Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Vate's Pharma Scope
•
ติดตาม
5 ก.พ. เวลา 12:20 • สุขภาพ
เบาหวานควบคุมได้...ถ้าจัดการเชื้อร้ายในกระเพาะอาหาร?
ปัจจุบันโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ยังเป็นปัญหาสุขภาพระดับโลกอยู่ แม้ในไทยก็ยังเป็นปัญหาอยู่นะครับ ผมเชื่อว่าแทบทุกโรงพยาบาลในประเทศไทย ถ้าถามว่าป่วยเป็นโรคอะไรเยอะสุด Top5 ต้องมีเบาหวานชนิดที่ 2 ติดโผแน่ๆ และผู้ป่วยส่วนใหญ่ก็คุมน้ำตาลกันไม่ค่อยจะได้ ประเด็นที่อยากชวนคุยในบทความนี้ก็คือ มันจะมีเชื้อโรคชนิดหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในกระเพาะอาหารของเราครับ และอาจส่งผลกระทบต่อการควบคุมเบาหวานได้ เชื้อโรคนั้นก็คือ Helicobacter pylori หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า H. pylori ครับ
เชื้อ H. pylori เป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบได้บ่อยในกระเพาะอาหารของคนเรา และเป็นสาเหตุสำคัญของโรคกระเพาะอาหารอักเสบ แผลในกระเพาะอาหาร และมะเร็งกระเพาะอาหาร แต่ที่น่าสนใจก็คือ งานวิจัยล่าสุดพบว่าเชื้อ H. pylori ยังมีความเชื่อมโยงกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อีกด้วย ผู้ป่วยเบาหวานมักจะมีการติดเชื้อ H. pylori มากกว่าคนทั่วไป และการติดเชื้อนี้อาจทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น (ไปกันใหญ่เลยทีนี้)
บทความนี้ ผมจึงจะพาทุกท่านไปเจาะลึกถึงงานวิจัยที่ศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการใช้ยาคู่หนึ่งคือ vonoprazan+amoxicillin ที่ใช้ในการกำจัดเชื้อ H. pylori ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 พร้อมทั้งไขข้อสงสัยว่า การกำจัดเชื้อนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีขึ้นจริงหรือไม่? ถ้าพร้อมแล้ว ไปติดตามกันเลยครับ
มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่า ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีแนวโน้มที่จะติดเชื้อ H. pylori มากกว่าคนทั่วไป และการติดเชื้อนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของโรคกระเพาะอาหารเท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลเสียต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การติดเชื้อ H. pylori อาจส่งผลต่อความไวของอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด คือเมื่อเชื้อ H. pylori ทำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย อาจส่งผลให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ไม่ดีเท่าที่ควร หรือที่เราเรียกว่า "ภาวะดื้อต่ออินซูลิน" เมื่อเกิดภาวะนี้ ระดับน้ำตาลในเลือดก็จะสูงขึ้น และควบคุมได้ยากขึ้นในที่สุด
นอกจากนี้ การติดเชื้อ H. pylori ยังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ในผู้ป่วยเบาหวาน เช่น โรคไตจากเบาหวาน และโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้น การกำจัดเชื้อ H. pylori ในผู้ป่วยเบาหวานจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ในอดีต การรักษาเชื้อ H. pylori มักจะใช้ยาปฏิชีวนะหลายชนิดร่วมกับยาลดกรดในกลุ่ม PPIs (Proton Pump Inhibitors) แต่ในปัจจุบัน มีการพัฒนายาใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพและสะดวกสบายมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ "วอนโนพราซาน" (Vonoprazan) ซึ่งเป็นยาลดกรดในกลุ่ม PCABs (Potassium-Competitive Acid Blockers) ที่มีฤทธิ์ลดกรดได้รวดเร็วและยาวนานกว่า PPIs
ในงานวิจัยที่ผมอ้างอิงนี้ได้ศึกษาการใช้ยา "วอนโนพราซาน" ร่วมกับ "อะม็อกซีซิลลิน" (Amoxicillin) ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะ ในการรักษาเชื้อ H. pylori ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โดยทำการทดลองในผู้ป่วยเบาหวาน 75 ราย ที่ติดเชื้อ H. pylori และให้ผู้ป่วยรับประทานยาคู่นี้เป็นเวลา 14 วัน
ผลการวิจัยพบว่า ยาคู่ "วอนโนพราซาน-อะม็อกซีซิลลิน" มีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อ H. pylori ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้สูงถึง 84% ในการวิเคราะห์แบบ ITT (Intention-to-Treat analysis) และ 87.14% ในการวิเคราะห์แบบ PP (Per-Protocol analysis) ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูงมาก เมื่อเทียบกับการรักษาแบบเดิมๆ ที่อาจมีอัตราการกำจัดเชื้อในผู้ป่วยเบาหวานต่ำกว่านี้
นอกจากประสิทธิภาพที่สูงแล้ว ยาคู่นี้ยังมีความปลอดภัยที่ดีอีกด้วยครับ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการข้างเคียงเพียงเล็กน้อย เช่น ปากแห้ง คลื่นไส้ ผื่น ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องอืด หรืออ่อนเพลีย ซึ่งอาการเหล่านี้มักไม่รุนแรงและหายได้เอง โดยไม่มีผู้ป่วยรายใดเกิดอาการข้างเคียงรุนแรงที่ต้องหยุดการรักษา
ถึงแม้ว่ายาคู่ "วอนโนพราซาน-อะม็อกซีซิลลิน" จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็ยังมีปัจจัยบางอย่างที่อาจส่งผลให้การรักษาเชื้อ H. pylori ในผู้ป่วยเบาหวานล้มเหลวได้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลในงานวิจัย พบว่า ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ 2 ประการ คือ
1.
ผู้ป่วยเบาหวานที่สูบบุหรี่มีโอกาสที่การรักษาเชื้อ H. pylori จะล้มเหลวมากกว่าผู้ป่วยที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 4.59 เท่า การสูบบุหรี่ส่งผลเสียต่อการไหลเวียนเลือดในกระเพาะอาหาร และลดการหลั่งเมือก ซึ่งอาจทำให้ยาปฏิชีวนะเข้าถึงเชื้อ H. pylori ได้ยากขึ้นนั่นเอง
2.
ผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (A1C) สูง มีโอกาสที่การรักษาเชื้อ H. pylori จะล้มเหลวมากกว่าผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาล A1C ต่ำกว่า 1.65 เท่า ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายกำจัดเชื้อโรคได้ไม่ดีเท่าที่ควร
ดังนั้น ผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องการรักษาเชื้อ H. pylori ให้ประสบความสำเร็จ ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งจากงานวิจัยนี้คือ ผู้ป่วยเบาหวานที่รักษาเชื้อ H. pylori สำเร็จ มีแนวโน้มที่ระดับน้ำตาล A1C จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากติดตามผลเป็นเวลา 3 เดือน พบว่า ระดับน้ำตาล A1C ในกลุ่มที่รักษาสำเร็จลดลงจาก 7.70% เหลือ 7.23% (เยอะอยู่นะ เกือบ 0.5%) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การกำจัดเชื้อ H. pylori อาจมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานให้ดีขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนงานวิจัยเองก็ยอมรับว่า ข้อมูลในส่วนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปได้อย่างชัดเจน เนื่องจากมีผู้ป่วยที่ติดตามผลระดับ A1C ไม่มากนัก และยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด เช่น อาหาร การออกกำลังกาย และการใช้ยา
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในอนาคต เพื่อยืนยันผลกระทบของการกำจัดเชื้อ H. pylori ต่อระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สุดท้ายแล้ว เราได้เห็นถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยาคู่ "วอนโนพราซาน-อะม็อกซีซิลลิน" ในการรักษาเชื้อ H. pylori ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ การกำจัดเชื้อ H. pylori ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระเพาะอาหาร แต่ยังอาจมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดีขึ้นได้อีกด้วย (น่าสนใจ)
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ผู้ป่วยเบาหวานไม่ควรมองข้ามก็คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้มีสุขภาพดี ควบคู่ไปกับการรักษาเชื้อ H. pylori (ถ้ามีการติดเชื้อ) การงดสูบบุหรี่ การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการควบคุมเบาหวานให้มีประสิทธิภาพ
แล้วพบกันใหม่ในบทความต่อไปครับ
เอกสารอ่านเพิ่มเติม
1.
https://www.nature.com/articles/s41598-025-85628-5
ความรู้รอบตัว
สุขภาพ
ข่าวรอบโลก
บันทึก
3
2
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
รู้ลึก รู้จริง เรื่องยาเบาหวาน
3
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย