมก็อยากให้พวกคุณไปลองกันด้วยครับ 😄)
“You cannot look into the eyes of any living creature without becoming fully present. That includes your dog, your cat, even a wild animal. Stop in your tracks and lock eyes with an untamed animal—a lion or a tiger or a bear—and see if you do not fully present.
"เธอไม่สามารถมองเข้าไปในดวงตาของสิ่งมีชีวิตใดๆ โดยไม่เข้าถึงการดำรงอยู่อย่างเต็มที่ ณ ปัจจุบันขณะได้ นั่นรวมถึงสุนัข แมว หรือสัตว์เลี้ยงของเธอ หรือแม้กระทั่งสัตว์ป่า ลองหยุดยืนและสบตากับสัตว์ที่ไม่ได้ถูกฝึก—สิงโต เสือ หรือหมี—และดูว่าเธอจะไม่รู้สึกถึงการดำรงอยู่อย่างเต็มที่ ณ ปัจจุบันขณะหรือไม่* (😮)
“When you become fully present this way with another living being, you may very well start to love them. People do fall in love with their pets, and the feeling is very real.
"เมื่อเธอดำรงอยู่อย่างเต็มที่ ณ ปัจจุบันขณะในลักษณะนี้กับสิ่งมีชีวิตอื่น เธออาจเริ่มรักพวกเขา ผู้คนตกหลุมรักสัตว์เลี้ยงของพวกเขา และความรู้สึกนั้นเป็นความจริงอย่างยิ่ง
“It is especially difficult to look another human in the eyes for any period of time at all without beginning to fall in love. That is why people look away from each other so quickly.
"มันเป็นเรื่องยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จะมองตามนุษย์คนอื่นไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดโดยไม่เริ่มตกหลุมรักเขาหรือเธอ นั่นคือเหตุผลที่ผู้คนหันสายตาหนีจากกันและกันอย่างรวดเร็ว*
(*พวกคุณได้วิธีจีบสาว-หนุ่ม ที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่งแล้วนะครับ ไม่ต้องคิดบทพูดอะไรเลยด้วย 😆😁 แล้วก็อย่ากลัวที่จะมีความรักเลยนะครับ ทุกประสบการณ์ที่คุณได้มีไม่ว่าจะกับใครก็ตามนั้นดีหมดแหละครับ อย่างน้อยที่สุดมันก็ช่วยให้คุณเติบโตขึ้นได้ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน 😄)
“They don’t dare look each other right in the eye for very long. The love that will follow will overwhelm them. Yet it is because they do not know what to do with that love that they are overwhelmed.
"พวกเขาไม่กล้าที่จะมองตากันโดยตรงเป็นเวลานาน ความรักที่จะตามมาจะท่วมท้นพวกเขา แต่ก็เพราะพวกเขาไม่รู้จะจัดการกับความรักนั้นอย่างไรที่ทำให้พวกเขารู้สึกท่วมท้น
“The moment you surrender to love and allow it to lead you to exactly where your soul wants to go, you will have no difficulty. All struggle then will cease, and you will know Oneness.
"ในวินาทีที่เธอยอมจำนนต่อความรักและปล่อยให้มันนำพาเธอไปยังจุดที่จิตวิญญาณของเธอต้องการไป เธอจะไม่พบกับความยากลำบากใดๆ การดิ้นรนทั้งหมดจะยุติลง และ #เธอจะได้รู้จักความเป็นหนึ่งเดียว
“This is what happens at the Moment of Mergence. This is what occurs at the time of Total Immersion with the Essence. It is a very healing way to start a day—or to end one.
"นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งการหลอมรวม นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งการจมดิ่งเข้ากับแก่นแท้อย่างสมบูรณ์ มันเป็นวิธีที่เยียวยาเป็นอย่างยิ่งในการเริ่มต้นวัน—หรือจบวัน" *
(*แค่คุณจ้องตาตัวเองหรือคนรักของคุณในตอนที่ตื่นนอนตอนเช้า และ ก่อนนอน)
N : Or to end a life, it would seem.
นีล : หรือเพื่อจบชีวิต (ในตอนที่ชีวิตกำลังจบลง) ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นได้เช่นกัน
I mean, you’re saying, aren’t you, that some people can experience this merging, this melting into oneness, during their physical life, but that all people experience this at the moment of their death❓ Do I have this right❓
ผมหมายความว่า พระองค์กำลังบอกว่า 'บางคน' สามารถประสบกับการหลอมรวม หลอมละลายเข้าสู่ความเป็นหนึ่งเดียวนี้ได้ในระหว่างชีวิตทางกายภาพ แต่ 'ทุกคน' จะได้ประสบกับสิ่งนี้แน่ๆในช่วงเวลาแห่งความตาย ผมเข้าใจถูกไหมครับ❓
G : “You have it very right. No one is excluded, no one is disqualified, no one is left behind.”
พระเจ้า : "เธอเข้าใจถูกต้องแล้ว ไม่มีใครถูกกีดกัน ไม่มีใครถูกตัดสิทธิ์ ไม่มีใครถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง"
N : What about those who don’t believe it will happen❓
นีล : แล้วคนที่ไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นล่ะครับ❓
G : “Belief does not create your experience after the second stage of death.”
พระเจ้า : "#ความเชื่อไม่ได้สร้างประสบการณ์ของเธอหลังจากระยะที่สองของความตาย"
N : What does?
นีล : แล้วอะไรล่ะครับที่สร้าง❓
G : “Desire.”
พระเจ้า : "#ความปรารถนา"
N : Wow.
Wow, wow, and triple wow.
นีล : ว้าว
ว้าว ว้าว และก็ว้าว สามครั้งซ้อน
G : “The three stages of death are designed to move you, gently and as rapidly as you wish to move, through the process of re-identification.
พระเจ้า : "3️⃣ ระยะของความตาย #ถูกออกแบบ* (*สร้าง) มาเพื่อนำพาเธอ อย่างนุ่มนวลและเร็วเท่าที่เธอปรารถนาจะเคลื่อนไป ผ่านกระบวนการแห่งการระบุตัวตนใหม่ (*สร้างตัวตนของเธอขึ้นใหม่)
“In the second stage of death you still identify with your mind, and so your experience is dictated by what is IN your mind. Your beliefs create your experience.
"ในระยะที่ 2 ของความตาย เธอยังคงระบุตัวตนด้วยจิตใจของเธอ ดังนั้น #ประสบการณ์ของเธอจึงถูกกำหนดโดยสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของเธอ #ความเชื่อของเธอจึงสร้างประสบการณ์ของเธอขึ้นมา
 
“Once you drop this identity, your experience is created not by what you believe, but by what you desire. This is the beginning of your experience called ‘heaven.’
"เมื่อเธอปล่อยวางตัวตนนี้ได้แล้ว #ประสบการณ์ของเธอก็ไม่ได้ถูกสร้างโดยสิ่งที่เธอเชื่ออีกต่อไป #แต่โดยสิ่งที่เธอปรารถนา นี่คือจุดเริ่มต้นของประสบการณ์ที่เธอเรียกว่า '#สวรรค์'
“You may experience these three stages of death that I have now several times described even while you are alive.”
"เธออาจประสบกับสามระยะของความตายที่ฉันได้อธิบายหลายครั้งนี้แม้ในขณะที่เธอยังมีชีวิตอยู่ได้"
N : Now wait a minute. I know you said that I could experience the Moment of Mergence while I am alive, but I have not heard you say this.
นีล : เดี๋ยวก่อนครับ ผมรู้ว่าพระองค์บอกว่าผมสามารถประสบกับช่วงเวลาแห่งการหลอมรวมในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ แต่ผมไม่เคยได้ยินพระองค์พูดถึงเรื่องนี้มาก่อน
G : “We are talking about the same thing. We are talking about the death of the idea of separation. This is what happens at the moment of your physical death, and that can occur at any time.
พระเจ้า : "เรากำลังพูดถึงสิ่งเดียวกัน เรากำลังพูดถึง #ความตายของความคิดเรื่องการแบ่งแยก นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งความตายทางกายภาพของเธอ และมันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
“The three stages of death are simply the Three Steps of Re-identification. These are:
"3ระยะของความตายก็คือ 3 ขั้นตอนของการระบุตัวตนใหม่ ได้แก่:
“1️⃣. Releasing identification with the body.
“2️⃣. Releasing identification with the mind.
“3️⃣. Releasing identification with the soul.
"1️⃣. การปล่อยวางการระบุตัวตนด้วยร่างกาย
"2️⃣. การปล่อยวางการระบุตัวตนด้วยจิตใจ
"3️⃣. การปล่อยวางการระบุตัวตนด้วยจิตวิญญาณ"
N : But if we are identifying with none of those aspects of ourselves, then what are we identifying with❓
นีล : แต่ถ้าเราไม่ได้ระบุตัวตนด้วยแง่มุมเหล่านั้นของตัวเราเลย แล้วเรากำลังระบุตัวตนของเราด้วยอะไรล่ะครับ❓
G : “Nothing.”
พระเจ้า : "ไม่มี"
N : Nothing❓ We are identifying with nothing at all❓
นีล : ไม่มี❓ เราไม่ได้ระบุตัวตนของเราด้วยอะไรเลยหรือครับ❓
G : “No thing in particular.
พระเจ้า : "ไม่มีสิ่งใดโดยเฉพาะ (อย่างใดอย่างหนึ่ง)
“As soon as you think that you are something, or that you are NOT that, then you begin to imagine yourself as limited. Yet the Essence is in no way limited. In the Moment of Mergence you identify with the All-which means that you identify with nothing in particular: Nothing at all.
"ทันทีที่เธอคิดว่าเธอเป็นบางสิ่ง หรือเธอไม่ใช่สิ่งนั้น★ เธอก็เริ่มจินตนาการว่าตัวเธอมีขีดจำกัด #แต่แก่นแท้นั้นไม่มีขีดจำกัดใดๆ ในช่วงเวลาแห่งการหลอมรวม #เธอระบุตัวตนของเธอด้วยทั้งหมด★★ (ซึ่งก็คือพระเจ้า)—ซึ่งหมายความว่าเธอไม่ได้ระบุตัวตนของเธอด้วยสิ่งใดโดยเฉพาะ (อย่างใดอย่างหนึ่ง) : ไม่เลย
“The Buddha understood this perfectly, and achieved it. Many masters have achieved it.
"#พระพุทธเจ้าเข้าใจสิ่งนี้อย่างสมบูรณ์และบรรลุถึงมัน ศาสดาหลายท่านได้บรรลุถึงมัน
Most people do not achieve this during their lifetime. All souls achieve this at their death.
คนส่วนใหญ่ไม่ได้บรรลุถึงสิ่งนี้ในระหว่างมีชีวิต แต่วิญญาณทั้งหมดบรรลุถึงสิ่งนี้ในตอนตาย
That is what death is for.”
นั่นคือ #จุดประสงค์ของความตาย"*
(*เราตายก็เพื่อบรรลุถึงสัจจะความจริงสูงสุด หรือเพื่อจำทั้งหมดนี้ได้อีกครั้ง )
★—ทันทีที่เธอคิดว่าเธอเป็นบางสิ่ง หรือเธอไม่ใช่สิ่งนั้น เธอก็เริ่มจินตนาการว่าตัวเธอมีขีดจำกัด—
ตรงนี้ต้องพูดถึงทิฐิทั้ง 4 ของทางวัชรยานนะครับ
เชื่อว่ามีอยู่จริง
ไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง
เชื่อว่าไม่มีอยู่จริง
ไม่เชื่อว่าไม่มีอยู่จริง
ส่วนทางเถรวาทเรามีทิฐิแค่ 2 อย่างนี้ คือ
สัสสตทิฐิ : (มีความเห็นว่าเที่ยง)
อุจเฉททิฐิ (มีความเห็นว่าขาดสูญ)
และแตกแยกย่อยออกไปจาก 2 ทิฐิ นี้
เราต้อง "ออกจากความคิด" ครับว่าง่ายๆ เพราะคิดเมื่อไหร่เราจะตกสู่ทิฐิทั้ง 4 นั้นทันที
★★—เธอระบุตัวตนของเธอด้วยทั้งหมด—
ก็ต้องย้ำอีกทีว่า : พระเจ้าเป็นทุกสิ่ง ทั้งไม่เป็นสิ่งใดเลย รวมถึงความว่างที่โอบอุ้มทั้งสองสิ่งนั้นเอาไว้ด้วย อาจกล่าวได้อีกอย่างว่า พระเจ้าเป็นทั้งความเที่ยงแท้และไม่เที่ยงแท้ในขณะเดียวกัน
และไม่มีตัวตนหรือสภาวะใดที่เที่ยงแท้ถาวร แม้แต่สภาวะนิพพานเองก็ตาม ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงหมุนเวียนไปเป็นวัฏจักร แต่ในขณะเดียวกันก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไปไหนเลย
สรุปก็คือ : พระเจ้าเป็นทุกอย่างและไม่เป็นอะไรเลยเท่าที่คุณจะสามารถจินตนาการได้ เท่าที่จิตของคุณมันจะพยายามหาช่องคิดหาเหตุผลมาอธิบายทั้งหมดนี้ให้ได้ ทั้งๆที่เรื่องทั้งหมดนี้มันอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ 😁
N : So this is not something that could happen, but something that does happen, for everyone when they leave their body.
นีล : ดังนั้นนี่ไม่ใช่บางสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง สำหรับทุกคนเมื่อพวกเขาละจากร่างกาย
G : “Yes. And in the third stage of death you encounter the wondrous perfection of who you are as seen through the eyes of God.”
พระเจ้า : "ใช่แล้ว และในระยะที่ 3 ของความตาย เธอจะได้พบกับความสมบูรณ์แบบอันน่ามหัศจรรย์ของตัวตนที่เธอเป็น ผ่านสายตาของพระเจ้า"
N : That sounds so wonderful. Just…so wonderful.
นีล : ฟังดูวิเศษจริงๆ ก็แค่... วิเศษมากจริงๆครับ
G : “And you will not have seen anything yet. This merging into the Essence is not the end of it. In fact, it is just the opposite. It is the beginning.”
พระเจ้า : "จริงๆแล้วเธอยังไม่ได้เห็นอะไรเลย การหลอมรวมเข้ากับแก่นแท้นี้ไม่ใช่จุดจบ ที่จริงแล้ว มันตรงกันข้าม #มันคือจุดเริ่มต้น"
➖➖➖ จบบทที่ 2️⃣9️⃣ ➖➖➖

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา