5 ก.พ. เวลา 09:55 • หนังสือ

#48 HWG : บทที่ 3️⃣4️⃣ : เพื่อเข้าใจความจริงสูงสุดได้อย่างแท้จริง เธอต้องออกจากความคิด

▪️ผู้แปล : อุดม (แอดมิน)
✴️ โหลด 'ไฟล์ภาพ' เพื่อเก็บไว้อ่านทีหลัง ⬇️
Chapter 3️⃣4️⃣
To truly understand Ultimate Reality
you have to be out of your mind.
เพื่อเข้าใจความจริงสูงสุดได้อย่างแท้จริง
เธอต้องออกจากความคิด
Neale : I can’t believe what we’re talking about here. And I can’t believe how public this is. Do I have to put this all in the book❓
นีล : ผมยังไม่อาจทำใจให้เชื่อถึงสิ่งที่เราเพิ่งได้พูดคุยกันไป* และผมก็ไม่เชื่อว่าเรื่องนี้จะเปิดเผยต่อสาธารณะได้ ผมต้องใส่เรื่องทั้งหมดนี้ลงในหนังสือด้วยหรือไม่ครับ❓
(*เรื่องที่วิญญาณสามารถย้อนกลับมาในช่วงเวลาก่อนหน้าที่ตัวตนก่อนตายจะตายได้ แล้วเข้าสู่ความเป็นจริงทางเลือกหรือความจริงคู่ขนานอีกเส้นทางหนึ่งเพื่อมีชีวิตด้วยอัตลักษณ์เดิมต่อไปเพื่อมีประสบการณ์ให้ครบถ้วนสมบูรณ์)
God : “You said—I did not say, YOU said—that you were pledged to making this a full and complete and accurate transcript of our conversation, with nothing left out. I was the one who said that you might be tempted to edit it. You were the one who said, no way, it’s not going to happen. So now you’re remembering something else. Now you’re remembering about keeping your word. Doing what you say. Being counted on. Is this Who You Are❓ It’s your choice.
พระเจ้า : "เธอเคยพูดว่า —ฉันไม่ได้พูดนะ ตัวเธอเองที่เป็นคนพูดว่า— เธอสัญญาว่าจะทำให้นี่เป็นบันทึกการสนทนาที่สมบูรณ์ ครบถ้วน และเที่ยงตรง โดยไม่ละเว้นสิ่งใดไว้ และฉันเป็นคนที่บอกว่า เธออาจจะถูกล่อลวงให้แก้ไขข้อความ และเธอเป็นคนที่ตอบว่า ไม่มีทางครับ เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้น ดังนั้นในตอนนี้เธอกำลังจดจำได้ในอีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้เธอกำลังจดจำได้ในเรื่อง 'การรักษาคำพูด' 'การทำตามที่ตัวเองพูด' 'การเป็นที่ไว้วางใจ' นี่คือตัวตนของเธอในตอนนี้หรือไม่❓ นี่เป็นทางเลือกของเธอ
“It’s always your choice.”
"มันเป็นทางเลือกของเธอเสมอ"
N : Whew. You make it tough.
นีล : เฮ้อ 😮‍💨 พระองค์ทำให้มันยากขึ้นไปอีก
G : “Look, you can stop right here. End the book. It’s been an interesting book. Don’t go any further. You’ve said enough. For some, maybe even too much. Just close the computer and let it go.”
พระเจ้า : "ฟังนะ เธอสามารถหยุดได้ตรงนี้ หนังสือจบลงที่ตรงนี้ เพราะหนังสือเล่มนี้น่าสนใจมากพอแล้ว เธอพูดมามากพอแล้ว สำหรับบางคน บางทีมันอาจจะมากเกินไปแล้วด้วยซ้ำ เพียงแค่ปิดคอมพิวเตอร์และปล่อยมันไป"
N : No. We’re right at Breakthrough here. There is Breakthrough, and not just for me. This is Breakthrough for everyone reading this. Even for those who don’t know that it’s Breakthrough, it is. I can sense it.
นีล : ไม่ครับ เราได้มาถึงจุดเปลี่ยนแล้ว เนื้อหาเหล่านี้คือจุดเปลี่ยน และคงไม่ใช่แค่สำหรับผมคนเดียวเท่านั้น แต่นี่คือจุดเปลี่ยนสำหรับทุกคนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ แม้แต่สำหรับผู้ที่ไม่รู้ว่านี่คือจุดเปลี่ยน แต่มันก็คือจุดเปลี่ยน ผมรู้สึกได้*
(*จุดเปลี่ยน คือ มันถึงเวลาในการทลายกรอบทลายกรงขัง ที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยความเชื่อเดิมๆ ความรู้แบบเดิมๆ ที่เรายึดถือไว้ ที่มันผูกมัดเราเอาไว้ มันถึงเวลาแล้วที่จะเป็นอิสระในการกระชากโซ่ตรวนที่พัฒนาการเราเอาไว้ให้ขาดสะบั้น แล้วพุ่งทะยานออกจากกรอบนี้ไป จากกรงขังนี้บินขึ้นท้องฟ้ากว้างไป เพื่อออกไปดูโลกข้างนอกนั่น)
G : “So where do you want to go❓”
พระเจ้า : "แล้วเธออยากจะรู้เรื่องอะไรอีก❓"
N : I want to explore that last exchange a little more deeply. Then I think we can bring our conversation to a conclusion.
นีล : ผมอยากสำรวจการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในหัวข้อล่าสุดของเราให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จากนั้นผมคิดว่าเราจะสามารถสรุปการสนทนาในครั้งนี้ของเราได้
G : “I have one more thing to tell you. One more major revelation. Then we can conclude.”
พระเจ้า : "ฉันมีอีกเรื่องหนึ่งที่จะบอกเธอ หนึ่งการเปิดเผยที่สำคัญ แล้วการสนทนาของเราในครั้งนี้จะมาถึงบทสรุป"
N : A deal. So let me see if I understand our last exchange. You’re saying that every soul, after the moment of death, is given an opportunity to reverse the process of death itself. I’ve got that. It’s a stunning thought, and I get it. It’s something you would do. It makes perfect sense, given how much you love us.
นีล : ตกลงครับ งั้นให้ผมดูว่าผมเข้าใจการแลกเปลี่ยนในหัวข้อล่าสุดของเราได้ถูกต้องหรือเปล่า พระองค์กำลังบอกว่าทุกดวงวิญญาณ หลังจากช่วงเวลาแห่งความตาย จะได้รับโอกาสในการย้อนกลับกระบวนการของความตาย ผมเข้าใจเรื่องนั้น แม้ว่ามันจะเป็นแนวคิดที่น่าตื่นตะลึง แต่ผมก็เข้าใจ มันเป็นสิ่งที่พระองค์คงจะทำ และมันก็สมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง ดูจากการที่พระองค์รักพวกเรามากขนาดไหน
G : “I’m glad that you see that. Trusting in the love of God will serve you all the days of your life, and on the day of your death as well. I do love you. I love you all, dearly.”
พระเจ้า : "ฉันดีใจที่เธอเข้าใจได้อย่างนั้นนะ การไว้วางใจในความรักของพระเจ้าจะรับใช้เธอไปตลอดชีวิตของเธอในทุกๆวัน รวมถึง ในวันแห่งความตายของเธอด้วย ฉันรักเธอ ฉันรักพวกเธอทุกๆคน อย่างแท้จริง 💟"
N : So just tell me, how does this all happen❓And if we really do ‘come back,’ how does that occur❓ Not everyone dies in such a convenient way that they can just be ‘brought back to life’ easily. I mean, some people died on the battlefield, or in accidents, and they’re lying in pieces. Excuse me for being so graphic, but they are. Not everyone dies comfortably in bed, so they can just ‘wake up’ and the doctor can say, ‘it’s a miracle!’
นีล : งั้นช่วยบอกผมทีครับว่า เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร❓และถ้าเรา 'กลับมา' ได้จริงๆ มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร❓ ไม่ใช่ทุกคนจะตายในลักษณะที่สะดวกพอที่จะ 'ฟื้นคืนชีพ' ได้ง่ายๆ ผมหมายความว่า บางคนตายบนสนามรบ หรือในอุบัติเหตุ และพวกเขากระจัดกระจายเป็นชิ้นๆอยู่บนพื้น ขอโทษที่ต้องพูดแบบให้เห็นภาพนะครับ แต่นั่นคือความจริง ไม่ใช่ทุกคนจะได้ตายอย่างสบายอยู่บนเตียง เพื่อที่จะ 'ตื่นขึ้น' และแพทย์ก็จะบอกว่า 'นี่คือปาฏิหาริย์❗'
G : “Let’s go back just a tiny bit.
พระเจ้า : "ให้เราย้อนกลับไปสักหน่อย
After you ‘die,’ you move through the first two stages of death, just as I have described. You realize, first, that you are not your body. Then you experience whatever you next expect to experience, based on what you believe. You may have that experience as long as you wish, as long as it pleases you.
Then you move into the third stage of death. This is the final stage, when you experience Total Immersion with the Essence, emerge from that experience to move through a review of the physical life you have just concluded, and then decide whether to ‘go on or go back,’ as you put it.”
"หลังจากที่เธอ 'ตาย' เธอจะผ่านสองขั้นตอนแรกของความตาย ตามที่ฉันได้อธิบายไป ก่อนอื่น เธอจะตระหนักได้ว่าเธอไม่ใช่ร่างกายของเธอ แล้วเธอจะได้ประสบกับสิ่งที่เธอคาดหมายว่าจะได้ประสบต่อไป ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เธอเชื่อ เธออาจจะมีประสบการณ์นั้นได้นานเท่าที่เธอต้องการ นานเท่าที่เธอพอใจ
จากนั้นเธอจะเข้าสู่ขั้นตอนที่สามของความตาย นี่คือขั้นตอนสุดท้าย เมื่อเธอได้สัมผัสกับการรวมเป็นหนึ่งกับสัจธรรมอย่างสมบูรณ์ พอออกจากประสบการณ์นั้นก็จะได้ทบทวนชีวิตทางกายภาพที่เธอเพิ่งผ่านไป และจากนั้นเธอจึงตัดสินใจว่าจะ 'ไปต่อ หรือ กลับมา' ตามแบบภาษาพูดของเธอ"
N : I make this decision based on what I’ve seen in my Life Review.
นีล : ผมจะตัดสินใจเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ผมได้เห็นในการทบทวนชีวิตของผม
G : “Essentially, yes. Based on what you’ve seen and whether there is anything that you still wish to Know and to Experience as a soul carrying the particular identity that you thought of as ‘you.’ In other words, based on whether you feel ‘complete’ or not.”
พระเจ้า : "โดยหลักการแล้วก็ ใช่ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เธอได้เห็น และว่ามีบางสิ่งที่เธอยังต้องการรู้และมีประสบการณ์ในฐานะดวงวิญญาณที่รับบทเป็นตัวตนหนึ่งที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนที่เธอคิดว่าเป็น 'ตัวเธอ' (ในโลกทางกายภาพ) นั้นอีกหรือไม่ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ขึ้นอยู่กับว่าเธอรู้สึก 'สมบูรณ์' (กับตัวตนปัจเจกนั้น) แล้วหรือไม่"
N : But I thought…you know, I really have been listening to you very closely here, and I thought that you said earlier that no one dies ever feeling incomplete. You said, very directly, that no one dies having failed to experience all that they came to the physical world to experience. There is no such thing as being ‘incompetent.’ and you said this is what is meant by…the Eleventh Remembrance. The timing and the circumstance of death are always perfect.
นีล : แต่ผมคิดว่า... พระองค์รู้ไหม ผมต้้งใจฟังสิ่งที่พระองค์พูดอย่างมาก และผมคิดว่าพระองค์เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่า ไม่มีใครตายโดยรู้สึกไม่สมบูรณ์เลย พระองค์พูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ไม่มีใครตายโดยไม่ได้ประสบกับทุกสิ่งที่พวกเขามาในโลกทางกายภาพเพื่อประสบ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า 'ไร้ความสามารถ หรือ ไม่ดีพอ' และพระองค์ยังพูดถึงสิ่งนี้ไว้ในตอน...ความทรงจำที่ 1️⃣1️⃣ ว่า จังหวะเวลาและสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความตายนั้นสมบูรณ์แบบเสมอ
G : “Everything that was said is what is so.”
พระเจ้า : "ทุกสิ่งที่เคยได้กล่าวไปนั้นคือ สิ่งที่เป็นเช่นนั้น"
N : Yet now you are saying that after a person dies they may feel ‘incomplete’ with something or another, and so may ‘return to life,’ so to speak, and relive the moment of their death in a new way that…that…
นีล : แต่ตอนนี้พระองค์กำลังบอกว่าหลังจากที่คนๆหนึ่งตาย พวกเขาอาจรู้สึก 'ไม่สมบูรณ์' กับบางสิ่ง หรือ บางคน และดังนั้นพวกเขาจึงอาจ 'ฟื้นคืนชีพ' จะพูดแบบนั้นก็ได้ และมีชีวิตใหม่อีกครั้งก่อนจะมาถึงช่วงเวลาแห่งความตายของตนในวิธีใหม่ที่... ที่...
G : “That…what❓"
พระเจ้า : "ที่... อะไร❓"
N : That eliminates the fact that they died.
นีล : ที่ขจัดข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาได้ตายไปแล้ว* (*ข้ามไปสู่อีกเส้นเวลานึง หรือ ไปสู่ความจริงคู่ขนาน แล้วมีชีวิตต่อไปด้วยอัตลักษณ์เดิม)
G : “Exactly. Which means that they didn’t die. Which means that ‘the timing and the circumstances of death are always perfect.’ Which means that no one dies having failed to experience all that they came to the physical world to experience.”
พระเจ้า : "ใช่แล้ว ซึ่งก็หมายความว่าพวกเขาไม่ได้ตาย * (*เพราะมีชีวิตต่อไปในอีกความจริงคู่ขนานนึง) ซึ่งหมายความว่า 'จังหวะเวลาและสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความตายนั้นสมบูรณ์แบบเสมอ'* (*หมายถึงครั้งแรกที่ตายไปนั้นสมบูรณ์ในแบบของมันแล้ว) ซึ่งหมายความต่อว่า ไม่มีใครตายโดยไม่ได้ประสบกับทุกสิ่งที่พวกเขามาในโลกทางกายภาพเพื่อประสบ"**
**หมายถึงตั้งใจตายเพราะต้องการมอบประสบการณ์บางอย่างให้กับผู้กำเนิดของตนตามแผนที่วางไว้ร่วมกันก่อนกลับมาที่โลกทางกายภาพ ซึ่งก็ได้มีประสบการณ์ถึงความตายนั้นจริงๆในเวลาที่จะต้องตายนั้นจริงๆตามแผนที่วางไว้เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งพอออกจากโลกทางกายภาพไปในคราวนี้ ผ่าน 3 ขั้นตอนของความตายอีกครั้ง ได้ทบทวนถึงชีวิตที่ผ่านมาอีกครั้ง พอเห็นว่าพึ่งจะมีประสบการณ์ไปได้แค่ไม่กี่เดือนแล้วก็ตาย ยังมีสิ่งที่ต้องรู้และมีประสบการณ์ด้วยอัตลักษณ์นี้อีกมาก ก็เลยเลือกที่จะกลับมาเป็นอัตลักษณ์นี้อีกแล้วก็มีชีวิตเพื่อมีประสบการณ์ต่อไปในอีกเส้นเวลานึง หรือ ในอีกความเป็นจริงคู่ขนานนึง —ผู้แปล—
N : Yes, but they did die and found that they were incomplete, and so they went back. But this proves that they can die being incomplete.
นีล : ใช่ครับ แต่พวกเขาก็ตายและพบว่าตนเองยังไม่สมบูรณ์ไงครับ ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงเลือกกลับมา ซึ่งนี่ก็พิสูจน์ว่าพวกเขาสามารถตายโดยไม่สมบูรณ์ได้
G : “I see how you would think that, so I will give you now one more piece of information.
พระเจ้า : "ฉันเข้าใจว่าเธอคิดอย่างไร ดังนั้นฉันจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับเธออีกชิ้นหนึ่ง
“The process of what you call ‘death’ is not complete until the soul ‘passes over’ to ‘the other side.’
"กระบวนการที่เธอเรียกว่า 'ความตาย' จะยังไม่สมบูรณ์จนกว่าดวงวิญญาณจะ 'ข้ามผ่าน' ไปยัง 'อีกด้านหนึ่ง'
“It is on ‘the other side’ of the Applorange, it is in the spiritual realm, that the soul does the joyful work of establishing its identity, and re-creating it anew.
"ที่ 'อีกด้าน' ของ 'แอปเปิ้ลส้ม' นั้นอยู่ในอาณาจักรแห่งจิตวิญญาณ ที่ซึ่งดวงวิญญาณทำงานกันอย่างมีความสุขในการสถาปนาอัตลักษณ์ (ตัวตนปัจเจกใหม่) และสร้างมันขึ้นมาใหม่
“And so, no one ‘dies’ to the old until they ‘cross over’ this threshold. To put this another way, your death is not final until you say it is final.
"ดังนั้น 'ตัวตนเก่า' จะยังไม่ตาย จนกว่าจะ 'ข้ามพ้น' ธรณีประตูนี้ไป กล่าวได้อีกอย่างว่า ความตายของเธอยังไม่ถาวรจนกว่าเธอจะบอกว่ามันถาวร
“If you indicate, at the moment of the Holy Inquiry, that you do not feel complete, and wish to return to the physical life from which you have just emerged, you may do so, and you will do so instantly.”
"หากเธอบ่งบอก ณ ช่วงเวลาแห่งการไต่สวนอันศักดิ์สิทธิ์ ว่าเธอยังรู้สึกไม่สมบูรณ์ และต้องการกลับไปยังชีวิตทางกายภาพที่เธอเพิ่งผ่านมา เธอก็สามารถทำได้ และเธอสามารถกลับไปได้ในทันที"
N : Yes, but you do this, you said, by ‘jumping realities.’ You said the soul jumped to an alternate reality. In that case, the soul in this reality did die incomplete.
นีล : ก็ใช่ครับ แต่นั่นเป็นการ 'กระโดดข้ามไปยังอีกความจริงหนึ่ง' แล้ว พระองค์บอกว่าดวงวิญญาณได้กระโดดไปยังความเป็นจริงทางเลือก ในกรณีนั้น ดวงวิญญาณในความเป็นจริงนี้ก็ได้ตายอย่างไม่สมบูรณ์แล้วนี่ครับ
G : “You’re going to think this to death, do you know that.”
พระเจ้า : "แม้เธอจะคิดเรื่องนี้ไปจนวันตาย (เธอก็คิดไม่ออกหรอก) เธอรู้ตัวหรือเปล่า❓"
N : Interesting turn of phrase.
นีล : เป็นการเล่นคำที่น่าสนใจจริงๆนะครับ
G : “Be careful not to think too much. Remember, to truly understand Ultimate Reality you have to be out of your mind.
พระเจ้า : "จงระวัง อย่าคิดให้มันมากจนเกินไปนัก และจงจำไว้ว่า เพื่อที่จะเข้าใจความจริงสูงสุดได้อย่างแท้จริง เธอต้องออกจากความคิด
“But let’s not dance away from your inquiry.”
"เอาล่ะ เราอย่าหลบเลี่ยงจากการตอบคำถามของเธอเลย"
N : No, let’s not.
นีล : ครับ ไม่หลบดีแล้วครับ
G : “You asked me once if the soul could be in two places at once.”
พระเจ้า : "ครั้งหนึ่ง เธอเคยถามฉันว่าดวงวิญญาณสามารถอยู่ได้สองที่พร้อมกันในขณะเดียวกันใช่หรือไม่"
N : Yes, I did. And you said it could be in a great many more than two places at once.
นีล : ใช่ครับ และพระองค์ก็ตอบว่า วิญญาณสามารถอยู่ได้หลายที่มากกว่าแค่สองที่ได้พร้อมกันในขณะเดียวกัน
 
G : “Good. You’ve remembered that. So now, follow me here.
พระเจ้า : "ดี เธอยังจำได้ งั้นตอนนี้ จงตั้งใจฟังฉันให้ดี
“If the soul feels incomplete and jumps to an alternative reality in which it does not die, then that soul does not die feeling incomplete. Agreed❓"
"หากวิญญาณรู้สึกไม่สมบูรณ์และกระโดดไปยังความเป็นจริงทางเลือกที่ซึ่งมันไม่ได้ตาย ด้วยเหตุนั้น วิญญาณที่กระโดดไปนั้นจึงยังไม่ได้ตายแล้วเกิดความรู้สึกว่าไม่สมบูรณ์ ถูกต้องไหม❓"
N : Agreed. But the soul remaining in the other reality—
นีล : ครับ แต่ว่าวิญญาณที่ยังคงอยู่ในความเป็นจริงเดิม—
G : “—wait a minute, I’m getting there.
พระเจ้า: "—รอก่อน ฉันกำลังจะอธิบาย
The soul ‘staying behind,’ so to speak, in the first reality is not oblivious to what has happened. It knows that a part of itself has been allowed to jump into an alternative reality and complete what it wishes to complete. It also knows that there is no such thing as Time. So it knows that the other part of Itself has already completed what it ‘went back’ to complete. So the soul in the Only Moment There Is, the Moment of Now, moves into the spiritual realm feeling utterly complete.
ดวงวิญญาณที่อยู่เบื้องหลัง จะพูดแบบนั้นก็ได้ ในความเป็นจริงแรก ไม่ได้ไม่รู้หรือลืมในสิ่งที่เกิดขึ้น มันรู้ว่าส่วนหนึ่งของตัวเองได้รับอนุญาตให้กระโดดไปยังความเป็นจริงทางเลือกและไปทำในสิ่งที่ปรารถนาที่จะทำให้สำเร็จ มันยังรู้ด้วยว่า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า 'เวลา' ดังนั้นมันจึงรู้ว่าส่วนอื่นของตัวมันได้ทำในสิ่งที่ต้อง 'กลับไป' ทำให้สำเร็จเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว* ดังนั้นวิญญาณที่ดำรงอยู่ในห้วงขณะเดียวเท่านั้นที่มีอยู่ ห้วงขณะแห่งปัจจุบัน จะเคลื่อนเข้าสู่อาณาจักรแห่งจิตวิญญาณโดยรู้สึกสมบูรณ์อย่างสิ้นเชิง
[*ตอนอยู่ที่แกนกลาง วิญญาณรู้ถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้น หรือ รับรู้ได้ถึงทุกความเป็นจริงทางเลือกที่เกิดขึ้นกับตัวตนปัจเจกที่มันกำลังรับบทบาทอยู่นี้หมดแล้ว ประมาณว่าตัวมันอยู่นอกวงกลม ที่ซึ่งไม่มีเวลา และเห็นตัวตนปัจเจกทั้งหมดที่มันกำลังรับบทบาทอยู่ ณ ทุกๆจุดของวงกลมนั้น ประมาณว่ามันเห็นภาพยนตร์ชีวิตของตัวตนนี้ทั้งหมดแล้ว ทุกฉากทุกตอน เมื่อมันเห็นตอนจบของเรื่องแล้วก็เลยรู้ว่าประสบการณ์ที่มันต้องได้รับจากตัวตนนี้นั้นมันสมบูรณ์แล้วนั่นเอง –ผู้แปล–]
N : Whoa. You can talk your way of anything.
นีล : โว้วววว 😲 พระองค์สามารถหาทางไปให้กับทุกเรื่องได้จริงๆ
G : “You could say that. But I want to suggest to you that not much is being served by this splitting of metaphysical hairs. I think you might derive more benefit from focusing on the larger principles and the main messages of this dialogue.
พระเจ้า : "เธออาจพูดแบบนั้นก็ได้ แต่ฉันอยากจะแนะนำกับเธอว่าการแยกย่อยแนวคิดทางอภิปรัชญาออกมาแบบนี้ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ฉันคิดว่าเธอจะได้ประโยชน์มากกว่าจากการมุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจหลักการใหญ่ๆและข้อความที่เป็นหัวใจสำคัญของการสนทนานี้
“Many people on earth get caught up in the minutiae. They want to have everything explained, down to the last detail. You can turn embroidery over and look at the cross weaving of threads that produces it, meticulously tracing each colored yarn until you have figured out all the ins and outs, but you will never enjoy the picture they create.
"มีผู้คนจำนวนมากมายบนโลกที่ยังคงยึดติดอยู่กับรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ พวกเขาต้องการให้อธิบายทุกอย่าง ลงลึกในทุกรายละเอียดไปจนถึงจุดที่เล็กน้อยที่สุด เธอสามารถพลิกผ้าปักและมองดูการทอไขว้ของเส้นด้ายที่สร้างมันขึ้นมา ติดตามรอยเส้นด้ายสีต่างๆ อย่างละเอียดไปจนกว่าเธอจะเข้าใจในทุกซอกทุกมุมของมัน แต่เธอจะไม่มีวันได้เพลิดเพลินไปกับภาพที่เกิดจากพวกมันเลย
“Look at things another way. Change your ‘I’ve got to have all the answers’ perspective. Give yourself a chance to see the whole picture. You’ll love it.”
"จงมองสิ่งต่างๆ ในแบบอื่นบ้าง เปลี่ยนมุมมองของเธอเสียใหม่ มุมมองที่ว่า 'ฉันต้องมีคำตอบในทุกๆเรื่อง' ให้โอกาสกับตัวเองเสียบ้าง โอกาสที่จะให้ตัวเองได้เห็นถึงภาพรวมทั้งหมด แล้วเธอจะรักมัน"
➖➖➖จบบทที่ 3️⃣4️⃣➖➖➖

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา