19 ม.ค. เวลา 08:35 • หนังสือ

#46 HWG : บทที่ 3️⃣2️⃣ : ความตายสามารถย้อนกลับได้

▪️ผู้แปล : อุดม (แอดมิน)
✴️ โหลด 'ไฟล์ภาพ' เพื่อเก็บไว้อ่านทีหลัง : ⬇️
THE SIXTEENTH REMEMBRANCE
ความทรงจำที่ 1️⃣6️⃣
Nearly every person who is dying
is not dying for the first time.
เกือบทุกคนที่กำลังตาย
ไม่ได้กำลังตายเป็นครั้งแรก
Chapter 3️⃣2️⃣
Neale : I’ve been waiting and waiting. So tell me, before I run out of patience. What is the Holy Inquiry❓
นีล : ผมรอเรื่องนี้มานานแล้ว ช่วยบอกผมทีเถอะ ก่อนที่ความอดทนของผมจะหมดลงเสียก่อน 'การไต่ถามอันศักดิ์สิทธิ์' คืออะไรกันแน่ครับ❓
God : “At the end of your life, in what we have described as stage three of death, you will be asked an extraordinary question. This will be the most important question you will ever be asked, and your reply will be the most important statement you have ever made and biggest Moment of Free Choice you could ever imagine.
พระเจ้า : "ณ จุด สิ้นสุดของชีวิตนี้ของเธอ ในสิ่งที่เราได้อธิบายไปแล้วว่าเป็นขั้นที่สามของความตาย เธอจะถูกถามคำถามที่พิเศษเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งนี่จะเป็นคำถามที่สำคัญที่สุดเท่าที่เธอเคยได้รับ และคำตอบของเธอจะเป็นคำแถลงการณ์ที่สำคัญที่สุดเท่าที่เธอเคยทำและเป็นช่วงเวลาแห่งการเลือกอย่างอิสระเสรีที่สุดเท่าที่เธอเคยจินตนาการ
"It is so important that all of the angels in heaven will stop to listen to what you are saying. It is so important that all your loved ones will be gathered around to hear. It is so important that God himself will be present when the question is asked. Indeed, She will be the one doing the asking.”
"มันสำคัญมากเสียจนทูตสวรรค์ทั้งหมดในสวรรค์จะต้องหยุดเพื่อฟังในสิ่งที่เธอกำลังพูด มันสำคัญมากเสียจนคนที่เธอรักทั้งหมดจะมารวมตัวกันเพื่อฟัง มันสำคัญมากเสียจนแม้กระทั่งพระเจ้าเองจะทรงปรากฏเมื่อคำถามถูกถาม แท้จริงแล้ว องค์พระแม่เองนั่นแหละที่จะทรงเป็นผู้ถามคำถาม"*
(*ตรงนี้พระองค์ใช้ศัพท์แทนตัวเองทั้งสองเพศนะครับ คือ God himself กับ She ผมก็เลยแปลไปแบบนั้น)
N : What is the question?
นีล : คำถามคืออะไรครับ❓
G : “Do you want to stay?”
พระเจ้า : "เธอต้องการอยู่ต่อหรือเปล่า❓"
N : I’m sorry❓ I am going to be asked if I want to ‘stay’❓ Stay where❓ You mean, stay dead❓
นีล : ล้อกันเล่นหรือเปล่าครับ❓ ผมจะได้รับการถามว่าผมต้องการ 'อยู่ต่อ' หรือเปล่างั้นหรอ❓ อยู่ที่ไหนกันครับ❓ พระองค์หมายถึงอยู่ในสภาวะแห่งความตายต่อไปอย่างนั้นหรือ❓
G : “Yes. In human terms, in our languaging, yes. That will be the question.”
พระเจ้า : "ใช่แล้ว ในแง่มุมของมนุษย์ ในภาษาของเรา ใช่ นั่นจะเป็นคำถาม"
N : Do you mean I will have a choice about that❓
นีล : พระองค์หมายความว่าผมจะมีทางเลือกเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือ❓
G : “You have a choice about everything.
พระเจ้า : "เธอมีทางเลือกในทุกเรื่องนั่นแหละ
“That is the point I have been making since the beginning of our conversation. We are now at the end of a ten-year dialogue, and you are still asking the question.”
"นี่แหละคือ 'ประเด็น' ที่ฉันได้บอกกล่าวกับเธอมาตั้งแต่แรกเริ่มในการสนทนาของเรา เราอยู่ในช่วงท้ายของการเสวนาที่ยาวนานนับสิบปีแล้ว* และเธอก็ยังคงถามคำถามเดิม"
(*พระองค์หมายถึง conversation with god ทั้ง 3 เล่ม และรวมถึงเล่มอื่นๆที่เป็นการพูดคุยกันระหว่างนีลกับพระเจ้าในระหว่างนั้นด้วย)
N : Well, I know I have a choice about everything in my life, I just didn’t know I had a choice about my death. Are you telling me that if I don’t want to stay dead, I don’t have to❓
นีล : ก็นะ ผมรู้ว่าผมมีทางเลือกในทุกเรื่องในชีวิตของผม ผมแค่ไม่รู้ว่าผมมีทางเลือกในเรื่องที่เกี่ยวกับความตายของผมด้วย หรือพระองค์กำลังบอกผมด้วยว่าถ้าผมไม่อยากอยู่ในสภาวะแห่งความตายต่อไป ผมก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในสภาวะนั้นต่อไปก็ได้งั้นหรอครับ❓
G : “That’s exactly what I’m telling you.”
พระเจ้า : "นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันกำลังบอกเธอ"
N : That’s…that’s not possible. That’s not…that runs counter to everything I’ve ever heard. I don’t understand. We’re given a choice at the time of our death to ‘go on or go back’❓
นีล : นั่น...นั่นมันเป็นไปไม่ได้ นั่นไม่... ขัดกับทุกสิ่งที่ผมเคยได้ยินมาหรอกหรือครับ ผมไม่เข้าใจ เรามีทางเลือกในช่วงเวลาแห่งความตายที่จะ 'ไปต่อหรือกลับมา' ก็ได้❓
G :"That is right. That is exactly the choice you are given. And so there is
พระเจ้า : "ถูกต้องแล้ว นั่นคือทางเลือกที่เธอจะได้รับอย่างแน่นอน และด้วยเหตุนั้นเราจึงมาถึง
THE SIXTEENTH REMEBRANCE
ความทรงจำที่ 1️⃣6️⃣
Death is reversible.
ความตายสามารถเปลี่ยนได้
(เปลี่ยนเป็นไม่ตายได้)
N : I feel like I am on a roller-coaster ride here. It’s all I can do to just hang on. What are you trying to tell me here❓
นีล : ผมรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่บนรถไฟเหาะตีลังกา สิ่งเดียวที่ผมทำได้ในตอนนี้ก็คือการพยายามยึดที่จับเอาไว้ให้มั่น ตอนนี้พระองค์กำลังพยายามบอกอะไรกับผมกันแน่ครับ❓
G : “Everyone who ‘dies’ is able to make a decision as to how they wish to go on living—and where.”
พระเจ้า : "ทุกคนที่ 'ตาย' สามารถตัดสินใจได้ว่าตนปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร—และที่ไหน"
N : What an interesting way to put it.
นีล : พระองค์อธิบายได้น่าสนใจจริงๆ
G : “It’s the only way to put it, because that’s exactly how it is. Remember, the Seventh Remembrance is that ‘Death does not exist.’
พระเจ้า : "นี่เป็นวิธีเดียวในการอธิบาย เพราะนี่คือ 'สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ' ยังจำได้ไหมว่า ความทรงจำที่ 7️⃣ ก็คือ 'ความตายไม่มีอยู่จริง'
“It does not.
"สิ่งที่เรียกว่า ความตายนั้นไม่มีอยู่จริง
“When a person does the thing that you call ‘die,’ that person is always given a choice: Do you want to experience that the life you have just left is continuing? Or do you wish to experience a reality in which you are moving on, heading toward the spiritual realm?”
"เมื่อบุคคลหนึ่งทำสิ่งที่เธอเรียกว่า 'ตาย' บุคคลผู้นั้นจะถูกมอบทางเลือกให้เสมอ : เธอต้องการมีประสบการณ์ถึงชีวิตที่เธอเพิ่งจากมาดำเนินต่อไปหรือไม่❓ หรือ เธอต้องการมีประสบการณ์ถึงความเป็นจริงที่เธอกำลังก้าวไปสู่อาณาจักรทางจิตวิญญาณแทน❓"
N : You mean that everyone who dies has a chance to ‘come back to life’?
นีล : พระองค์หมายความว่าทุกคนที่ตายมีโอกาสที่จะ 'กลับมามีชีวิตอีกครั้ง' ได้งั้นหรือครับ❓
G : “Yes. The soul can, in its experience, ‘undo’ the ‘death’ through which it has just passed.”
พระเจ้า : "ใช่แล้ว วิญญาณสามารถ ในประสบการณ์ของตน 'ยกเลิก' 'ความตาย' ที่มันเพิ่งผ่านมาได้" (😳)
N : How❓ How in the world does it do that?
นีล : ยังไงครับ❓ นี่มันบ้าไปแล้วมันจะทำแบบนั้นได้ยังไงครับ❓
G : “It simply tells God by saying/thinking/feeling. ’I don’t want to die now. I want to go back.’
พระเจ้า : "ง่ายมาก มันเพียงแค่บอกพระเจ้าด้วยการพูด/คิด/รู้สึก ว่า 'ฉันยังไม่อยากตายตอนนี้ ฉันอยากกลับไป'
“Each soul is asked the question, ‘Are you ready❓ Do you wish to go on❓’ This is the gentlest question. It is asked of all souls who ‘cross over’ from the physical world.
"วิญญาณแต่ละดวงจะถูกถามว่า 'เธอพร้อมหรือยัง❓ เธอปรารถนาที่จะไปต่อหรือไม่❓' นี่เป็นคำถามที่อ่อนโยนที่สุด มันถูกถามกับวิญญาณทุกดวงที่ 'ข้ามผ่าน' มาจากโลกทางกายภาพ
“If the thought/feeling/reply is ‘yes,’ the soul continues on its journey to the spiritual realm.
"หากความคิด/ความรู้สึก/ตอบกลับมาว่า 'ใช่' วิญญาณจะดำเนินการเดินทางต่อไปยังอาณาจักรแห่งจิตวิญญาณ
“If the soul asks to ‘go back,’ the soul is ‘sent back’ to the physical world instantly…arriving a nanosecond before it ‘died.’”
"หากวิญญาณร้องขอที่จะ 'กลับไป' วิญญาณก็จะ 'ถูกส่งกลับ' ไปยังโลกทางกายภาพทันที... มาถึงก่อนเสี้ยววินาทีที่จะ 'ตาย'"
N : This is a mind-blower. This is even a little upsetting. If this is true, why would anyone who really loved his or her family not want to go back❓ I mean, as wonderful as I’m sure ‘heaven’ is—and you still haven’t described that to me, you still haven’t told me what happens on ‘the other side’—it will always be there, waiting for us. Isn’t it kind of selfish to stay there when you know that you can go back, and that your loved ones are hurting so bad because you are gone❓
นีล: นี่มันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว มันทำให้ผมรู้สึกหัวเสียนิดหน่อยด้วยซ้ำ หากเป็นเช่นนี้จริง เหตุใดคนที่รักครอบครัวของตนถึงไม่อยากกลับไปล่ะครับ❓ ผมหมายความว่า ถึงแม้สวรรค์ไม่ว่าจะวิเศษวิโสสักเพียงใดก็เถอะ —แม้พระองค์ยังไม่ได้อธิบายเรื่องสวรรค์ที่แท้จริงให้ผมฟัง พระองค์ยังไม่ได้บอกผมว่าเกิดอะไรขึ้นที่ 'อีกฝั่ง' ก็ตาม— แต่มันจะยังคงอยู่ที่นั่น รอคอยเราอยู่ มันจะไม่เป็นเรื่องเห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือที่จะอยู่ที่นั่น เมื่อคุณรู้ว่าคุณสามารถกลับไปได้ และคนที่คุณรักกำลังเจ็บปวดอย่างมากจากการที่คุณจากไป❓
I don’t know if I can believe this. This leaves me feeling…I don’t know…empty.
ผมไม่รู้ว่าผมจะทำใจให้เชื่อเรื่องนี้ได้หรือเปล่า นี่ทำให้ผมเกิดความรู้สึก... ไม่รู้สิ... ว่างโหวงล่ะมั้ง
G : “Would you rather we didn’t pursue this?”
พระเจ้า : "เธออยากให้เราไม่ไปต่อในเรื่องนี้ใช่ไหม❓"
N : Well, you said it now. There’s an elephant in the middle of the living room. You expect me to be able to ignore it?
นีล : โถ่...พระองค์บอกผมมาตั้งขนาดนี้แล้ว มันก็เหมือนมีช้างตัวใหญ่อยู่กลางห้องนั่งเล่นทิ่มตาผมอยู่ขนาดนั้น พระองค์ยังคาดหวังให้ผมทำเป็นไม่เห็นมันได้งั้นหรือครับ❓
G : “It wasn’t meant to upset you.”
พระเจ้า : "ฉันไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้เธอหัวเสียหรือไม่สบายใจ"
N : I’m sure it wasn’t, but…so tell me, what is this all about❓
นีล : ผมเชื่อครับว่าพระองค์ไม่มีเจตนา แต่... เอาเถอะ ช่วยบอกผมทีครับว่าทั้งหมดนี้มันคือเรื่องอะไรกัน❓
G : “It simply as I have said: after dying, every soul is given the opportunity to remain in the Afterlife or to return to the physical life from which it has just come.”
พระเจ้า : "ก็อย่างที่ฉันได้บอกไปแล้ว: 'หลังจากที่ตาย' วิญญาณทุกดวงจะได้รับโอกาสที่จะอยู่ต่อไปในชีวิตหลังความตาย หรือ กลับไปสู่ชีวิตทางกายภาพที่เพิ่งผ่านมา"
N : Yes, I understood that. But please give me the details. When does this occur❓
นีล : ครับ ผมเข้าใจเรื่องนั้นแล้ว แต่พระองค์ได้โปรดช่วยลงรายละเอียดให้ผมหน่อย เช่น มันเกิดขึ้นตอนไหนครับ การไต่ถามอันศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านั่น❓
G : “It occurs after you melt into the Light. After the Moment of Mergence.”
พระเจ้า : "มันเกิดขึ้นหลังจากที่เธอได้หลอมละลายเข้าไปในแสงสว่างแล้ว หลังจากช่วงเวลาแห่งการหลอมรวม"
N : Well, that's not very fair. Who on earth can compete with that❓ Why would anyone want to return to physical life after merging with the One❓ I mean, really.
นีล : นั่นมันไม่ยุติธรรมเลย ใครกันจะสามารถเอาชนะสิ่งนั้นได้❓(เอาชนะปีติสุขอันยิ่งที่เกิดจากการหลอมรวมได้) ใครจะอยากกลับไปสู่ชีวิตทางกายภาพหลังจากหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้วกันเล่า❓ เอาจริงๆเลยนะครับ คงไม่มีใครอยากกลับมากันหรอก
G : “Actually, many, many souls do.”
พระเจ้า : "จริงๆ แล้ว มีวิญญาณมากมายเลยนะที่ทำเช่นนั้น (เลือกกลับมา)"
N : What❓ Why❓ Are you telling me that many souls would rather return to earth than remain in heaven❓ That doesn’t say much about heaven.
นีล : อะไรนะครับ❓ ทำไมล่ะ❓ พระองค์กำลังบอกผมว่ามีวิญญาณหลายดวงอยากกลับมายังโลกมากกว่าการอยู่ในสวรรค์(ที่แท้จริง)งั้นหรือครับ❓ นั่นก็แสดงว่าสวรรค์จริงๆแล้วก็ไม่ได้ดีเด่อะไร
G : “It says that heaven is exactly what you imagine it to be—a place where you can have anything you wish.
พระเจ้า : "ไม่หรอก มันกลับแสดงให้เห็นว่าสวรรค์เป็นเหมือนสิ่งที่เธอจินตนาการไว้เปี๊ยบเลยต่างหาก—'สวรรค์' คือ สถานที่ที่เธอสามารถได้รับทุกสิ่งที่เธอปรารถนา
“After merging with the Essence, the soul understands many things. It understands that there is no such thing as judgment and condemnation. It understands that nothing negative can possibly occur in the Afterlife. It understands Who and What the soul is. It understands the purpose of Life and the Process of Life. It understands fully and completely the nature of Ultimate Reality. And it understands that the Afterlife will always be there, waiting, waiting, through all eternity.”
"หลังจากหลอมรวมกับแก่นแท้แล้ว วิญญาณเข้าใจหลากหลายสิ่ง มันเข้าใจแล้วว่าไม่มีเรื่องของการตัดสินพิพากษาและการกล่าวประณาม ; มันเข้าใจแล้วว่าไม่มีอะไรในทางลบที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตหลังความตายได้ ; มันเข้าใจแล้วว่าวิญญาณคือใครและเป็นอะไร ; มันเข้าใจถึงจุดประสงค์ของชีวิตและกระบวนการของชีวิตแล้ว ; มันเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์และครบถ้วนถึงธรรมชาติของความเป็นจริงสูงสุด ; และมันก็เข้าใจแล้วว่า 'ชีวิตหลังความตายจะมีอยู่เสมอ' รอคอยมันอยู่ ณ ตรงนั้นเสมอมา และตลอดไป ตราบชั่วนิจนิรันดร"
N : Or as someone put it in the title of a movie once, heaven can wait.
นีล : หรือดังที่ใครบางคนได้พูดไว้ในชื่อภาพยนตร์ครั้งหนึ่งว่า 'สวรรค์นั้นรอได้'
G : “Exactly. After merging with the Essence, the soul understands, essentially, all that I have been telling you here. But now it understands these things experientially, not intellectually. And then many souls do choose to return to physical life. In fact, most souls do, at least once.”
พระเจ้า : "ถูกเผง หลังจากหลอมรวมกับแก่นแท้แล้ว วิญญาณได้เข้าใจ อย่างถ่องแท้ ถึงสิ่งทั้งหมดที่ฉันกำลังบอกเธอที่นี่ และในตอนนี้ (ก็คือตอนที่วิญญาณออกจากสภาวะหลอมรวมมาแล้ว) มันจะเข้าใจถึงสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยประสบการณ์ ไม่ใช่ด้วยสติปัญญา และแล้ววิญญาณหลายดวงจึงเลือกที่จะกลับสู่ชีวิตทางกายภาพ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว วิญญาณส่วนใหญ่ทำเช่นนั้น อย่างน้อยก็หนึ่งครั้ง"
N : Most souls do❓
นีล : วิญญาณส่วนใหญ่ทำเช่นนั้นหรือครับ❓
G : “Nearly every person who is dying is not dying for the first time. If they choose, this time, to ‘stay dead,’ it is because they feel complete with what they came here to do. Therefore, do not begrudge them their moving on, nor feel angry because they have not come back. They came back to you many times to keep you company before. Many times.”
พระเจ้า : "เกือบทุกคนที่กำลังจะตายไม่ได้กำลังจะตายเป็นครั้งแรก หากพวกเขาเลือกในคราวนี้ ที่จะ 'อยู่ในสภาวะแห่งความตายต่อไป' ก็เพราะพวกเขารู้สึกว่าสิ่งที่ต้องมาทำที่นี่นั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นจงอย่าบ่นว่าหรือรังเกียจเดียดฉันท์เมื่อพวกเขาเลือกไปต่อ หรือรู้สึกโกรธเคืองเพราะพวกเขาไม่กลับมา พวกเขากลับมาหาเธอเพื่ออยู่เป็นเพื่อนเธอมาก่อนแล้ว หลายครั้งเสียด้วย"
N : I’m lost here. I am lost. This conversation has taken me to many places, and I’ve breathlessly tried to keep up. I’ve done, I think, a pretty good job—but this one is getting away from me. This one is so far over my head that I don’t think I can ever reach for it.
นีล : ผมงงไปหมดแล้วครับ ผมจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว การสนทนานี้พาผมไปหลายที่ และผมก็พยายามติดตามไปอย่างไม่ลดละ ผมคิดว่าผมก็ทำได้ค่อนข้างดีนะ—แต่ครั้งนี้คือผมตามไม่ทันแล้วจริงๆ ครั้งนี้มันลึกล้ำเกินกว่าที่สมองน้อยๆของผมจะทำความเข้าใจได้ จนผมคิดว่าผมไม่อาจจะเข้าใจมันได้แล้วครับ
G : “Try.”
พระเจ้า : "พยายามหน่อย"
N : I don’t know where to begin.
นีล : ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนดี
G :“Ask me a question.”
พระเจ้า : "เริ่มที่การถามคำถามฉันสิ"
N : Okay. What do you mean, my loved ones have come back to me many times❓
นีล : ตกลงครับ พระองค์หมายความว่าอย่างไรว่าคนที่ผมรักได้กลับมาหาผมแล้วหลายครั้ง❓
G : “I mean just that. I mean your loved ones died and then came back to you more than once, out of their sense of wishing to be complete with you, and with all the rest of what they chose to accomplish in their life.”
พระเจ้า : "ฉันก็หมายความตามนั้นแหละ หมายความว่าคนที่เธอรักตายแล้วก็กลับมาหาเธอมากกว่าหนึ่งครั้ง ด้วยความรู้สึกปรารถนาที่อยากให้ความสัมพันธ์ที่มีกับเธอนั้นสมบูรณ์ และกับสิ่งที่พวกเขาเลือกที่จะทำให้สำเร็จในชีวิตนี้ของพวกเขา"
N : My mom died, and she was gone. She never came back.
นีล : แม่ของผมตาย และเธอก็จากไป เธอไม่เคยกลับมา
My Dad died and that was that.
พ่อของผมตาย และมันก็จบแค่นั้น
My brother slumped over the wheel of his car while he was driving, for heaven sake, and my sister-in-law had to reach over and steer the car to the side of the road and find a way to get her foot on the brake pedal to stop it. And she with the after-effects of a stroke, and half her body not working right❗
น้องชายของผมฟุบลงบนพวงมาลัยรถขณะที่กำลังขับรถ สวรรค์ทรงโปรดเถอะ และน้องสะใภ้ผมต้องยื่นมือเข้าไปบังคับพวงมาลัยรถให้จอดข้างทาง และหาทางวางเท้าบนแป้นเบรกเพื่อหยุดรถ และเธอกำลังอยู่ในสภาพการเป็นอัมพาตครึ่งซีกจากโรคเส้นเลือดในสมองตีบ ซึ่งร่างกายครึ่งหนึ่งของเธอกำลังอยู่ในสภาพที่ไม่ปกติ❗
Now I hate to get mundane about this, but if a soul can come back from the moment of death, if it has that choice, then the least my brother could have done was to get back in his body long enough to maneuver the car over the side of the road, before someone else died.
ตอนนี้ผมไม่ชอบใจเลยที่ต้องมาพูดถึงเรื่องอะไรพวกนี้ แต่ถ้าวิญญาณสามารถกลับมาจากช่วงเวลาแห่งความตายได้ หากมันมีทางเลือกเช่นนั้น อย่างน้อยที่สุดน้องชายของผมควรจะกลับเข้าสู่ร่างกายของเขาพอที่จะบังคับรถให้จอดข้างทางก่อนที่จะมีใครตาย
G : “You have a lot of heat on this, don’t you.”
พระเจ้า : "เธอมีอารมณ์คลุกกรุ่นในเรื่องนี้อยู่มากใช่ไม่ใช่"
N : I guess so. You’re standing there telling me that everyone who has died can come back to life if they want to❓ You’re telling me that my mom and my dad and my oldest brother, who I adored, went to ‘the other side,’ were given a chance to come back to us, and all of them declined❓ And I’m not supposed to have any ‘heat’ on that? I mean, talk about your abandonment issues…
นีล : ผมคิดว่างั้นครับ พระองค์อยู่ตรงหน้าผมและกำลังบอกผมว่าทุกคนที่ตายสามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ถ้าพวกเขาต้องการ❓ พระองค์กำลังบอกผมว่าแม่ พ่อ และน้องชายคนโตที่ผมรักมากได้ไปถึง 'อีกฝั่ง' แล้วได้รับโอกาสที่จะกลับมาหาเรา แต่พวกเขาทุกคนปฏิเสธที่จะกลับมา❓ ผมไม่ควรมีความรู้สึกอะไรเลยงั้นหรือครับ❓ ผมหมายถึง ผมกำลังพูดถึงปัญหาของการถูกทอดทิ้ง...
That’s got to be the abandonment issue of all time. The Mother of All Abandonment Issues.
นั่นต้องเป็นปัญหาของการถูกทอดทิ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลอย่างแน่นอน
G : “I see. So it’s about you, not them.”
พระเจ้า: "ฉันเข้าใจล่ะ ทั้งหมดนี้มันมีแต่เรื่องของเธอ ไม่ใช่เรื่องของพวกเขาสินะ"*
(*โอ๊ยยย จุก มันทิ่มแทงใจครับตรงนี้ 😅)
N : What❓
นีล : อะไรนะครับ❓
G : “Someone you love dies, and your concern is about you, not them.”
พระเจ้า : "มีคนที่เธอรักตาย และความกังวลของเธอก็เป็นเรื่องของเธอ ไม่ใช่ของพวกเขา"
N : Oh, come on, that’s not fair. You just told me something very unorthodox about all this. You just told me that the people closest to me had a chance to come back to their grieving loved ones, and they all said no.
นีล : โถ่ ไม่เอาน่า นั่นไม่ยุติธรรมเลย พระองค์เพิ่งบอกผมถึงบางสิ่งที่ผิดจารีตจะว่านอกรีตก็ยังได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ พระองค์เพิ่งบอกผมว่าคนใกล้ชิดที่สุดของผมมีโอกาสกลับมาหาคนที่รักพวกเขาที่กำลังโศกเศร้า และพวกเขาทุกคนบอกว่าไม่
G : “But I also said that they all said yes more than once. When they go and they stay, it’s because they are really ‘done’ this time, really complete. Their final departure was just that. It was their Last Leave-Taking. All the other times, they returned.”
พระเจ้า : "แต่ฉันยังบอกด้วยว่าพวกเขาบอกว่าตกลงมากกว่าหนึ่งครั้ง เมื่อพวกเขาจากไปและคงอยู่ที่อีกด้านหนึ่งไม่กลับมา ก็เพราะพวกเขา 'เสร็จสิ้นภารกิจ' แล้วจริงๆในครั้งนี้ ทุกอย่างที่ต้องทำครบถ้วนสมบูรณ์แล้วจริงๆ การจากไปของพวกเขาก็เพราะแบบนั้น เป็นการจากลาครั้งสุดท้าย แต่ทุกครั้งอื่นๆก่อนหน้านี้ พวกเขากลับมา"
N : All what other times❓ I don’t recall anyone ‘returning,’ None of the people I’m talking about had operating room resuscitations or sudden remissions of illness, or anything like that. When they ‘went,’ they went. Boom. Gone. End of story.
นีล : ครั้งอื่นอะไรกันครับ❓ ผมไม่เห็นจะจำได้เลยว่ามีใครกลับมา ไม่มีใครที่ผมพูดถึงเคยได้รับการช่วยชีวิตในห้องผ่าตัดหรือการหายป่วยอย่างกะทันหัน หรืออะไรในทำนองนั้น เมื่อพวกเขา 'จากไป' ก็จากไป ตูม หายไปเลย จบข่าว
G : “Your mom ‘went’ four times.”
พระเจ้า : "แม่ของเธอ 'จากไป' 4 ครั้ง"
N : What❓
นีล : ห่ะ❓
G : “What you call your mother’s death is what she calls her last death. You’re not counting the several she had before that.”
พระเจ้า : "สิ่งที่เธอเรียกว่าความตายของแม่ คือสิ่งที่เรียกว่าความตายครั้งสุดท้ายของแม่เธอ แต่เธอไม่ได้นับครั้งก่อนๆหน้านั้น ที่แม่เธอเคยจากไปแล้วกลับมา"
N : My mother has several deaths before that❓ And came back❓
นีล : แม่ของผมตายไปแล้วหลายครั้งก่อนหน้านี้❓ และกลับมา❓
G : “Let me ask you a question. Do you know if your mother ever had any ‘near’ misses?”
พระเจ้า : "ให้ฉันถามเธอสักข้อ เธอรู้หรือเปล่าว่าแม่ของเธอเคยมีเหตุการณ์ 'เฉียดตาย' บ้างไหม❓"
N : ‘Near misses❓’
นีล : 'เฉียดตาย❓'
G : “Instances in which she almost died, but missed by an instant.”
พระเจ้า : "กรณีที่เธอเกือบตาย แต่รอดมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปดน่ะ"
N : Oh, you mean where she came within an ‘inch of death’❓
นีล : โอ้ พระองค์หมายถึงการที่เธออยู่ห่างจากความตาย 'เพียงแค่นิดเดียว'❓*
(*ประมาณว่า เร็วกว่านี้ หรือ ช้ากว่านี้เพียงไม่กี่วิ ได้ตายอย่างแน่นอน)
G : “Exactly, yes. Do you know if she ever had any experiences such as that?”
พระเจ้า : "ใช่แล้ว แบบนั้นแหละ เธอรู้หรือเปล่าว่าแม่เธอเคยมีประสบการณ์แบบนั้นบ้างไหม❓"
N : No, I don’t. If she did, she never told me about them. Why❓
นีล : ไม่ครับ ผมไม่รู้ ถ้ามี แม่ก็ไม่เคยบอกผม ทำไมครับ❓
G : “I’m gong to tell you now that she had four of them. Of those four, two were after you were born.”
พระเจ้า : "ฉันจะบอกเธอตอนนี้ว่าแม่เธอเฉียดตายไป สี่ครั้ง ในจำนวนนั้น สองครั้งเกิดหลังจากที่เธอเกิด"
N : Are you kidding me❓ Is this real❓
นีล : พระองค์ล้อกันเล่นหรือเปล่า❓ นี่เป็นเรื่องจริงหรอครับ❓
G : “It is very real. And you should know that those were not instances in which she ‘almost’ died. Those were instances in which she died…and in all of those instances, she then choose to come back.”
พระเจ้า : "เป็นเรื่องจริงสุดๆ และเธอควรรู้ไว้ว่าทั้ง 4 ครั้งนั้นเธอไม่ได้แค่ 'เกือบ' ตายหรอกนะ แต่แม่เธอได้ตายไปแล้วจริงๆ... และในทุกครั้งเหล่านั้น แม่เธอเลือกที่จะกลับมา"
N : This is beyond belief. What are you telling me❓ Why would she come back❓
นีล : นี่มันจะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว พระองค์กำลังบอกอะไรผมกันแน่❓ แล้วทำไมเธอถึงกลับมาล่ะครับ❓
G : “She wasn’t finished. She didn’t feel complete. Did you know that she almost died at the time of your birth?”
พระเจ้า : "เธอยังไม่เสร็จสิ้น (ภารกิจ) เธอยังไม่รู้สึกสมบูรณ์ เธอรู้หรือเปล่าว่าแม่เธอเกือบตายในช่วงเวลาที่เธอเกิด❓"
N : No. No one ever told me that❗
นีล : ไม่รู้ครับ ไม่มีใครเคยบอกผมเลย❗
G : “It’s true. In your present reality, she almost died as a result of bringing you into this world. In another reality, she did. Then she decided to come back. She decided that she wanted to raise you, not leave you to the mercies of the world. So she came back. In your reality it was said that she ‘almost died.’
พระเจ้า : "นั่นเป็นความจริง ในความเป็นจริงปัจจุบันของเธอ แม่เธอเกือบตายจากการคลอดเธอมาสู่โลกนี้ ในความเป็นจริงอื่น แม่เธอได้ตายไปแล้วจริงๆ แต่แม่เธอตัดสินใจกลับมา แม่เธอตัดสินใจว่าต้องการเลี้ยงดูเธอ ไม่ใช่ทอดทิ้งเธอให้เผชิญโลกตามลำพัง ดังนั้นแม่เธอจึงกลับมา ซึ่งในความเป็นจริง(นี้)ของเธอ มีการกล่าวกันว่าแม่เธอ 'เกือบตาย'
“There were other times, as well, when she died, went to the Afterlife, remembered what she needed to remember, and chose to come back.
"ยังมีครั้งอื่นๆ อีก ที่แม่เธอตาย แล้วก้าวผ่านไปยังชีวิตหลังความตาย จดจำในสิ่งที่เธอต้องจดจำ และเลือกที่จะกลับมา
“Then, when even the youngest of her offspring (that’s you) reached adulthood, well on the way to creating his own life, she died ‘for good.’ Even then she was young—just a year or so older than you are now. But she was truly finished, complete. She had no more reason to go back. It was time to rest, and to enjoy her next experience—which was, in a sentence, the opportunity to move to the next level in her own evolution.
She has done that now. She is now what you would call an angel. She is helping others, as she always did.”
"จากนั้น เมื่อลูกคนสุดท้องของเธอ (ซึ่งก็คือเธอ) เติบโตเป็นผู้ใหญ่ และกำลังสร้างชีวิตของตนเอง แม่เธอก็ตายไป 'อย่างไม่กลับมาอีก' แม้กระทั่งในตอนนั้นที่แม่เธอยังสาวอยู่—อายุมากกว่าเธอในตอนนี้เพียงแค่ปีเศษ* ซึ่งภารกิจของเธอ (ตัวตนนี้) ได้เสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์แล้วจริงๆ เธอไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลับไปอีก มันถึงเวลาที่เธอจะได้พักผ่อนและเพลิดเพลินกับประสบการณ์ถัดไป—กล่าวโดยสรุปก็คือโอกาสในการก้าวไปสู่ระดับต่อไปในวิวัฒนาการของตน
เธอได้ทำเช่นนั้นแล้วในตอนนี้ แม่เธอในตอนนี้คือสิ่งที่เธอเรียกว่า 'ทูตสวรรค์' และแม่เธอก็กำลังช่วยเหลือผู้อื่นเหมือนที่เธอเคยทำมาเสมอ"
(*ตอนที่นีลเขียนหนังสือเล่มนี้น่าจะอายุ 40 กว่าๆ ครับ)
N : Just a second. Something you said about my mom just hit my ear a second time. Will she never return again to physical form❓ I thought you said that the process of moving from the spiritual realm to the physical world and back again was eternal and everlasting.
นีล : เดี๋ยวก่อนนะครับ มีบางอย่างที่พระองค์พูดเกี่ยวกับแม่ของผมเมื่อครู่นี้ที่ได้ยินแล้วทำให้ผมสงสัย เธอจะไม่กลับมาเป็นรูปธรรมชีวิตทางกายภาพอีกแล้วหรอครับ❓ ผมคิดว่าพระองค์เคยบอกว่ากระบวนการเคลื่อนไปและกลับมาระหว่างอาณาจักรแห่งจิตวิญญาณและโลกทางกายภาพเป็นเรื่องที่เป็นนิรันดร์และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไปเสียอีก*
(*นีลสงสัยว่า หากกลับเข้าสู่โลกทางกายภาพแล้ว ก็ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตทางกายภาพเท่านั้น ไม่ใช่จะกลับมาในแบบสิ่งมีชีวิตที่เป็นพลังงานที่ไม่มีร่างทางกายภาพ แบบ เทพเทวา นางฟ้า อะไรแบบนั้นครับ)
G : “I did. And it is. I did not say that your mother has not returned to physicality. I said that she is an angel.”
พระเจ้า : "ใช่แล้ว และมันก็เป็นเช่นนั้น ฉันไม่ได้บอกนี่ว่าแม่ของเธอจะไม่กลับมาเป็นสิ่งมีชีวิตทางกายภาพอีก ฉันบอกว่า เธอเป็นทูตสวรรค์"
N : Angels are physical❓
N : ทูตสวรรค์เป็นสิ่งมีชีวิตทางกายภาพงั้นหรือครับ❓
G : “Angels are anything they want to be. If they want to be physical, they can be physical. IF they want to be pure spirit, they can be pure spirit. Angels travel between two worlds.
พระเจ้า : "ทูตสวรรค์จะเป็นอะไรก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการ ถ้าพวกเขาต้องการเป็นสิ่งมีชีวิตทางกายภาพ พวกเขาก็สามารถเป็นได้ หากต้องการเป็นจิตวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาก็สามารถเป็นได้ เหล่าทูตสวรรค์จะเดินทางไปมาระหว่างสองโลก
“There are angels all around you. Some of them in physical form, some of them in spiritual form.”
"มีทูตสวรรค์อยู่รายล้อมรอบตัวเธอ บางตนอยู่ในรูปแบบทางกายภาพ บางตนอยู่ในรูปแบบทางจิตวิญญาณ"
N : Could one of them be my mom❓
นีล : แม่ของผมอาจจะเป็นหนึ่งในนั้นด้วยหรือเปล่าครับ❓
G : “What do you think❓”
พระเจ้า : "เธอคิดว่าไงล่ะ❓"
N : I think so. I’ve often felt her near me. I thought I was imagining it. I thought it wasn’t real.
นีล : ผมคิดว่าอาจเป็นไปได้ครับ ผมรู้สึกได้อยู่บ่อยๆว่าเธออยู่ใกล้ๆผมนี่เอง แต่ก็คิดว่าผมคงจินตนาการไปเอง คิดว่ามันคงไม่จริง
G : “Think again.”
พระเจ้า : "คิดใหม่อีกที"
N : And my dad❓
นีล : แล้วพ่อของผมล่ะครับ❓
G : “He helped you write this book. Do you think it’s sheer coincidence that you came to this awareness on his birthday❓”
พระเจ้า : "เขาช่วยเธอเขียนหนังสือเล่มนี้ เธอคิดว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไงที่อยู่ๆเธอก็เกิดตระหนักถึงเรื่องนี้ขึ้นมาในวันเกิดของเขา❓"*
(*ตรงนี้ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัวเลย 😲 ต้องมีทูตสวรรค์ที่กำลังช่วยผมทำงานพวกนี้ งานแปลเหล่านี้อยู่อย่างแน่นอน ขอบคุณครับๆๆ 💟🙇)
N : Oh, my God, this is his birthday❗ I’ve been thinking of him all day, and I’m writing this on June 29—his birthday…is such a coincidence possible❓
นีล : โอ้ พระเจ้า วันนี้คือวันเกิดของเขา❗ ผมคิดถึงเขามาทั้งวัน และผมก็กำลังเขียนสิ่งนี้ในวันที่ 29 มิถุนายน —ซึ่งเป็นวันเกิดของเขาพอดี... เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญแล้วมั้งครับ❓
G : “Your dad says, ‘Nothing to it.’”
พระเจ้า : "พ่อของเธอบอกว่า 'มันไม่มีอะไรอยู่เลย'"*
(*หากยังจำกันได้ พ่อของนีล เชื่อว่าชีวิตหลัง ความตายไม่มีอยู่จริง ตายไปแล้วก็สูญหายไป ตายแล้วก็จบๆกันไป ไม่มีอะไรหลังความตายเลย ประมาณนั้นครับ 😄)
N : Okay, okay, enough. I mean, I’m getting spooked here, because that is exactly what he would say. So how about if we move on here. Tell me, how do you get to be an angel❓ How do you get promoted❓
นีล : โอเคครับ โอเค พอแล้วครับ ผมรู้สึกขนลุกไปหมดแล้ว เพราะนี่คือสิ่งที่เขาจะพูดแน่ๆ งั้นเรามาเปลี่ยนหัวข้อกันเถอะ ช่วยบอกผมทีครับว่า เราจะกลายเป็นทูตสวรรค์ได้ยังไง❓ และจะเลื่อนตำแหน่งได้อย่างไร❓
G : “You don’t get ‘promoted.’ It is not about advancement through some ranking. It’s not about some souls being somehow ‘better’ than others.”
พระเจ้า : "เธอจะไม่ได้รับ 'การเลื่อนตำแหน่ง' อะไรแบบนั้นหรอก มันไม่ใช่เรื่องของความก้าวหน้าผ่านลำดับชั้น มันไม่ใช่เรื่องของการดีกว่ากันของดวงวิญญาณ"
N : Well, they could be farther along on the path…
นีล : เอ่อ พวกเขาอาจจะก้าวหน้ากว่ากันบนเส้นทาง...
G : “Who is ‘farther along’ on a circle❓”
พระเจ้า : "ใครกันที่จะ 'ก้าวหน้ากว่ากัน' บนวงกลม❓" (😳)
N : But I thought you said…
นีล : แต่ผมคิดว่าพระองค์เคยบอกว่า...
G : “Listen to me. You are moving through an endless cycle. There is no beginning and no end. You are no ‘better’ and no ‘worse’ than any other soul on the cycle. The whole cycle is holy, and you simply are where you are.
พระเจ้า : "ตั้งใจฟังฉันให้ดี เธอกำลังเคลื่อนที่อยู่ในวงจรที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดสิ้นสุด เธอไม่ได้ 'ดีกว่า' หรือ 'แย่กว่า' วิญญาณอื่นใดในวงจรนี้ ทั้งวงจรนี้คือความศักดิ์สิทธิ์* (*คือพระเจ้า) และเธอก็เพียงแค่อยู่ ณ จุดที่เธออยู่
“One of the difficulties that humans have created on the earth is that so many hold this idea of ‘better.’ It is ‘better’ to be a Muslim, or it is ‘better’ to be a Mormon, or it is ‘better’ to be Jew or a Baha’s, or a Christian, or it is ‘better’ to be a man, or a woman, or a conservative or a liberal, or a Frenchman or an Italian or a black or an Asian or a Caucasian or a member of the Crips or a member of the Bloods, or whatEVER.
"หนึ่งในความยากลำบากที่มนุษย์สร้างขึ้นบนโลกก็คือ มีคนจำนวนมากที่ยึดติดอยู่กับแนวคิดเรื่อง 'ดีกว่า' มัน 'ดีกว่า' ที่จะเป็นมุสลิม หรือ 'ดีกว่า' ที่จะเป็นมอร์มอน หรือ 'ดีกว่า' ที่จะเป็นยิว หรือบาไฮ หรือคริสเตียน หรือ 'ดีกว่า' ที่จะเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง หรือคนอนุรักษ์นิยมหรือเสรีนิยม หรือเป็นชาวฝรั่งเศส หรือชาวอิตาลี หรือคนผิวดำ หรือคนเอเชีย หรือคนผิวขาว หรือสมาชิกของแก๊งคริปส์ หรือสมาชิกของแก๊งบลัดส์ หรืออะไรก็แล้วแต่
“You’ve got it lined out that one of you is better than another of you, and it simply is not so.”
"พวกเธอมีความเชื่อฝังหัวว่า 'มีเธอคนหนึ่งที่ดีกว่าเธออีกคน' และนั่นไม่เป็นความจริงเลย"*
*ตรงนี้มีความหมายแฝงนะครับ เราต้องเข้าใจว่าทั้งหมดมันมีแค่เราเพียงคนเดียว คำพูดตรงนี้ก็เลยเป็นว่า เราคิดว่ามีตัวเราอีกคน ดีกว่าตัวเราคนนี้ หรือตัวเราคนอื่นๆ ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น ตัวเราแต่ละคนก็อยู่ ณ จุดต่างๆบนวงจรอย่างที่พระองค์ว่า เราก็แค่อยู่ในจุดที่เราอยู่ ซึ่งก็ไม่มีใครดีไปกว่าใครในวงจรนี้
นี่ยังหมายรวมถึงตัวตนของเรา ณ ตอนนี้กับตัวตนของเราเมื่อกี้นี้หรือขณะที่แล้ววันที่แล้วเดือนที่แล้วปีที่แล้วด้วยนะครับ ตัวเราในวันนี้ไม่ได้ดีกว่าตัวเราในเมื่อวาน เราในวันนี้และเราในเมื่อวานและเราในพรุ่งนี้ก็แค่อยู่ในจุดที่แต่ละคนอยู่
ตรงนี้หากใช้ศัพท์ทางพุทธจะเรียกว่า "มานะ" ก็ได้เช่นกัน คือ มีคนดีกว่าหรือแย่กว่าอีกคน แต่มานะในทางพุทธก็คือหมายถึงอัตตาตัวตนนี้ ตัวตนปัจเจกนี้เพียงตัวตนเดียว ไม่ได้หมายถึงตัวตนอื่นๆทั้งหมดที่ก็คือเรา เข้าใจตรงกันแล้วนะครับ 😄
และวงจรที่ว่าก็คือการเดินทางอันเป็นนิรันดร์เพื่อมีประสบการณ์ถึงตนเอง ซึ่งก็คือความเป็นพระเจ้านั่นเอง
N : But I have a fair question, then. If it’s not about being ‘promoted,’ if it’s not about ‘advancement,’ then how do you get to be an angel❓
นีล : งั้น ผมก็มีคำถาม ถ้าไม่ใช่เรื่องของ 'การเลื่อนตำแหน่ง' ถ้าไม่ใช่เรื่องของ 'ความก้าวหน้า' แล้วเราจะกลายเป็นทูตสวรรค์ได้ยังไงละครับ❓
G : “You choose to be an angel.”
พระเจ้า : "เธอเป็นคนเลือกที่จะเป็นทูตสวรรค์เอง"*
(*ตรงนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องของการทำความดีมากๆแล้วจะได้ไปเป็นเทพในชั้นต่างๆแล้วนะครับ ในทางกลับกัน ทำเลวมากๆแล้วจะต้องไปเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำต่างๆอะไรแบบนั้นแล้วด้วยเหมือนกันนะครับ)
N : You choose to be❓
นีล : เราเป็นคนเลือกที่จะเป็นเองงั้นหรือครับ❓
G : “You choose everything. There is nothing that you do not choose.”
พระเจ้า : "เธอเป็นคนเลือกทุกสิ่งทุกอย่างเอง ไม่มีอะไรที่เธอไม่ได้เลือก"
N : Can angels choose not to be angels anymore❓
นีล : ทูตสวรรค์สามารถเลือกที่จะไม่เป็นทูตสวรรค์อีกต่อไปก็ได้ด้วยหรือครับ❓
G : “Of course they can, and angels have. You can be an angel for a while, and then not be an angel. Then you can decide to be an angel again. You can go around in cycles, you can go around in loops, you can travel in spirals, you can move in straight lines, you can ‘stay in heaven’ for eons, you can come right back to earth in the next second—you can have it any way you wish.
พระเจ้า : "แน่นอน พวกเขาสามารถทำได้ และเหล่าทูตสวรรค์ก็เคยทำแบบนั้น เธอสามารถเป็นทูตสวรรค์ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็หยุดเป็น จากนั้นเธอสามารถตัดสินใจที่จะเป็นทูตสวรรค์อีกครั้งก็ได้ เธอสามารถเคลื่อนไปเป็นวงจร (จะกี่รอบก็แล้วแต่) เธอสามารถเคลื่อนไปเป็นวงกลม (ทวนเข็ม,ตามเข็ม) เธอสามารถเดินทางไปในแบบเกลียว เธอสามารถเคลื่อนไปในแบบเส้นตรง เธอสามารถ 'พักอยู่บนสวรรค์' ได้นานชั่วกัปกัลป์ เธอสามารถกลับมายังโลกนี้ในวินาทีถัดไปก็ยังได้ —เธอสามารถเป็นได้ทำได้ทุกอย่างตามที่เธอปรารถนา
“Do you have any idea Who You Are❓”
"เธอมีความคิดอะไรบ้างไหมว่าเธอคือใคร❓"
N : You’re trying to tell me here, and I see that I’m resisting it.
นีล : พระองค์กำลังพยายามบอกผมที่นี่ และผมก็เห็นว่าผมกำลังต่อต้านมัน
G : “Thou art God.”
พระเจ้า : "เธอคือพระเจ้า"
➖➖➖จบบทที่ 3️⃣2️⃣➖➖➖

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา