9 ม.ค. เวลา 08:04 • หนังสือ

#45 HWG : บทที่ 3️⃣1️⃣ : ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “จุดสิ้นสุดของวิวัฒนาการ”

▪️ผู้แปล : อุดม (แอดมิน)
✴️ เพื่ออรรถรสในการอ่านแนะนำให้โหลด 'ไฟล์ภาพ' ไปอ่านครับ :
 
THE FIFTEENTH REMEMBRANCE
ความทรงจำที่ 1️⃣5️⃣
The individual moments of your life are what you used to create your experience of Self.
ช่วงเวลาต่างๆในชีวิตของเธอคือสิ่งที่เธอใช้สร้างประสบการณ์ของตนเอง
Chapter 3️⃣1️⃣
Neale : Now isn’t that fascinating? How close is Elizabeth’s experience to what actually happens after death?
นีล : นั่นไม่น่าทึ่งหรอกหรือ❓ ประสบการณ์ของเอลิซาเบธใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังความตายมากแค่ไหนครับ❓
God: “It IS what happened to her, as she moved deeper and deeper into the passage between physical life and the spiritual realm. As I said very early in our conversation, the experience is different for everyone in many respects—and there are some things that occur in every case. The ‘life review’ is one of them.”
พระเจ้า : "นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ ขณะที่เธอเคลื่อนลึกเข้าไปในช่วงผ่านระหว่างชีวิตทางกายภาพและอาณาจักรทางวิญญาณ ตามที่ฉันได้พูดไปตั้งแต่ช่วงต้นของการสนทนา ประสบการณ์ของแต่ละคนนั้นจะแตกต่างกันออกไปในหลากหลายแง่มุม —แต่มีบางสิ่งที่จะเกิดขึ้นในทุกกรณี (เกิดกับทุกคนหลังจากที่ตาย) ซึ่ง 'การทบทวนชีวิต' คือหนึ่งในนั้น"
N : But that life review sounds as if it could be painful. I mean some of the moments from my own life might be unpleasant, either because of something that I experienced, or because of what I now notice that I caused someone else to experience.
นีล : แต่การทบทวนชีวิตดูเหมือนจะน่าเจ็บปวด ผมหมายถึงบางช่วงเวลาของชีวิตผมอาจจะไม่พึงพอใจกับมัน ไม่ว่าจะเป็นเพราะบางสิ่งที่ผมประสบ หรือเพราะสิ่งที่ผมตระหนักได้ในตอนนี้ว่าผมทำให้ผู้อื่นประสบ
G : “There is no pain or discomfort at all."
พระเจ้า : "มันจะไม่มีความเจ็บปวดหรือความไม่สบายใดๆเลย"
N : Oh, that’s right. I forgot.
นีล : โอ้ ใช่ครับ ผมลืมไป
G : “Remember that you dropped your sense of personal identity with your mind, and with the thoughts you’ve held about yourself there, in the second stage of death. In the third stage, you merged with the Oneness.”
พระเจ้า : "จำไว้ว่าเธอได้ปล่อยวางอัตลักษณ์ส่วนบุคคลของเธอพร้อมกับจิตใจ และความคิดที่เธอมีเกี่ยวกับตัวตนนั้นในขั้นที่สองของความตาย ในขั้นที่สาม เธอได้หลอมรวมเข้ากับความเป็นหนึ่งเดียวกันนั้น"
N : And that Moment of Mergence I stepped away from my last sense of personal identity with the individual aspect of being that I have called ‘me.’ I stood aside from ‘me,’ seeing ‘me’ clearly, but not identifying at an emotional level with the being that I was seeing.
นีล : และในช่วงเวลาแห่งการหลอมรวม ผมได้ถอยห่างออกจากอัตลักษณ์ส่วนบุคคลครั้งสุดท้ายของการเป็นตัวตนปัจเจกที่ผมเคยเรียกว่า 'ตัวผมคนนั้น' ผมยืนถอยออกมาจาก 'ตัวผมคนนั้น' และมองเห็น 'ตัวผมคนนั้น' ได้อย่างกระจ่างชัด แต่ไม่ได้เชื่อมโยงทางอารมณ์ใดๆกับตัวตนนั้นที่ผมกำลังมองอยู่
G : “Good. You understand.
พระเจ้า: "ดี เธอเข้าใจแล้ว
“Now, as we return to our metaphor, you are in the third stage of death, you’ve passed through the Moment of Mergence, and as you now experience in fullness of core of Your Being, you see all that is in the ‘art gallery,’ all the experience of your life, and you can look at them objectively, as if you were flipping through a picture book, or watching a movie or studying a great work of art—which each experience is.
You study each moment until you feel that you understand it. Then you move on to the next image, the next moment, the next ‘painting.’
"ตอนนี้ เมื่อเรากลับมาที่อุปมาของเรา เธออยู่ในขั้นที่สามของความตาย เธอผ่านช่วงเวลาแห่งการหลอมรวมมาแล้ว และในขณะที่เธอกำลังมีประสบการณ์ถึงแก่นแท้แห่งความเป็นเธออยู่อย่างเต็มที่ เธอจะเห็นทุกสิ่งในห้อง 'แกลเลอรี่ศิลปะ' ทุกประสบการณ์ของชีวิตเธอ และเธอสามารถมองพวกมันได้อย่างเป็นกลาง ราวกับว่าเธอกำลังพลิกหน้าหนังสือภาพ หรือกำลังดูภาพยนตร์ หรือกำลังศึกษางานศิลปะชิ้นเอก —ซึ่งแต่ละประสบการณ์ก็เป็นเช่นนั้น
เธอศึกษาพินิจพิเคราะห์ในแต่ละช่วงเวลาอย่างละเอียดถี่ถ้วนจนกว่าเธอจะรู้สึกว่าเธอเข้าใจมันแล้ว จากนั้นเธอก็จะเคลื่อนไปยังภาพถัดไป ช่วงเวลาถัดไป 'ภาพวาด' ถัดไป
“In this way you move through and around the entire gallery; you make sure that you have seen the complete collection. Every moment is important to you, because you realize as you examine the individual moments of your life that those moments are what you used to create your experience of Self—and soon you are going to decide how you wish to re-create your Self anew."
"ด้วยวิธีนี้ เธอจะเคลื่อนผ่านและเดินรอบทั้งแกลเลอรี่ เธอจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าเธอได้เห็นคอลเลกชันทั้งหมดแล้ว ทุกช่วงเวลาสำคัญต่อเธอ เพราะเธอตระหนักในขณะที่ตรวจสอบช่วงเวลาต่าง ๆ ของชีวิตเธอได้ว่า ช่วงเวลาเหล่านั้นคือสิ่งที่เธอใช้สร้างประสบการณ์ของตนเอง —และในไม่ช้าเธอจะตัดสินใจว่าเธอปรารถนาที่จะสร้างตัวตนใหม่ของเธอขึ้นมาอย่างไร"
N : Okay, hold it one minute. I’m confused about one thing. I know this is all a metaphor, and not really ‘how it is’—
นีล : โอเคครับ หยุดตรงนี้สักครู่ ผมกำลังสับสนอยู่เรื่องหนึ่ง ผมรู้ว่านี่เป็นเพียงแค่การอุปมา และไม่ใช่ 'ความเป็นจริง' ที่แท้จริง—
G : “—describing ‘how it is’ without using metaphor would make it virtually impossible for you to comprehend.”
พระเจ้า : "—การอธิบาย 'ความเป็นจริง' โดยไม่ใช้อุปมาจะทำให้แทบเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเข้าใจ"
N : I understand. But even knowing this is a metaphor, I have to ‘pick it apart’ a little. There is one thing I am not clear about. I thought I ‘regained’ my identity when I emerged from the Essence, when my ‘meeting with God’ was over. Otherwise, how would I know ‘who I am’?
นีล : ผมเข้าใจครับ แต่แม้จะรู้ว่านี่เป็นเพียงแค่การอุปมา ผมก็ต้องวิเคราะห์มันบ้าง มีเรื่องหนึ่งที่ผมยังไม่กระจ่าง ผมคิดว่าผมคงได้ 'กลับคืนสู่' อัตลักษณ์เดิมในตอนที่ผมออกมาจากสภาวะแห่งการหลอมรวม เมื่อ 'การพบปะกับพระเจ้า' ของผมสิ้นสุดลง มิฉะนั้นแล้ว ผมจะรู้ได้อย่างไรว่า 'ผมคือใคร' ใช่ไหมล่ะครับ❓
G : “You do.”
พระเจ้า : "ใช่แล้ว"
N : Then how is it that I can go though this ‘life review’—take a look at all these pictures of moments from my life just lived— and not feel anything? I’ve done some pretty ugly things, I’m sorry to say. And a few nice things, too. How is it, if I have regained the identity that I shed in the early stages of death, that I don’t have any feelings of sadness or happiness or suffering over that?
นีล : ถ้าใช่ แล้วในตอนที่ผมกำลังผ่านกระบวนการ 'การทบทวนชีวิต' —มองดูภาพทั้งหมดของช่วงเวลาต่าง ๆ ของชีวิตที่เพิ่งผ่านมา —แต่กลับไม่รู้สึกอะไรเลย มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไงครับ❓ ผมทำเรื่องที่ค่อนข้างน่าอัปยศ ขออภัยที่ต้องบอกตรงๆ และก็ทำเรื่องดี ๆ บ้างเหมือนกัน แต่จะเป็นไปได้อย่างไรหากผมได้กลับคืนสู่อัตลักษณ์ที่สลัดทิ้งไปในช่วงแรกของความตาย แต่กลับไม่มีความรู้สึกเศร้า สุข หรือทุกข์ใดๆกับเรื่องเหล่านั้นเลย❓
G : “When your ‘meeting with God’ is over, you regain your awareness of the limited identity that you held in your last lifetime, true, but you do not move back into that identity. Rather, you experience your Self as much larger than that, much more unlimited.”
พระเจ้า : "เมื่อ 'การพบปะกับพระเจ้า' สิ้นสุดลง เธอจะกลับคืนสู่ 'การรับรู้ของอัตลักษณ์อันคับแคบจำกัด' ที่เธอมี ที่เป็นของชีวิตที่เพิ่งผ่านพ้นไป #นั่นเป็นความจริง# แต่เธอไม่ได้กลับเข้าไปในอัตลักษณ์นั้นอีก ตรงกันข้าม เธอจะสัมผัสได้ว่าตัวตนของเธอกว้างใหญ่กว่านั้นมาก และไร้ขีดจำกัดมากกว่านั้นมาก"
N : Let me see if I can draw an analogy of my own, just to see if I really understand this.
นีล : ให้ผมลองคิดอุปมาของตัวเองดู เพื่อดูว่าผมเข้าใจมันจริงๆหรือเปล่า
G :“Go.”
พระเจ้า : "เชิญ"
N : I’ve spent a lot of years in the theater, working in both community and professional theater in six states. So this is how I suddenly find myself thinking about what you’re telling me…
นีล : ผมใช้เวลาหลายปีในโรงละคร ทำงานทั้งในละครชุมชนและละครมืออาชีพใน 6 รัฐ ดังนั้นนี่คือวิธีที่ผมในทันใดนั้นก็คิดถึงสิ่งที่พระองค์กำลังบอกผม...
It would be as if I had stepped offstage after playing a role in which I had very limited abilities or skills, then took off my costume, changed into my street clothes, and stepped out of the theater and into the world as a fully capable and powerful being.
มันจะเหมือนกับว่าผมก้าวลงจากเวทีหลังจากแสดงบทบาทที่มีความสามารถหรือทักษะที่จำกัดจบลง จากนั้นถอดชุดนักแสดงออก เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าธรรมดา และก้าวออกจากโรงละครสู่โลกภายนอกในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถและทรงพลังอย่างเต็มที่
On the outside of the theater there’s a marquee display with flashing travel lights and photos of me in many of the key scenes from the show. I see myself in these pictures, in which I am grimacing or smiling or crying or shouting with terrible anger, but of course, I have no internal or emotional reaction to any of this.
I know it is not me —that I am standing there looking at these photos— but when I was inside, on the stage, the suffering and the pain and the joy that I displayed not only felt very real to the audience…it even felt real to me. That’s how good an actor I am❗
ที่หน้าโรงละครมีป้ายประกาศด้วยไฟกระพริบและภาพถ่ายของผมในฉากสำคัญหลายฉาก ผมเห็นตัวเองในภาพเหล่านี้ ซึ่งผมกำลังทำหน้าบูดบึ้งหรือยิ้ม หรือร้องไห้ หรือตะโกนด้วยความโกรธอย่างแรง แต่แน่นอน ผมไม่ได้มีปฏิกิริยาภายในหรือมีอารมณ์ร่วมกับสิ่งเหล่านี้เลย
ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่ตัวผม —ผมยืนอยู่ที่นั่นกำลังมองดูภาพเหล่านั้น— แต่เมื่อผมอยู่ข้างใน อยู่บนเวที ความทุกข์ ความเจ็บปวด และความยินดีที่ผมแสดงออกไม่เพียงแต่ดูเหมือนจริงต่อผู้ชมเท่านั้น... แต่รู้สึกเหมือนจริงต่อตัวผมเองด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าผมเป็นนักแสดงที่ดีเพียงใด❗
Still, looking at the photos now, I see how I might have played some of the scenes even better—or changed some scenes altogether. And so I determined to do that at the next performance. Then I’m on my way. First stop: the library. I want to know more about this character that I’m playing❗
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่กำลังมองดูภาพเหล่านั้นอยู่ในตอนนี้ ผมเห็นว่าผมอาจจะแสดงบางฉากได้ดียิ่งขึ้น —หรืออาจจะเปลี่ยนบางฉากไปทั้งฉากเลย และดังนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะทำเช่นนั้นในการแสดงครั้งต่อไป จากนั้นผมก็ออกเดินทาง จุดหมายแรกคือ: ห้องสมุด เพราะผมอยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวละครที่ผมกำลังแสดง❗
G : “Bravo❗ That’s a very good analogy❗ This is very close to what you experience as you move through the Core of Your Being reviewing the ‘art gallery’ of moments from your life. And as you leave the Core of Your Being you DO in a sense ‘go to the library to find out more about your character.’"
พระเจ้า: "ยินดีด้วย❗ นี่เป็นการอุปมาที่เยี่ยมมาก❗ นี่ใกล้เคียงมากกับสิ่งที่เธอจะได้ประสบในขณะที่เธอเคลื่อนผ่านแก่นแท้แห่งความเป็นเธอ ในความหมายหนึ่ง เธอได้ทบทวน 'แกลเลอรี่ศิลปะ' ของช่วงเวลาต่าง ๆ ในชีวิตของเธอ และเมื่อเธอออกจากแก่นแท้แห่งความเป็นเธอแล้วเธอก็ 'ไปที่ห้องสมุดเพื่อค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวละครของเธอ' "
N : But please tell me again, why do I bother? Why ever leave the Core? Part of me keeps wondering, even after all this explanation--why do I, why would I, ever leave the Essence? Why wouldn’t I remain immersed forever? Wouldn’t that be ‘heaven’?
นีล: แต่ได้โปรดบอกผมอีกครั้งทีว่า ทำไมผมถึงต้องทำเช่นนี้ด้วย❓ ทำไมถึงต้องออกจากแก่นแท้❓ บางส่วนของผมยังคงสงสัยอยู่ แม้หลังจากคำอธิบายทั้งหมดนี้ —ทำไมผม หรือเหตุใดผมจึงต้องออกจากสภาวะหลอมรวมกับแก่นแท้ด้วย❓ ทำไมผมถึงไม่อยู่ หลอมรวมอยู่กับมันตลอดไปเลยเล่า❓ นี่จะไม่เป็น 'สวรรค์' ที่แท้จริง* หรอกหรือไงครับ❓
(*ไม่ใช่สวรรค์แบบที่จิตสร้างขึ้นเองในระยะที่สองของความตาย)
G : “It is the nature of Life to express itself. That is what Life does. It cannot not do this, or it would not be. Now change the word ‘life’ in the above sentence. Notice that ‘life’ can also be called ‘God,’ ‘That Which Is,’ ‘the Essence,’ ‘the Energy,’ or whatever else you wish to call it. No matter what word you use, you are still talking about Life.
พระเจ้า : "มันเป็นธรรมชาติของชีวิตที่จะแสดงออกถึงตนเอง นี่คือสิ่งที่ชีวิตทำ มันไม่อาจไม่ทำเช่นนี้ได้ มิฉะนั้นมันก็จะไม่เป็นอะไรเลย ตอนนี้ให้เปลี่ยนคำว่า 'ชีวิต' ในประโยคข้างต้นเสียใหม่ พึงสังเกตว่า 'ชีวิต' ก็สามารถเรียกว่า 'พระเจ้า' 'สิ่งที่เป็นเช่นนั้น' 'สภาวะแก่นแท้' 'พลังงาน' หรืออะไรก็ได้ตามแต่ที่เธอต้องการ ไม่ว่าเธอจะใช้คำใด เธอยังคงพูดถึง ชีวิต
“In the process of self expression, Life quite literally ‘expresses’ Itself. That is, It pushes Itself out FROM Itself, giving birth to Itself as an aspect OF Itself, that it might Know Itself in Its Own Experience.”
"ในกระบวนการแสดงออกของตนเอง ชีวิตตีความได้อย่างตรงตัวว่า 'การแสดงออก', 'การสำแดงตัวมันเองออกมา' กล่าวคือ มันผลักดันตัวเองออกมาจากตนเอง ให้กำเนิดตัวมันเองในฐานะส่วนหนึ่งของตนเอง เพื่อที่จะได้รู้จักตัวเองผ่านประสบการณ์ของตัวเอง"
N : That is an handful, there. That is a lot to digest.
นีล : นี่เป็นเรื่องที่ซับซ้อนจริงๆครับ มีอะไรอีกมากมายหลายอย่างเลยที่ต้องค่อยๆทำความเข้าใจ
G : “Take it slowly. Take it easily. Consider it thought by thought, concept by concept:
พระเจ้า : "ค่อย ๆ คิด ค่อยเป็นค่อยไป พิจารณาไปทีละความคิด ทีละแนวคิด:
“1️⃣. In the process of Self expression, Life quite literally ‘expresses’ Itself.
"1️⃣. ในกระบวนการแสดงออกของตนเอง ชีวิต ตีความได้อย่างตรงตัวว่า 'การแสดงออก' ของตัวมันเอง หรือ 'การสำแดงตัวมันเองออกมา'
“2️⃣. To ‘express’ means to ‘push out.’ Life pushes Itself out from Itself.
"2️⃣. 'การแสดงออก' หมายถึง 'ผลักดันออก' ชีวิต ผลักดันตัวเองออกมาจากตนเอง
“3️⃣. In a sense, it gives birth TO Itself as an aspect OF Itself.
"3️⃣. ในความหมายหนึ่ง มันให้กำเนิดตัวมันเองในฐานะส่วนหนึ่งของตนเอง
“4️⃣. It does this so that it might Know Itself in Its Own Experience.”
"4️⃣. มันทำเช่นนี้เพื่อให้สามารถรู้จักตัวเองผ่านประสบการณ์ของตัวเอง"
N : That is what it really means to be born again.
นีล : นี่คือความหมายที่แท้จริงของการเกิดใหม่
G : “That is exactly what it means.”
พระเจ้า : "นั่นคือ ความหมายที่แท้จริงของการเกิดใหม่จริงๆ"
N : And I am ‘born again’ and move away from the Core so that I—in your words, now—may ‘better come to Know’ what I encountered at the Core ‘as real,’ through the perspective of distance.
นีล : และผมได้ 'เกิดใหม่' และเคลื่อนห่างออกจากแก่นแท้เพื่อที่ผม —ตามคำของพระองค์ในตอนนี้— จะสามารถ 'รู้จักได้ดียิ่งขึ้น' ในสิ่งที่ผมพบเจอที่แก่นแท้ว่า 'เป็นความจริง' ผ่านมุมมองแห่งระยะห่าง*
*ประมาณว่าต้องถอยออกไปจากจุดที่เป็นแก่นกลางนั้นเสียก่อน ถึงจะเห็นแก่นกลางนั้นได้เจนชัดขึ้น เพราะในตอนที่ยืนอยู่ ณ จุดแก่นกลางนั้น มันมองได้ไม่ชัดเท่าตอนถอยห่างออกไปแล้วค่อยมอง
ก็คล้ายๆกับสภาวะนิพพาน ตอนดำรงอยู่ในสภาวะนิพพานเราก็จะมองหรือรู้สึกถึงสภาวะนิพพานได้ไม่ค่อยชัด มันไม่เหมือนกับตอนที่เราถอยออกมาจากสภาวะนิพพาน เราได้เห็นหรือรู้สึกถึงสภาวะอื่น พอเรากลับไปที่สภาวะนิพพานอีกครั้ง เราจะรู้สึกได้ชัด ว่าสภาวะอื่นที่เราถอยออกไปอยู่ก่อนหน้านี้กับสภาวะนิพพานที่เรากลับเข้ามาอยู่ในตอนนี้มันแตกต่างกัน พอมันมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนทำให้เราเห็นหรือตระหนักรู้ถึงความแตกต่างนั้นได้อย่างกระจ่างชัด สภาวะนิพพานจึงกระจ่างชัดตามไปด้วย
G : “Well, you’ve captured it perfectly. This is what the process of death—and birth—is all about. You are constantly moving to and from the Core of Your Being, that you might Know and Experience the true nature of Who You Are. You use distance to Know and to Experience the Totality IS the Totality, it experiences only the Totality, and none of it’s constituent parts.”
พระเจ้า : "ดีมาก เธอสรุปได้อย่างสมบูรณ์แบบ นี่คือทั้งหมดของสิ่งที่กระบวนการของความตาย—และการเกิด— เกี่ยวข้อง เธอเคลื่อนจากไปและกลับมาอย่างต่อเนื่องระหว่างแก่นแท้แห่งความเป็นเธอและที่ที่ไม่ใช่แก่นแท้ของเธอ เพื่อที่จะได้รู้และมีประสบการณ์ถึงธรรมชาติที่แท้จริงของตัวตนที่เธอเป็น เธอใช้ระยะห่างเพื่อการรู้และมีประสบการณ์ให้สมบูรณ์ มันคือความสมบูรณ์แบบของประสบการณ์ มันคือการมีประสบการณ์ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยไม่เหลือสิ่งใดไว้ให้รู้และมีประสบการณ์ถึงอีก"
N : What if I can’t be any better than I just was❓ What if I have experienced total mastery in the life I have just lived❓ Then what❓ Will the cycle end?❓
นีล : แล้วถ้าผมไม่อาจดีไปกว่าที่เคยเป็นได้ล่ะ❓ ถ้าผมได้มีประสบการณ์ถึงการบรรลุแล้วอย่างสมบูรณ์ (รู้แจ้งแล้ว) ในชีวิตที่เพิ่งผ่านมา แล้วจะยังไงต่อครับ❓ วงจรแห่งการเคลื่อนจากไปและกลับมาจะสิ้นสุดลงหรือไม่ครับ❓
G : “No. You will simply redefine ‘mastery.’"
พระเจ้า : "ไม่ เธอจะแค่นิยามคำว่า 'บรรลุแล้ว (รู้แจ้งแล้ว)' ขึ้นมาใหม่"
N : I’ll raise the bar.
นีล : ผมจะยกระดับมาตรฐานให้สูงขึ้นไปอีก
G : “Yes.” So that the game can go on. So that the process can continue.
พระเจ้า : "ใช่แล้ว" เพื่อให้เกมสามารถดำเนินต่อไป เพื่อให้กระบวนการสามารถดำเนินต่อไป
“Yes. It is the desire and the nature of Life to produce more Life, and to produce it more abundantly.
"และใช่ นี่คือ ความปรารถนาและธรรมชาติของชีวิตที่จะสร้างชีวิตให้มากขึ้น และสร้างให้อุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
“Everything grows, and there is no such thing as the end of evolution.
"ทุกสิ่งเติบโต และไม่มีสิ่งที่เรียกว่าจุดสิ้นสุดของวิวัฒนาการ
“Remember that always, for that is…
"จงจำสิ่งนี้เอาไว้เสมอ เพราะนี่คือ...
THE FIFTEENTH REMEMBRANCE
ความทรงจำที่ 1️⃣5️⃣
There is no such thing as the end of evolution.
ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า '#จุดสิ้นสุดของวิวัฒนาการ'"
“I have already described to you the cycle of everlasting life. Because you seek to re-create yourself anew, as does all of Life, you will move into the spiritual realm, in which you will come to know and understand more of Who You Are and who you choose to be,
then you will return to the Core of Your Being and back out into the physical world, traveling the same Corridor of Time in a different way, or a different Corridor altogether, so that you may Know in Your Experience what it is like to be who you have chosen to be.”
"ฉันได้อธิบายวัฏจักรของชีวิตนิรันดรให้เธอฟังไปแล้ว เนื่องจากเธอหาทางที่จะสร้างตนเองขึ้นมาใหม่ เช่นเดียวกับชีวิตทั้งปวง เธอจึงเคลื่อนเข้าสู่อาณาจักรแห่งจิตวิญญาณ ที่ซึ่งเธอจะได้รู้และเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเธอ และใครที่เธอเลือกที่จะเป็นต่อไป
จากนั้นเธอจะกลับเข้าสู่แก่นแท้แห่งความเป็นเธอ และออกไปสู่โลกทางกายภาพอีกครั้ง โดยเดินทางไปตามระเบียงแห่งเวลาเดิมแต่ในวิธีที่แตกต่างไป หรือในเส้นทางที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพื่อให้เธอได้รู้ผ่านประสบการณ์ของตนเองว่ามันเป็นอย่างไรเมื่อเธอเลือกที่จะเป็นเช่นนั้น"
N : But how will I come to know who I want to be❓ I don’t understand about that. When do I choose that❓
นีล : แล้วผมจะรู้ได้อย่างไรว่าผมต้องการเป็นใคร❓ ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลยครับ และผมจะได้เลือกในตอนไหนครับ❓
G : “You will choose that when you respond to the Holy Inquiry."
พระเจ้า : "เธอจะได้เลือกในตอนที่เธอตอบคำถามต่อการไต่ถามอันศักดิ์สิทธิ์"
Ah, finally.
อ่า ในที่สุด (ก็มาถึงเรื่องนี้จนได้)
➖➖➖จบบทที่ 3️⃣1️⃣➖➖➖

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา