8 ม.ค. เวลา 08:10 • หนังสือ

#44 HWG : บทที่ 3️⃣0️⃣ : ไม่มีความทุกข์ทรมานใดๆในชีวิตหลังความตาย

▪️ผู้แปล : อุดม (แอดมิน)
✴️ เพื่ออรรถรสในการอ่านแนะนำให้โหลด 'ไฟล์ภาพ' ไปอ่านครับ :
 
There is no suffering of any kind in the Afterlife.
ไม่มีความทุกข์ทรมานใด ๆ ในชีวิตหลัง ความตาย
Chapter 3️⃣0️⃣
God : “You may remain merged with the Essence as long as you wish, but, as we have explained, you will not wish to remain forever, for you would lose the ability to know the ecstasy of the experience.
พระเจ้า : “เธอจะยังคงรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแก่นแท้ได้นานตราบเท่าที่เธอปรารถนา แต่ดังที่เราได้อธิบายกันไปแล้ว เธอจะไม่ปรารถนาที่จะคงอยู่ในสภาวะเป็นหนึ่งเดียวนั้นตลอดไป เพราะเธอจะสูญเสียความสามารถในการรับรู้ถึงปีติสุขอันยิ่งของประสบการณ์นั้น
“The tremendous energy shift that you will experience during Total Immersion will propel you back out of the Essence, renewed and re-created as the identity you remember, and standing in the Core of Your Being.”
“การเปลี่ยนแปลงพลังงานอันมหาศาลที่เธอจะได้สัมผัสระหว่างการรวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์นั้น จะผลักดันให้เธอออกจากแก่นแท้ ได้รับการฟื้นฟูและสร้างขึ้นใหม่ในฐานะอัตลักษณ์-ตัวตนปัจเจกที่เธอจำได้ และยืนอยู่ในแก่นแท้แห่งตัวตนของเธอ”
Neale : The chamber, the core of the Applorange, if we stay with our metaphor.
นีล : ณ ห้องโถง แก่นกลางของแอปเปิลส้ม หากเราจะใช้อุปมานี้ต่อไป
G : “Yes.
พระเจ้า : "ใช่แล้ว
“Imagine now a large room where the portion of the mural that you looked at when you were coming down the Corridor of Time are mounted on the walls. The entire mural is not there, only the parts of the mural, only the sections of the overall painting, upon which you focused as you moved through the Corridor.
“ให้จินตนาการถึงห้องขนาดใหญ่ที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังบางส่วนที่เธอมองเห็นขณะเดินลงมาตามระเบียงแห่งกาลเวลา ถูกติดตั้งอยู่บนผนัง ไม่ใช่ภาพจิตรกรรมทั้งหมด แต่เพียงแค่บางส่วน เฉพาะส่วนของภาพวาดโดยรวมที่เธอให้ความสนใจขณะเคลื่อนผ่านระเบียงนั้น
“These images now hang on the walls like an art exhibit, and you walk through this ‘art gallery’ slowly, examining the pictures one by one.
“ภาพเหล่านี้แขวนอยู่บนผนังเหมือนนิทรรศการศิลปะ และเธอเดินผ่านแกลเลอรี่ศิลปะนี้อย่างช้าๆ กำลังพิจารณาภาพไปทีละภาพ
“As you explore these paintings deeply, you experience everything that is happening in the painting. Not just what is happening with you, but what is happening with everyone else in the painting.
“ขณะที่เธอสำรวจภาพวาดเหล่านี้อย่างเต็มที่ เธอจะได้สัมผัสกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพ ไม่เพียงแค่สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเธอเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคนในภาพด้วย
“These images represent each of the moments of your life, and now, examine them, you have for the first time a complete picture of all that is going on in every moment.
“ภาพเหล่านี้แทนช่วงเวลาต่างๆ ในชีวิตของเธอ และในตอนนี้ ณ แก่นกลาง คือขณะที่เธอกำลังตรวจสอบภาพเหล่านั้นทั้งหมด เธอจะได้เห็นภาพรวมที่สมบูรณ์แบบของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกๆขณะ (ของชีวิตเธอ) เป็นครั้งแรก
“This is often not what you thought was going on, and it is always more than you imagined.”
“สิ่งนี้มักจะไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดว่ากำลังเกิดขึ้น และมันมักจะเกินกว่าที่เธอเคยจินตนาการไว้เสมอ"
N : Well, here we go again. Is it a coincidence that just as we are having this conversation I would meet a woman at a spiritual retreat that I was facilitating in Bristol, England, who told me a story that echoes your ‘metaphor’?
นีล : เป็นอีกครั้ง ที่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ก็ไม่รู้ล่ะที่ในขณะที่เรากำลังสนทนากันอยู่นี้ ผมได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่การประชุมเชิงปฏิบัติการด้านจิตวิญญาณที่ผมเป็นผู้ดำเนินรายการในเมืองบริสตอล ประเทศอังกฤษ เธอได้เล่าถึงเรื่องราวที่สะท้อนถึง 'อุปมา' ของพระองค์
I could hardly believe what she was telling me, coming on the heels of what you just told me here! It was as if somebody —some angel or something— was sending me physical. ‘real world’ confirmation of what I was receiving in this rather way-out dialogue that we’re having here.
ผมแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เธอกำลังเล่าให้ฟัง ซึ่งมาต่อท้ายสิ่งที่พระองค์เพิ่งบอกผมที่นี่❗ เหมือนกับว่ามีใครบางคน —เทพเทวาหรืออะไรสักอย่าง— กำลังส่งการยืนยันทางกายภาพ จาก 'โลกแห่งความเป็นจริง' เกี่ยวกับสิ่งที่ผมได้รับจากการสนทนาที่ค่อนข้างเหนือธรรมชาติที่เรากำลังมีอยู่นี้
I was so taken aback by what this woman told me, and by the coincidence of it all, that I asked her to write it all down and send it to me. Here’s what she wrote. It’s fascinating story of the near-death experience of one Elizabeth Everitt of the United Kingdom:
ผมรู้สึกตกตะลึงมากกับสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้เล่าให้ฟัง และด้วยความบังเอิญของเรื่องราวทั้งหมด จนผมต้องขอให้เธอเขียนทั้งหมดลงและส่งมาให้ผม นี่คือสิ่งที่เธอเขียน มันเป็นเรื่องราวที่น่าหลงใหลเกี่ยวกับประสบการณ์เฉียดตายของ เอลิซาเบธ เอเวอริตต์ จากสหราชอาณาจักร:
Dear Neale:
ถึง นีล:
‘I promised you at the weekend in Bristol that I would write to you with my story, so here goes. Are you sitting comfortably?
‘ฉันได้สัญญากับคุณไว้ในช่วงสุดสัปดาห์ที่บริสตอลว่าจะเขียนเรื่องราวของฉันมาให้ คุณนั่งสบายแล้วหรือยังคะ?
‘I was twenty-five years old and for the first time in my hitherto tumultuous life, I felt truly blessed and content. I had met the man of my dreams (after kissing way too many frogs) and I was seven and a half months pregnant with our deeply wanted daughter. I developed a flu-like illness and was admitted to hospital.
‘ตอนนั้นฉันอายุยี่สิบห้าปี และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่วุ่นวายของฉัน ที่ฉันรู้สึกว่าได้รับพรและมีความสุขอย่างแท้จริง ฉันได้พบกับชายในฝัน (หลังจากที่ต้องผิดหวังกับผู้ชายมามากมาย) และฉันกำลังตั้งครรภ์ลูกสาวที่เราต้องการมากได้เจ็ดเดือนครึ่ง ฉันเริ่มป่วยด้วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล
‘I realized quickly that I had chicken pox and was horrified because, as fate would have it, I also worked at that hospital as a midwife and I had watched the last three similar cases end up in intensive care. I knew what treatment was needed and I knew that I needed it NOW.
‘ฉันรู้ตัวอย่างรวดเร็วว่าเป็นโรคอีสุกอีใส และรู้สึกหวาดกลัวมาก เพราะโชคชะตาช่างเล่นตลก ฉันทำงานที่โรงพยาบาลนั้นในฐานะผู้ผดุงครรภ์ และได้เห็นกรณีที่คล้ายคลึงกันสามรายล่าสุดต้องเข้าห้องไอซียู ฉันรู้ว่าฉันต้องการการรักษาแบบไหนและต้องการมันทันที
‘In spite of being extremely poorly, I tried to take charge of my own care and harassed unwilling colleagues to take me seriously, but in a black comedy of errors they procrastinated, disbelieved, misdiagnosed, neglected and overdosed me, allowing the chicken pox the opportunity to spread viciously and to infect my lungs.
‘แม้จะป่วยหนักมาก แต่ฉันก็พยายามจัดการดูแลตัวเองและรบเร้าเพื่อนร่วมงานที่ไม่เต็มใจจะรับฟังฉันอย่างจริงจัง และในความวุ่นวายที่เหมือนตลกร้าย พวกเขาชักช้า ไม่เชื่อ วินิจฉัยผิด ละเลย และให้ยาเกินขนาด ทำให้อีสุกอีใสมีโอกาสลุกลามอย่างรุนแรงและติดเชื้อที่ปอด
‘Ever vigilant and observant, my colleagues thought it might be useful to check my oxygen levels after I had turned blue, and there were shocked gasps when the oximeter announced the level at 64%. All hell then broke loose as nobody could understand why I wasn’t already dead.
‘เพื่อนร่วมงานที่คอยเฝ้าระวังและสังเกตการณ์คิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์ที่จะตรวจวัดระดับออกซิเจนหลังจากที่ฉันเริ่มมีอาการตัวเขียว และทุกคนถึงกับอุทานด้วยความตกใจเมื่อเครื่องวัดออกซิเจนแสดงระดับที่ 64% จากนั้นทุกอย่างก็วุ่นวายไปหมดเพราะไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมฉันยังไม่ตายไปแล้ว
‘I was hurtled through the hospital to the operating theatre as an anesthetic colleague whispered gravely in my ear. ‘Your blood gasses are disastrous. We will have to deliver your baby to save your life. I’m sorry, do you understand what I’m telling you.’ Apparently, I didn’t say anything, but I remember clearly screaming (obviously in my mind), ‘Of course I bloody know what you’re telling me. I told you that a week ago, you bunch of incompetent morons!’
‘ฉันถูกรีบนำตัวผ่านโรงพยาบาลไปยังห้องผ่าตัด ขณะที่เพื่อนวิสัญญีแพทย์กระซิบที่หูฉันด้วยน้ำเสียงจริงจัง 'ค่าก๊าซในเลือดของคุณแย่มาก เราจะต้องทำคลอดลูกของคุณเพื่อช่วยชีวิตคุณ ฉันเสียใจ คุณเข้าใจสิ่งที่ฉันกำลังบอกไหม' เห็นได้ว่าฉันไม่ได้พูดอะไร แต่ฉันจำได้ชัดเจนว่ากำลังกรีดร้อง (แน่นอนว่าในใจ) 'แน่นอนว่าฉันรู้ดีว่าคุณกำลังบอกอะไร ฉันบอกพวกคุณไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พวกคนโง่ที่ไร้ความสามารถ!'
‘At least ten co-workers swooped down on me in a matter of seconds. They pulled, poked, stabbed and ripped, in frantic preparation for an emergency caesarean. I had never before felt such abject terror or such conviction that ‘this was it.’ Self preservation was so high that I didn’t give a toss when they couldn’t find my baby’s heartbeat. ‘What about me! I’m dying. For God’s sake, help me, please!’ I screamed over and over—again apparently in my mind.
‘เพื่อนร่วมงานอย่างน้อยสิบคนพุ่งเข้ามาหาฉันในเวลาไม่กี่วินาที พวกเขาดึง แทง เจาะ และฉีก ในการเตรียมการผ่าตัดคลอดฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน ฉันไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวขนาดนี้มาก่อน หรือรู้สึกมั่นใจว่า 'มันคงจะจบแค่นี้' สัญชาตญาณการเอาตัวรอดสูงมากจนฉันไม่สนใจด้วยซ้ำเมื่อพวกเขาไม่สามารถหาเสียงหัวใจลูกของฉันได้ 'แล้วฉันล่ะ! ฉันกำลังจะตาย ให้ตายเถอะพระเจ้า ได้โปรดช่วยฉันด้วย!' ฉันกรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า — อีกครั้งที่เป็นการกรีดร้องในใจ
‘The clearly agitated anaesthetist bent down and compassionately whispered, “For God’s sake calm down, you’ll be out in a minute,” and then again as I shed tears of utter desolation,
“and you can stop crying, your mucous membranes are inflamed enough already, without you making it even more difficult to intubate you!” He administered the anaesthetic and assuming that I had already taken effect, announced to everyone that despite how it seemed, there was no rush because the surgeon was “still eating a sandwich…”
‘วิสัญญีแพทย์ที่เห็นได้ชัดว่ากำลังกระวนกระวายใจก้มลงมาและกระซิบอย่างเห็นอกเห็นใจ “เพื่อพระเจ้า ใจเย็นๆ หน่อย อีกแป๊บเดียวก็จะหมดสติแล้ว” และพูดอีกครั้งขณะที่ฉันร้องไห้ด้วยความสิ้นหวัง “และหยุดร้องไห้ได้แล้ว เยื่อเมือกของคุณอักเสบมากพออยู่แล้ว ไม่ต้องทำให้การใส่ท่อช่วยหายใจยากขึ้นไปอีก!” เขาให้ยาสลบและคิดว่าฉันหมดสติไปแล้ว จึงประกาศกับทุกคนว่าถึงแม้จะดูเร่งด่วน แต่ไม่ต้องรีบ เพราะศัลยแพทย์ “ยังกินแซนด์วิชไม่เสร็จ...”
‘Broken, terrorized, desperate and alone, I was swept into the anaesthetic believing that I would die and that nobody gave a damn.
‘แตกสลาย หวาดกลัว สิ้นหวัง และโดดเดี่ยว ฉันจมดิ่งสู่ความมืดของยาสลบโดยเชื่อว่าฉันจะตาย และไม่มีใครสนใจเลยสักคน
‘I came round (although apparently I didn’t) briefly after the operation to find myself being ‘settled’ into intensive care. There were many workers worriedly busying themselves around me, but it was as if they were all in soft focus--all except one, who stood clearly to my left side and was dressed in a slightly outmoded, starched white uniform.
She smiled and spoke to me with a soft, reassuring voice. ‘Now, now, you’re to let these people just get on with it. It’s OK. They know what they’re doing. You’re safe with me. Sleep now.’
‘ฉันฟื้นขึ้นมา (แม้ว่าดูเหมือนฉันจะยังไม่ฟื้น) ชั่วครู่หลังการผ่าตัด พบว่าตัวเองกำลังถูก 'จัดการ' เข้าห้องไอซียู มีเจ้าหน้าที่หลายคนกำลังวุ่นวายอยู่รอบตัวฉันด้วยความกังวล แต่เหมือนว่าพวกเขาทั้งหมดอยู่ในภาพที่เบลอ — ยกเว้นคนหนึ่งที่ยืนอยู่ชัดเจนทางด้านซ้ายของฉัน เธอสวมชุดพยาบาลสีขาวแบบเก่าที่แข็งทื่อด้วยแป้ง เธอยิ้มและพูดกับฉันด้วยเสียงนุ่มนวลที่ทำให้รู้สึกอุ่นใจ 'นอนพักเถอะ ปล่อยให้คนพวกนี้ทำหน้าที่ของพวกเขาไป ไม่ต้องกังวล พวกเขารู้ว่ากำลังทำอะไร คุณปลอดภัยอยู่กับฉัน หลับพักเถอะ'
‘Relieved that I had made it through the op and reassured by her implacable calm, I allowed myself to go back to ‘sleep.’ Almost immediately I felt pulled into a vortex-type sensation. What the heck was this? As I ebbed through it I was jabbed with dozens of sudden flashes of experiences.
Each flash paused the ride for what seemed like a second and a lifetime at the same time, in one flash I was stabbed, in another I ran over a dog, and in another I was running for my life in a bog-like field with mustard gas burning my lungs, split-second aware of every molecule of my physical body being ripped apart by an explosion.
‘โล่งใจที่ฉันผ่านการผ่าตัดมาได้ และรู้สึกอุ่นใจจากความสงบนิ่งที่ไม่มีวันสั่นคลอนของเธอ ฉันปล่อยตัวเองกลับไปสู่การ 'หลับ' แทบจะในทันที ฉันรู้สึกถูกดึงเข้าไปในความรู้สึกเหมือนวังวน นี่มันอะไรกัน? ขณะที่ฉันล่องลอยผ่านมัน ฉันถูกกระทุ้งด้วยภาพแฟลช (การปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง) ของประสบการณ์นับสิบ
แต่ละภาพแฟลชหยุดการเดินทางไว้ในสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นวินาทีเดียวและชั่วชีวิตในเวลาเดียวกัน ในภาพแฟลชหนึ่งฉันถูกแทง ในอีกภาพแฟลชหนึ่งฉันขับรถชนสุนัข และในอีกภาพแฟลชหนึ่งฉันกำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอดในทุ่งที่เหมือนหนองน้ำโคลน โดยมีแก๊สมัสตาร์ดเผาไหม้ปอดของฉัน รู้สึกได้ในชั่ววินาทีถึงทุกโมเลกุลของร่างกายที่กำลังถูกฉีกออกจากกันด้วยการระเบิด
‘These flashes were not just presented images, they were relived. I could taste, hear, smell, and see everything. I had no conscious recollection of any of this and yet I knew with certainty that every one of these events had at some time, somehow happened to me.’
‘ภาพแฟลชเหล่านี้ไม่ใช่แค่ภาพที่ถูกนำเสนอ แต่มันคือการได้ใช้ชีวิตอีกครั้ง ฉันสามารถลิ้มรส ได้ยิน ได้กลิ่น และเห็นทุกอย่าง ฉันไม่มีความทรงจำในตอนที่รู้ตัวเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย แต่กลับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเหตุการณ์เหล่านี้ทุกเหตุการณ์เคยเกิดขึ้นกับฉันในบางเวลา ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม'
N : (Hold it. I have to interrupt here. Didn’t you tell me, earlier in this conversation, something about this? When I was asking you what happens when a person dies, didn’t you say something about this?
นีล : (หยุดก่อน ผมต้องขอขัดจังหวะตรงนี้ พระองค์เคยบอกผมเรื่องนี้มาก่อนในการสนทนาครั้งก่อนใช่ไหมครับ❓ ตอนที่ผมถามว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนเราตาย พระองค์เคยพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ใช่ไหมครับ❓
G : “I did. I said that if you die, and if you belief in reincarnation, you may experience moments from previous lives of which you have no previous conscious memory.”
พระเจ้า : “ใช่แล้ว ฉันเคยบอกว่าถ้าเธอตาย และถ้าเธอเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เธออาจจะได้ประสบกับช่วงเวลาต่างๆ จากชีวิตก่อน ๆ ที่เธอไม่เคยมีความทรงจำตอนที่รู้สึกตัวมาก่อน”
N : I thought so. So this is, as the British would say. ‘spot on.’
นีล : ผมคิดว่าอย่างนั้น นี่มัน ‘ตรงเป๊ะเลย’ อย่างที่ชาวอังกฤษชอบพูด
G : “With one exception. There is no suffering of any kind in the Afterlife.”
พระเจ้า : “แต่มีข้อยกเว้นอยู่อย่างหนึ่ง #ในโลกหลังความตายนั้นไม่มีความทุกข์ทรมานใด ๆ ทั้งสิ้น”
N : Hmmm…
นีล : อืมมม...
G : “Elizabeth was having some of this experience on ‘this side’ of death, and some on the other. She was, truly, between two worlds. Had she been fully in the Afterlife during this first part of her experience, she would have experienced no pain or fear or suffering of any kind.”
พระเจ้า : “เอลิซาเบธกำลังมีประสบการณ์บางอย่างใน 'ฝั่งนี้' ของความตาย และบางอย่างในอีกฝั่งหนึ่ง เธออยู่ระหว่างสองโลกจริงๆ ถ้าเธออยู่ในชีวิตหลังความตายอย่างสมบูรณ์ในช่วงแรกของประสบการณ์นี้ เธอจะไม่รู้สึกเจ็บปวด หวาดกลัว หรือทุกข์ทรมานใด ๆ เลย”
N : Okay, let’s get back to Elizabeth’s narrative.)
นีล : โอเคครับ กลับไปที่เรื่องราวของเอลิซาเบธต่อกันเถอะ)
‘The Rollercoaster rode on, and then as snap fast as it started, it stopped. All sensation left, there was literally nothing. Blackness. Initially, I was relieved. Thank you, thank you. I called out. The fear subsided and I began to weight up my surrounding. Black. Nothing. I waited. Nothing, I whistled, shuffled and hh-hmmed in my mind. Nothing. Panic began to seep in and I began to question.
‘รถไฟเหาะวิ่งต่อไป แล้วจู่ๆ ก็หยุดเร็วพอๆ กับตอนที่มันเริ่ม ความรู้สึกทั้งหมดหายไป ไม่มีอะไรเลยจริงๆ มีแต่ความมืด ตอนแรกฉันรู้สึกโล่งใจ “ขอบคุณ ขอบคุณ” ฉันร้องออกมา ความกลัวค่อยๆ จางหายไป และฉันเริ่มประเมินสิ่งรอบตัว มืดมิด ไม่มีอะไรเลย ฉันรอ ไม่มีอะไร ฉันผิวปาก เคลื่อนไหว และส่งเสียงฮึมฮัมในความคิด ไม่มีอะไร ความตื่นตระหนกเริ่มแทรกซึม และฉันเริ่มตั้งคำถาม
‘Oh, my God, Am I dead? Is this it? Really, after all that, an eternity of nothing except me?’
‘โอ้ พระเจ้า ฉันตายแล้วหรือ? นี่คือทั้งหมดงั้นหรอ? จริงๆ หรือนี่ หลังจากทั้งหมดนั้น มีแค่ความว่างเปล่าชั่วนิรันดร์กับตัวฉันเท่านั้นหรอ?’
‘Increasing panic. Still, nothing. Increasing and anger.
‘ความตื่นตระหนกเพิ่มขึ้น ยังคงไม่มีอะไร ความกลัวและความโกรธเพิ่มขึ้น
“What, no bright light, no guide to ease my transition? Where’s my dad? The very least he can do is show up! Oh, come on. NO. Help. Please. What the hell did I do? Am I dead? Where is anyone? Oh, God, no, please. I want to see my baby. What about my baby? Is she dead? PLEASE. I’m begging. I don’t want to die.”
“อะไรกัน ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีผู้นำทางมาช่วยในการเปลี่ยนผ่านของฉันเลยหรือ❓ พ่อฉันอยู่ไหน❓ อย่างน้อยที่สุดเขาก็ควรจะมาปรากฏตัวสิ❗ โอ้ อย่านะ ไม่ ช่วยด้วย ได้โปรด ฉันทำอะไรผิดไป❓ ฉันตายแล้วหรือ❓ ทุกคนอยู่ไหนกัน❓ โอ้ พระเจ้า ไม่นะ ได้โปรด ฉันอยากเห็นลูกของฉัน แล้วลูกของฉันล่ะ❓ เธอตายแล้วหรือ❓ ได้โปรด ฉันขอร้อง ฉันไม่อยากตาย”
‘Nothing. Finally. I was quiet and in a state of numb calm.
‘ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ในที่สุด ฉันก็เงียบและอยู่ในภาวะสงบนิ่งชา
‘What makes you think you’re dead?’
“ทำไมเธอถึงคิดว่าเธอตายล่ะ❓”
'My unconscious ears pricked up. I scrambled my unconscious self together. Hang on, I recognized the voice of the nurse by my bedside.
‘หูที่ไร้สติของฉันผึ่งขึ้น ฉันพยายามรวบรวมตัวตนที่ไร้สติของฉัน เดี๋ยวก่อน ฉันจำเสียงของพยาบาลข้างเตียงได้
'Thank God, where have you been? Where the heck am I? How do I get out?'
‘ขอบคุณพระเจ้า คุณหายไปไหนมา❓ ฉันอยู่ที่ไหนกัน❓ ฉันจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง❓’
“What makes you think that you’re dead?”
“อะไรทำให้คุณคิดว่าคุณตายล่ะ❓”
‘Yes, yes. OK. I get it. I’m not dead because I can hear you. What, am I in some weird anaesthetic reaction?’
'ใช่ ๆ ตกลง ฉันไม่ตายเพราะฉันได้ยินคุณ แล้วนี่คือปฏิกิริยาจากยาสลบหรือไง?'
‘Dramatic sigh…“WHAT MAKES YOU THINK YOU’RE DEAD?”
‘ถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ... “อะไรทำให้คุณคิดว่าคุณตายล่ะ❓”
‘Okaaay. This is weird. Who are you and why do you keeping asking me that?’
‘โอเค นี่มันแปลกจริง ๆ คุณเป็นใคร และทำไมถึงยังคงถามฉันแบบนี้❓’
“You asked me. Now, what makes…”
"คุณถามฉันเอง ตอนนี้ อะไรทำให้..."
‘And an exhausting discussion began, which seemed to have lasted for days. As I ranted and raved at how unfair, unjust and cruel it was that I was here, wherever the bleep ‘here’ was, she countered my every argument. She challenged my right to live, questioning what made me any more special than anyone else. I was incandescent with rage as I just couldn’t get through to this dense maniac.
‘และการสนทนาอันน่าเหนื่อยหน่ายก็เริ่มขึ้น ราวกับว่าได้ดำเนินไปหลายวัน ขณะที่ฉันโวยวายถึงความไม่ยุติธรรม โหดร้าย และทารุณที่ฉันต้องมาอยู่ที่นี่ ณ ที่ซึ่งฉันไม่รู้ว่าคือที่ไหน เธอก็โต้แย้งทุกข้อโต้แย้งของฉัน เธอท้าทายสิทธิ์ในการมีชีวิตของฉัน ด้วยการตั้งคำถามว่าอะไรทำให้ฉันพิเศษกว่าคนอื่น ฉันโกรธจนแทบระเบิด เพราะฉันไม่สามารถสื่อสารกับคนที่ดื้อดึงคนนี้ได้เลย
‘And then the flicker-book started. You know, just like the book of stick men pictures that you draw in sequential frames and then thumb through to animate it. As it started, I recognized the characters from the movie. This was my life. “Ah, ha!’ I sneered, ‘that old chestnut, I must be dead if my life is flashing before my eyes.’ No response, just the deep sigh and WHAM!
‘แล้วหนังสือภาพเคลื่อนไหวก็เริ่มขึ้น คุณรู้ไหม มันเหมือนกับหนังสือที่มีรูปคนตัวเล็ก ๆ ที่คุณวาดในกรอบต่อเนื่อง แล้วเอานิ้วปัดไปเพื่อให้มันเคลื่อนไหว เมื่อเริ่มขึ้น ฉันก็จำตัวละครในภาพยนตร์ได้ นี่คือชีวิตของฉัน "อ๊ะ❗" ฉันยิ้มเยาะ 'นั่นสินะ ชีวิตฉันกำลังวูบผ่านตา แสดงว่าฉันตายไปแล้วแน่ๆ' ไม่มีการตอบสนอง มีแต่เสียงถอนหายใจลึก และแล้วก็ - บึ้ม❗
‘I was struck deep down to my soul as I felt the full impact of every frame. They flickered past in an instant and yet I swear that I felt the full force of every single moment not just as if I were reliving it but as if every other soul affected by it were also reliving it through me.
'ฉันรู้สึกกระทบกระเทือนถึงจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้ง เมื่อรับรู้ถึงผลกระทบของทุกภาพอย่างเต็มที่ ภาพเหล่านั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ฉันสาบานได้ว่ารู้สึกถึงพลังอย่างเต็มที่ของทุกช่วงเวลา ไม่เพียงแค่ราวกับว่าฉันกำลังใช้ชีวิตซ้ำ แต่ราวกับว่าวิญญาณอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องก็กำลังใช้ชีวิตซ้ำผ่านตัวฉันด้วย
‘These were not the catalogue of moments from my life that I would have compiled given any conscious thought. There were very few momentous, easily recalled events. This was not my airbrushed autobiography.
For much of the time the images ran in date order from birth onwards, but there were times when the events were connected in some way and then the images lurched forwards and backwards in time, giving me the full understanding of the consequences of whatever the thought, action or deed may have been.
'สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่บันทึกช่วงเวลาในชีวิตที่ฉันจะรวบรวมขึ้นมาได้หากต้องคิดอย่างมีสติ มีเหตุการณ์สำคัญที่จดจำได้ง่ายเพียงไม่กี่เหตุการณ์ นี่ไม่ใช่อัตชีวประวัติที่ถูกแต่งแต้มให้สวยงาม ส่วนใหญ่ภาพเหล่านี้เรียงลำดับตามวันที่นับจากวันเกิดเป็นต้นมา แต่บางครั้งเหตุการณ์ก็เชื่อมโยงกันในบางทาง และภาพก็กระโดดไปมาในช่วงเวลาต่าง ๆ ทำให้ฉันเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงผลลัพธ์ของความคิด การกระทำ หรือการกระทำที่อาจเกิดขึ้น
‘They were recollections from the full spectrum of emotions, what I would now recognize as moments when I had the opportunity to either show or be shown aspects of divinity. I realized that most often it was not the high drama times of my life that had the most impact.
It was the effect of the seemingly unremarkable events that rippled through time. From the hurt and distress a casual catty comment had made, to the unbridled joy and achievement of riding my bike without stabilizers for the first time.
'สิ่งเหล่านี้เป็นความทรงจำที่ครอบคลุมอารมณ์อย่างกว้างขวาง สิ่งที่ฉันได้รู้จักในตอนนี้คือช่วงเวลาที่ฉันมีโอกาสที่จะแสดงหรือถูกแสดงให้เห็นถึงแง่มุมแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ฉันตระหนักได้ว่าส่วนใหญ่แล้ว ไม่ใช่ช่วงเวลาที่มีความสำคัญแบบละครดราม่าในชีวิตที่มีผลกระทบมากที่สุด
แต่เป็นผลกระทบของเหตุการณ์ที่ดูเหมือนไร้ความหมายที่ส่งคลื่นกระเพื่อมผ่านกาลเวลา จากความเจ็บปวดและความทุกข์ที่เกิดจากคำวิจารณ์อย่างเสียดสีโดยไม่ได้ตั้งใจ ไปจนถึงความปลาบปลื้มยินดีและความสำเร็จของการขี่จักรยานโดยไม่ต้องใช้ล้อช่วยเป็นครั้งแรก
‘I remember the emotion and truth of each frame as if it is now imprinted on me, but I struggle to remember with any clarity the specifics of the events attached to it. It is as if the physical events lost their significance once their value was understood. As I recollect it now, I never felt judged and I didn’t judge myself—I simply understood that I had seen my true self.
'ฉันจดจำอารมณ์และความจริงของแต่ละภาพราวกับมันบันทึกอยู่ในตัวฉันแล้ว แต่ฉันกลับยากที่จะจดจำรายละเอียดของเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน ราวกับว่าเหตุการณ์ทางกายภาพสูญเสียความสำคัญไปเมื่อคุณค่าของมันถูกเข้าใจแล้ว ในขณะที่ฉันระลึกถึงมันได้ในตอนนี้ ฉันไม่ได้รู้สึกว่าถูกตัดสินอะไรเลย และฉันก็ไม่ได้ตัดสินตัวเองด้วย — ฉันเพียงแค่เข้าใจว่าฉันได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
‘Once the flicker-book finished, I was literally exhausted. I still clung to the idea that I had to win the argument, that I had to prove my right to live, and yet the flicker-book had taken almost all of the wind right out of that sail and a desperate desire to hold my child and be with my loved ones was all that I had left to fight with.
'เมื่อหนังสือภาพเคลื่อนไหวสิ้นสุดลง ฉันรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่สุด ฉันยังคงยึดมั่นกับแนวคิดที่ว่าฉันต้องชนะการโต้เถียง ว่าฉันต้องพิสูจน์สิทธิ์ในการมีชีวิต แต่หนังสือภาพเคลื่อนไหวได้ดึงพลังจากความคิดนี้ออกไปแทบหมด และความปรารถนาอย่างสิ้นหวังที่จะกอดลูกและอยู่กับคนที่รักเป็นสิ่งเดียวที่ฉันยังคงมีเหลืออยู่เพื่อต่อสู้'
‘Even that ardent wish was somehow subdued by the aftermath of the life-review. I tried to argue, but my heart wasn’t in it. Every statement of question was offset by perfect response. Finally I whimpered, ‘You know what . You win. I can’t fight anymore. I have nothing left to give. I give up.’
'แม้แต่ความปรารถนาอย่างรุนแรงนั้นก็ถูกบรรเทาลงด้วยผลกระทบจากการทบทวนชีวิต ฉันพยายามโต้แย้ง แต่หัวใจของฉันไม่ได้อยู่กับมัน ทุกคำถามหรือข้อความถูกหักล้างด้วยคำตอบที่สมบูรณ์ ในที่สุด ฉันก็สะอื้น "คุณรู้ไหม คุณชนะแล้ว ฉันสู้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ฉันไม่มีอะไรเหลือที่จะมอบให้แล้ว ฉันยอมแพ้"
‘Almost before I had even thought the words, I felt immediate relief. The healing that I had bitterly thought was fruitless flooded into my existence and literally enveloped me in a buffer of unconditional support. It was nurturing reassuring and energizing, and it was as if all those wonderful souls were right there with me, holding my very existence in their arms and keeping it safe.
'แทบจะในทันทีที่ฉันคิดประโยคเหล่านั้น ฉันรู้สึกถึงความโล่งใจในทันใดนั้น การเยียวยาที่ฉันเคยคิดว่าไร้ประโยชน์ได้ไหลท่วมเข้าสู่การดำรงอยู่ของฉัน และโอบล้อมฉันด้วยการสนับสนุนอย่างไร้เงื่อนไข มันให้ความรู้สึกเลี้ยงดู มั่นใจ และเติมพลัง ราวกับว่าวิญญาณอันแสนวิเศษเหล่านั้นอยู่ตรงนั้นกับฉัน กอดชีวิตของฉันไว้และปกป้องให้ปลอดภัย
‘Suddenly, I was swept from that wonderful place into a phenomenal experience. I have no idea how but I experience myself flying over a landscape of snowcapped mountains, vast lakes, forest and grassland. I flew over and past a tribe of Native Americans, unlike anything I have ever seen them pictured or described as. I watched a mother watching her children with such serene pride that it was awe-inspiring and then I flew past them up to the top of an imposing mountain in the distance.
'ทันใดนั้น ฉันถูกพัดพาออกจากสถานที่อันน่าอัศจรรย์นั้นไปสู่ประสบการณ์อันน่าเหลือเชื่อ ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ฉันรู้สึกว่าตัวเองบินเหนือภูมิประเทศที่มีภูเขาปกคลุมด้วยหิมะ ทะเลสาบขนาดใหญ่ ป่าไม้ และทุ่งหญ้า ฉันบินผ่านและอยู่เหนือเผ่าชนพื้นเมืองอเมริกัน แตกต่างจากที่เคยเห็นในภาพหรือได้ยินมาอย่างสิ้นเชิง ฉันมองดูแม่คนหนึ่งกำลังมองลูกๆ ของเธอด้วยความภาคภูมิใจอย่างสงบ จนน่าอัศจรรย์ แล้วฉันก็บินผ่านพวกเขาขึ้นไปยังยอดเขาสูงตระหง่านในระยะไกล
‘Right at the top I came face to face with what I presumed to be a guide, he was a Native American chieftain and as I looked into his well-worn, lined faced and was captured by his eyes, what desperation I had left dissolved. I felt with every fibre of my being that he helped me realise an utterly profound truth but all I can consciously remember is that he told me, ‘You must be patient, but you will be three.’
'ที่ยอดเขา ฉันเผชิญหน้ากับสิ่งที่ฉันคาดว่าเป็นผู้นำทาง เขาเป็นหัวหน้าเผ่าชนพื้นเมืองอเมริกัน และเมื่อฉันมองลึกเข้าไปในใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยและถูกจับตาด้วยดวงตาของเขา ความสิ้นหวังที่เหลืออยู่ก็สลายไป ฉันรู้สึกด้วยทุกเส้นใยของการดำรงอยู่ว่าเขาช่วยให้ฉันตระหนักถึงความจริงอันลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่สิ่งเดียวที่ฉันจำได้อย่างชัดเจนคือ เขาบอกว่า "คุณต้องอดทน แต่คุณจะเป็นสาม"
‘And in an instant I slept and seemingly instantly woke in intensive Care, and then the hard part began!
'และในชั่วพริบตานั้น ฉันหลับลง และเหมือนจะตื่นขึ้นอย่างทันทีในหอผู้ป่วยวิกฤต และแล้วช่วงเวลาที่ยากลำบากก็เริ่มขึ้น❗
‘I was told that I had been unconscious for nine days in a semi-natural/semi drug-induced coma. A couple of my nurses told me that I had gone into respiratory arrest twice during that time and needed the full support of the ventilator at those times.
'ฉันได้รับการบอกว่าฉันหมดสติไปเป็นเวลาเก้าวัน ในสภาวะโคม่าแบบกึ่งธรรมชาติ/กึ่งยา พยาบาลบางคนบอกฉันว่าฉันหยุดหายใจสองครั้งในช่วงเวลานั้น และต้องพึ่งเครื่องช่วยหายใจอย่างเต็มที่ในช่วงเวลาเหล่านั้น
‘Most interesting to me, however, was a period of approximately six hours during which my heart was stuck in an unexpected, dysfunctional rhythm called atrial fibrillation. My heart was beating so fast during that time that it was quite literally flickering, just like my ‘flicker-book,’ This ‘flickering’ neither worsened or improved my physical condition, and it would not respond to any medication given to resolve it.
'สิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับฉันคือช่วงเวลาประมาณหกชั่วโมงที่หัวใจของฉันอยู่ในจังหวะที่ไม่คาดคิดและผิดปกติที่เรียกว่าหัวใจห้องบนเต้นพร่า หัวใจของฉันเต้นเร็วมากในช่วงเวลานั้น จนแทบจะกะพริบเหมือนกับ 'หนังสือภาพเคลื่อนไหว' ของฉัน การ 'กะพริบ' นี้ไม่ได้ทำให้สภาพทางกายภาพของฉันแย่ลงหรือดีขึ้น และไม่ตอบสนองต่อยาใดๆ ที่ให้เพื่อแก้ไข
‘Much to the doctor’s surprise the fibrillation suddenly and seemingly inexplicably resolved itself. At this point, one of the doctors suddenly remembered a fact from a previous case that she had dealt with and started a course of treatment that undoubtedly saved my life.
I believe that once I ‘gave up’ and the healing flooded in, my body allowed itself to respond and vital information was ‘given’ to the medics. That my mind, body and soul were realigning, just as the chieftain had promised—‘You must be patient, but you will be three.’
'ซึ่งน่าประหลาดใจสำหรับแพทย์ การเต้นพร่าของหัวใจนี้กลับหายไปอย่างฉับพลันและดูเหมือนไร้เหตุผล ณ จุดนี้ แพทย์คนหนึ่งนึกถึงข้อเท็จจริงจากกรณีก่อนหน้านี้ได้ และเริ่มการรักษาที่ไม่สงสัยเลยว่าช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ฉันเชื่อว่าเมื่อฉัน 'ยอมแพ้' และการเยียวยาไหลท่วม ร่างกายของฉันจึงยอมให้ตัวมันเองตอบสนอง และข้อมูลสำคัญถูก 'มอบให้' กับแพทย์ ราวกับว่าจิตใจ ร่างกาย และวิญญาณของฉันกำลังปรับเข้าสู่แนวเดียวกัน เช่นเดียวกับที่หัวหน้าเผ่าสัญญา — 'คุณต้องอดทน แต่คุณจะเป็นสาม'
‘My daughter; Lilie, is very much alive and well, a force of nature no less, and I was watching a TV programme and saw the exact landscape that I had flown over. I investigated where it was filmed and we are going to visit there in August. I have discovered many facts about the area that make me believe that there are people and resources there that will help me to continue the healing process.’
'ลูกสาวของฉัน ลิลี่ ยังมีชีวิตอยู่และสบายดี เป็นพลังธรรมชาติไม่มีผิด และฉันกำลังดูรายการโทรทัศน์และเห็นภูมิประเทศที่ฉันเคยบินผ่านอย่างถูกต้อง ฉันสืบสวนว่าที่นั่นถ่ายทำที่ไหน และเราจะไปเยือนที่นั่นในเดือนสิงหาคม ฉันค้นพบข้อเท็จจริงหลายอย่างเกี่ยวกับพื้นที่นั้น ซึ่งทำให้ฉันเชื่อว่ามีผู้คนและทรัพยากรที่จะช่วยให้ฉันดำเนินกระบวนการเยียวยาต่อไป'
➖➖➖จบบทที่ 30➖➖➖

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา