Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Vate's Pharma Scope
•
ติดตาม
4 ก.พ. เวลา 04:20 • สุขภาพ
หยุด! อย่าเพิ่งอดอาหารแบบผิดๆ เปิดความลับ "Intermittent Fasting" ที่คนเป็นเบาหวานควรรู้
สวัสดีครับทุกคน กลับมาพบกันอีกครั้งกับเภสัชกรเวชคนเดิม เพิ่มเติมคือข้อมูลแน่นปึ๊ก! 😅วันนี้ผมอยากจะมาพูดคุยถึงเรื่องที่กำลังเป็นกระแสและหลายคนอาจจะยังสับสนอยู่ นั่นก็คือ "Intermittent Fasting" หรือการอดอาหารเป็นช่วงเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นโรคที่คนไทยเราเป็นกันเยอะมาก
หลายคนอาจจะเคยได้ยินมาว่า Intermittent Fasting เนี่ยดีนะ ช่วยลดน้ำตาล ลดน้ำหนักได้ แต่ก็อาจจะยังไม่แน่ใจว่ามันจริงไหม แล้วมันปลอดภัยสำหรับคนเป็นเบาหวานหรือเปล่า? บทความนี้ผมจะพาไปเจาะลึกเรื่องนี้กันครับ โดยอิงข้อมูลจากการศึกษาล่าสุดที่ผมได้อ่านมา เพื่อให้ทุกคนเข้าใจอย่างถูกต้อง และนำไปปรับใช้กับตัวเองได้อย่างปลอดภัยและได้ผลจริง
แกะกล่องงานวิจัย: Meta-analysis คืออะไร? ทำไมถึงน่าเชื่อถือ?
ก่อนจะไปต่อ ผมขออธิบายคำว่า "Meta-analysis" สั้นๆ ก่อนนะครับ เผื่อใครยังไม่คุ้นเคย Meta-analysis เนี่ย ไม่ใช่งานวิจัยใหม่ที่ทำขึ้นมาเองนะครับ แต่เป็นการรวบรวมงานวิจัยหลายๆ ชิ้นที่ศึกษาเรื่องเดียวกัน แล้วเอาข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์ใหม่ในภาพรวม
คิดง่ายๆ เหมือนเราดูหนังเรื่องเดียวกัน อาจจะเห็นมุมมองไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเราเอานักวิจารณ์หนังหลายๆ คนมารีวิวหนังเรื่องเดียวกัน แล้วสรุปออกมาเป็นภาพรวม เราก็จะเห็นภาพที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือมากขึ้นใช่ไหมครับ Meta-analysis ก็เหมือนกันครับ มันช่วยให้เราเห็นภาพรวมที่ใหญ่ขึ้นและข้อสรุปที่น่าเชื่อถือมากขึ้นกว่าการดูงานวิจัยแค่ชิ้นเดียว
งานวิจัยที่จะพูดในบทความนี้ก็เป็น Meta-analysis ครับ เค้ารวบรวมงานวิจัยแบบ Randomized Controlled Trial (RCT) หรือการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานสูงสุดของการวิจัยทางการแพทย์เลยนะครับ แล้วเค้าก็เอาข้อมูลจากงานวิจัย RCT เหล่านี้มาวิเคราะห์ เพื่อตอบคำถามว่า "IF เนี่ย ดีจริงไหมสำหรับคนเป็นเบาหวาน"
ผลลัพธ์ที่ "ไม่ว้าว" แต่ "จริงจัง" ตัวเลขจากงานวิจัยบอกอะไร?
ทีนี้มาดูผลลัพธ์กันครับ ข้อมูลจากงานวิจัย 4 ชิ้นที่มีผู้เข้าร่วมรวมกัน 238 คน ซึ่งถือว่าไม่น้อยเลยนะครับ ผลการวิเคราะห์หลักๆ ผมสรุปมาให้เข้าใจง่ายๆ คือ
1. ระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c) เค้าดูว่า IF ช่วยลด HbA1c ได้ดีกว่าการกินอาหารปกติไหม? ผลคือ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติครับ ค่าความแตกต่างเฉลี่ยอยู่ที่ -1.27% แต่ช่วงความเชื่อมั่น 95% (Confidence Interval หรือ CI) มันกว้างมาก คือ [-3.71 ถึง 1.17] แปลว่าจริงๆ แล้ว ความแตกต่างมันอาจจะติดลบ (IF แย่กว่า) หรือเป็นบวก (IF ดีกว่า) ก็ได้ แต่โดยรวมแล้ว “สรุปไม่ได้ว่า IF ดีกว่า” ครับ
2. ระดับน้ำตาลตอนเช้า (Fasting Plasma Glucose) ผลก็คล้ายๆ กันครับ ไม่แตกต่างกันระหว่างกลุ่ม IF กับกลุ่มที่กินอาหารปกติ ความแตกต่างเฉลี่ย -1.66 (หน่วยวัดน่าจะเป็น mg/dL) ช่วงความเชื่อมั่น 95% คือ [-4.22 ถึง 0.90] ก็คือ “สรุปไม่ได้ว่า IF ดีกว่า” อีกเช่นกัน
3. น้ำหนักตัว เรื่องลดน้ำหนัก หลายคนอาจจะคิดว่า IF ต้องดีกว่าแน่ๆ แต่ผลวิเคราะห์ก็ออกมาว่าไม่แตกต่างกันครับ ความแตกต่างเฉลี่ย -0.26 กิโลกรัม ช่วงความเชื่อมั่น 95% คือ [-1.43 ถึง 0.91 กิโลกรัม] คือ สรุปไม่ได้ว่า IF ช่วยลดน้ำหนักได้ดีกว่าการกินอาหารปกติ
ย้ำอีกครั้ง ไม่ได้ "แย่" แต่ไม่ได้ "เหนือกว่า"
ผมขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า ผลลัพธ์เหล่านี้ ไม่ได้แปลว่า IF "แย่" นะครับ แต่แปลว่า มันไม่ได้ "เหนือกว่า" การกินอาหารแบบปกติ ในแง่ของการควบคุมระดับน้ำตาลและลดน้ำหนัก สำหรับคนเป็นเบาหวานชนิดที่ 2
นอกจากนี้ เรื่องความปลอดภัยก็สำคัญมากๆ เค้าพูดถึง ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเป็นเบาหวานต้องระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะคนที่ กินยาหรือฉีดอินซูลินอยู่แล้ว
งานวิจัยพบว่าความถี่ของการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ ไม่ได้แตกต่างกัน ระหว่างกลุ่ม IF กับกลุ่มที่กินอาหารปกติ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ภาวะน้ำตาลต่ำมักจะเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่ใช้ยาในกลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (Sulfonylureas) หรืออินซูลินอยู่แล้ว
ยาซัลโฟนิลยูเรียเนี่ย เป็นยากลุ่มที่กระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลินมากขึ้น ซึ่งถ้าเราอดอาหารนานๆ แล้วยังกินยาอยู่ อินซูลินอาจจะออกมาเยอะเกินไป จนน้ำตาลในเลือดต่ำได้ ส่วนอินซูลินก็ตรงไปตรงมา คือเป็นฮอร์โมนที่ลดน้ำตาลในเลือดโดยตรง ถ้าอดอาหารแล้วยังฉีดอินซูลินในขนาดเท่าเดิม ก็เสี่ยงน้ำตาลต่ำได้เหมือนกัน
ดังนั้น ถ้าคุณเป็นเบาหวานและกำลังใช้ยาเหล่านี้อยู่ การทำ IF ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษและ ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอเพื่อปรับยาให้เหมาะสม
ข้อดี-ข้อเสีย (ฉบับละเอียด)
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ผมขอสรุปข้อดีและข้อเสียของ IF จากงานวิจัยใน PDF นี้ แบบละเอียดอีกทีนะครับ
ข้อดี (ที่อาจจะไม่ได้ "ว้าว" อย่างที่คิด)
1. อาจจะสะดวกสำหรับบางคน บางคนอาจจะชอบการจำกัดเวลากิน เพราะรู้สึกว่ามันง่าย ไม่ต้องคิดเยอะเรื่องอาหารมากนัก (แต่จริงๆ แล้วต้องวางแผนเรื่องอาหารที่กินในช่วงที่กินได้อยู่ดีนะครับ)
2. อาจจะยืดหยุ่น มีรูปแบบ IF ให้เลือกหลายแบบ เช่น อดวันเว้นวัน อดเฉพาะบางช่วงเวลาของวัน อาจจะปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ได้ง่ายกว่า (แต่ก็ต้องดูว่ารูปแบบไหนเหมาะกับเราจริงๆ และทำได้ในระยะยาว)
ข้อเสีย/ข้อจำกัด (ที่ต้องพิจารณา)
1. ผลลัพธ์ไม่ต่างจากการกินอาหารปกติ ย้ำอีกครั้งว่า ในแง่ของการคุมเบาหวานและลดน้ำหนัก งานวิจัยนี้สรุปว่า IF ไม่ได้ดีไปกว่าการกินอาหารแบบปกติ
2. ความหลากหลายของงานวิจัย งานวิจัยที่เอามาวิเคราะห์ใน Meta-analysis นี้ ก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง เช่น รูปแบบ IF ที่ใช้ ระยะเวลาการศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ทำให้ผลลัพธ์อาจจะยังไม่ "นิ่ง" เท่าที่ควร
3. ขนาดตัวอย่าง (ในบางงานวิจัย) ถึงแม้ Meta-analysis จะรวมข้อมูลจากหลายงานวิจัย แต่บางงานวิจัยที่เอามาใช้ ก็อาจจะมีขนาดตัวอย่างผู้เข้าร่วมวิจัยไม่มากนัก ทำให้ผลลัพธ์จากงานวิจัยนั้นๆ อาจจะยังไม่หนักแน่นเท่าที่ควร
4. ความเสี่ยงภาวะน้ำตาลต่ำ (ในคนใช้ยาบางชนิด) ถึงแม้ความถี่โดยรวมจะไม่ต่าง แต่คนที่เป็นเบาหวานและใช้ยาบางชนิด (เช่น ซัลโฟนิลยูเรีย, อินซูลิน) ก็ต้องระวังเรื่องน้ำตาลต่ำเป็นพิเศษ
บทสรุป IF...ไม่ใช่ "ทางด่วน" สู่สุขภาพดี แต่เป็น "ทางเลือก" ที่ต้อง "รู้จริง" ก่อนลอง
จากข้อมูลทั้งหมดที่ผมเล่ามา ผมอยากจะย้ำว่า Intermittent Fasting เป็น "ทางเลือก" หนึ่งในการดูแลสุขภาพสำหรับคนเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ครับ แต่ไม่ใช่ "ทางด่วน" ที่จะพาเราไปถึงเป้าหมายสุขภาพได้เร็วกว่า หรือดีกว่าวิธีอื่นๆ
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดูแลเบาหวานชนิดที่ 2 ยังคงเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตครับ ไม่ว่าเราจะเลือกกินแบบ IF หรือแบบไหนก็ตาม หัวใจสำคัญคือ
1. กินอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี โปรตีน ไขมันดี ลดอาหารแปรรูป น้ำตาลสูง ไขมันอิ่มตัว
2. ควบคุมปริมาณแคลอรี่ให้เหมาะสม ถ้าต้องการลดน้ำหนัก ก็ต้องกินให้น้อยกว่าพลังงานที่ใช้ไป (แต่ต้องไม่น้อยเกินไปจนร่างกายขาดสารอาหาร)
3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ช่วยควบคุมน้ำตาล ลดน้ำหนัก และเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม
4. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ปรึกษาแพทย์ เภสัชกร นักโภชนาการ เพื่อวางแผนการดูแลเบาหวานที่เหมาะสมกับตัวเอง
ผมหวังว่าบทความนี้ จะให้ข้อมูลที่ละเอียดและช่วยให้ทุกคนเข้าใจเรื่อง Intermittent Fasting สำหรับคนเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ได้อย่างถูกต้อง อย่าลืมว่า "ความรู้" คือ "พลัง" ในการดูแลสุขภาพตัวเองนะครับ แล้วพบกันใหม่ในบทความต่อไปครับ
เอกสารอ่านเพิ่มเติม
1.
https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S2666970624000532
สุขภาพ
ข่าวรอบโลก
ความรู้รอบตัว
1 บันทึก
7
3
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
รู้ลึก รู้จริง เรื่องยาเบาหวาน
1
7
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย