14 ก.พ. เวลา 03:00 • ประวัติศาสตร์
จีน

ประเทศจีน ตอนที่ 14 สิ้นสุดยุค “อดอยากปากแห้ง”

หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความโกลาหลในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่า ทำไม?.. ถึงยังคงเห็นรูปของประธานเหมา ประดับอยู่ที่ห้องประชุมใหญ่ในที่ทำการของพรรค หรือแม้แต่ที่จตุรัสเทียนอันเหมิน รวมถึงสถานที่อื่นๆ อีกหลายแห่งด้วย ก็ต้องขอตอบแบบนี้ว่า สำหรับพวกเขาแล้วไม่ว่าจะยังไงก็ตาม.. ประธานเหมาก็คือ “ผู้ก่อตั้งจีนยุคใหม่”
ดังนั้นจึงเป็นที่เคารพเทิดทูน ก็ต้องให้ท่านอยู่บนนั้นไปเถอะ สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ “เติ้ง เสี่ยวผิง” ผู้ซึ่งลูกชายคนโตได้ถูกทำร้ายจนต้องกลายเป็นคนพิการ และยังมีสมาชิกในพรรคอีกหลายคนก็เคยถูกกระทำทารุณกรรมเช่นกัน แต่ทุกคนต่างมีความเห็นว่า.. ”การเอาชนะคะคาน หรือการตามล้างแค้นทุกคนที่เกี่ยวข้อง มันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา เราควรจะมองไปข้างหน้า ต้องช่วยคนที่กำลังอดอยากอีกหลายสิบล้านคนจะดีกว่า”
เติ้งผู่ฟาง ลูกชายของ เติ้ง เสี่ยวผิง
ด้วยการวางเป้าหมายแบบนี้ จึงทำให้ปี ค.ศ. 1976 นี้เป็นปีที่สิ้นสุดยุค “อดอยากปากแห้ง” โดยในช่วง 2 ปีแรกนั้น เป็นการนำสังคมกลับคืนสู่สภาพปกติ จึงริเริ่มโครงการ "ปัวล่วนฝ่านเจิ้ง" คือ การคืนความยุติธรรมให้แก่ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนรุ่นเก่า ตลอดจนประชาชนหลายล้านคนที่ถูกกดขี่ข่มเหงในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม โดยได้รับการฟื้นฟูชื่อเสียงอย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์การกระทำที่เกินขอบเขต รวมถึงความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวอย่างเปิดเผยอีกด้วย
หากถามว่า.. ประชาชนเอาด้วยมั๊ย?? ต้องบอกแบบนี้ว่า ที่ผู้นำจีนพูดมานั้น ประชาชนไม่มีส่วนร่วมคิด หรือตัดสินใจ คือรอฟังคำสั่งอย่างเดียว คิดดูแล้วกันว่า สมมติเรามีลูก ลูกเราถูกส่งตัวไปยังมณฑลที่ห่างไกลๆ ก็ไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงทักท้วง ถ้าอยากให้เท่าเทียม
ก็ท่านประธานเหมาสั่งมาแบบนี้ ต้องทำตาม แถมยังมีกลไกของเรดการ์ด และยังมีข้าราชการอยู่ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมก็คือ เปลี่ยนจากระบบศักดินาเดิม บรรดาขุนนางอำมาตย์ ก็เปลี่ยนมาเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ในตำแหน่งต่างๆ ซึ่งมันก็ยังเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
เติ้ง เสี่ยวผิง
ทั้งหมดก็คือ คิดแบบที่เค้าเรียกว่า “เซ็นทรัลรีเพลน” (Centrally Planned) ถูกวางแผนจากส่วนกลาง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ปกติมากสำหรับจีนในเวลานั้น แต่คนจีนเองก็มองว่า เรื่องการเมืองพอเถอะ เราผ่านมาละ ฮ่องเต้เราผ่านมา 5000 ปี ก็เป็นอย่างที่รู้กัน สาธารณรัฐก็อย่างที่เห็น พวกเราก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารแล้วยังไง พวกเราก็ตายลงไปเรื่อยๆ โดยที่พวกเขาก็ใช้เราเป็นเบี้ยเป็นหมาก คอมมิวนิสต์ที่บอกว่า เท่าเทียมกัน ก็เท่าเทียมจริงๆ นะ แต่พวกเราโคตรลำบากเลย..
ถ้าเกิดเราไปดูลิสต์รายชื่อของ President of China ประธานาธิบดีของจีน จะไม่มีใครเรียก “เติ้ง เสี่ยวผิง“ ว่า เป็นประธานาธิบดีเลย แต่จะเรียกว่าเป็น ”ผู้นำสูงสุด“ ในช่วงสมัยของ เหมา เจ๋อตุง จะเรียกกันว่า ท่านประธานเหมา พอมาถึงสมัยของ “เติ้ง เสี่ยวผิง” นั้นตำแหน่งหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์เป็นอีกท่านหนึ่ง ท่านแซ่หู ชื่อ “เย่าปัง” แล้วก็ยังมีนายกรัฐมนตรีก็เป็นอีกคนหนึ่งชื่อ “จ้าว จื่อหยาง“
ฉะนั้นตัว”ท่านเติ้ง“ คือบุคคลที่ไม่มีตำแหน่งใดๆ เลย และในช่วงเวลา 2 ปีนั้น ทุกอย่างได้กลับมาสู่สภาวะปกติ ไม่ได้มีการต่อสู้ทางชนชั้น ไม่มีเรื่องการเมือง ไม่ต้องแย่งชิงตำแหน่งกัน เพราะท่านเติ้งได้วางรากฐานทางการเมือง เช่น ใครจะเป็นประมุขพรรค คุณจะมีอำนาจอย่างไร ทั้งหมดนี้ทำกันอยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้น
"หู เย่าปัง” และ “จ้าว จื่อหยาง“
ส่วนประชาชนนั้นไม่เกี่ยว ซึ่งก็เป็นสไตล์ของจีน จนกระทั่งที่สุดในปี ค.ศ.1978 ”เติ้ง เสี่ยวผิง“ ได้ผงาดขึ้นเป็นผู้นำคนที่ 2 กลายเป็นผู้นำในเชิงพฤตินัย และพันธกิจของท่านคือ ยุติการต่อสู้กันเอง ถึงเวลาที่ต้องจบ เราจะเริ่มต้นต่อสู้กับความยากจน วางรากฐานทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญต้องทำประเทศของเราให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น
ณ เวลานั้น “เติ้ง เสี่ยวผิง” ก็ได้มีการวางพื้นฐานในการปรับเปลี่ยนประเทศ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน ยุคอินเตอร์เน็ตที่คนจีนเล่นได้ แต่ปิดกั้นไม่ให้ออกสู่โลกภายนอก นโยบาย “Great Firewall of China” ก็ล้วนมาจากยุคนี้ เรื่องของรถยนต์ที่หลายๆ คนอาจสงสัยว่า สมัยนั้นคนจีนนั่งรถอะไรกัน ??
1
ซึ่งแน่นอนว่า.. ระดับประธานเหมา กับท่านเติ้ง ท่านก็คงจะไม่เดินเท้า หรือปั่นจักรยานกันแน่ๆ ท่านเติ้งใช้รถยนต์หงฉี (แบรนด์รถยนต์เก่าแก่ที่สุดของจีน)ในภาษาจีนหงฉีหมายถึง "ธงสีแดง“
รถยนต์หงฉี
ได้มีการประกอบรถยนต์เพื่อใช้งานด้านการเกษตรมานานแล้ว และในยุคทศวรรษที่ 80 มีการประกอบรถยนต์ในจีนทั้งหมด ทั้งประเทศประมาณ 5000 กว่าคัน แต่ในปัจจุบันนี้ ได้มีการผลิตมากกว่า 20 ล้านคัน ซึ่งล้วนเป็นผลพวงมาจากการวางรากฐานในยุคนั้น
รวมถึงการสร้างสตาร์ทอัพ ด้วยเทคโนโลยีที่ต้องมาพร้อมกับการพัฒนา เช่น มหาเศรษฐีอย่าง “เหริน เจิ้งเฟย” เจ้าของหัวเว่ย หรือมหาเศรษฐีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งก็คือ “ฮุยกา หยั่น” ประธานของไชน่าเอเวอร์แกรนด์ ฯลฯ. ก็ล้วนเติบโตมาจากยุคนี้ทั้งสิ้น
รวมทั้งการปฎิรูป “เมืองเชินเจิ้น” ให้มีสถานะเป็นเขตเศรษฐกิจแห่งแรก และเป็นเขตส่งออกพิเศษเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้เหมาะแก่การลงทุน พร้อมทั้งการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ เพราะฉะนั้นถ้าบอกว่า.. ปีที่มีความสำคัญ และมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจของประเทศจีนในวันนี้ ย่อมไม่ใช่ปี ค.ศ.1949 อย่างแน่นอน หากแต่คือปี ค.ศ. 1979 ปีที่ท่าน ”เติ้ง เสี่ยวผิง“ ผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำอย่างแท้จริงนั่นเอง
เหริน เจิ้งเฟย กับ ฮุยกา หยั่น
และเรื่องราวจาก 2 วรรคด้านบนที่ได้กล่าวมาแล้ว ย่อมนำมาซึ่งคำถามเดียวเลยว่า.. แล้วความเจริญนั้น จะเริ่มได้จากอะไรล่ะ?? ก็จากการสร้างเมืองขึ้นมาก่อนคือ เปลี่ยนให้ชนบทกลายเป็นเมืองที่น่าลงทุน และการที่คุณจะพัฒนาแบบนั้นได้ สิ่งที่คุณต้องมี คือ “ จี๊ หมายถึง เงิน ” ซึ่งก็จะมาจากนักลงทุนต่างชาติ จีนเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน แม้ว่าจะเป็นในรูปแบบของ กิจการร่วมค้าที่มีตั้งแต่ 2 ฝ่ายขึ้นไปทำร่วมกัน (Joint Venture) หรือจะเป็นในรูปแบบของบริษัทที่ค่อยๆ เข้ามาก็ไม่เกี่ยง
1
เมื่อเม็ดเงินมา วิชั่นมี จึงเดินได้ นโยบายการทำให้ชนบทเป็นเมือง มีการวางแผนไว้ว่า.. แต่ละมณฑลนั้น มีเมืองอะไรบ้างที่มีความสำคัญ และโดดเด่นเหมาะสมกับการลงทุนเพื่อที่จะได้นำเอาสาธารณูปโภคต่างๆ เข้าไปใส่ไว้ให้ จะได้กลายเป็นสังคมเมืองที่มีเศรษฐกิจใหม่ได้สักที และหนึ่งในเมืองที่วางแผนเอาไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1982 ซึ่งเมืองนั้นก็คือ ”เมืองเซินเจิ้น” หรือเรียกอีกชื่อว่า.. ซิลิคอนแวลลีย์ของจีน ที่คนไทยชอบล้อเลียน เซินเจิ้น เมืองก๊อปเกรดเอ
2
พวกเขาได้มองแล้วว่า พื้นที่ตรงนี้จะต้องเป็นพื้นที่ขุมกำลังทางเศรษฐกิจใหม่ของพวกเรา มีคนถามว่า.. ทำไมถึงต้องเป็น “เซินเจิ้น” ล่ะ?? ทั้งที่ปักกิ่งก็อยู่ทางเหนือ ยังมีเซี้ยงไฮ้อยู่ตรงกลาง แต่เซินเจิ้นอยู่ตอนใต้ แล้วทำไมถึงไม่ทำ 2 เมืองแรกที่กล่าวมาก่อน มีคำตอบง่ายๆ จากท่านเติ้งคือ
เมืองเซินเจิ้น
ถ้าจะให้เศรษฐีฮ่องกงเข้ามาลงทุน ต้องมีเซินเจิ้นเป็นตัวล่อตัวดึง คือ ปากด่านทางเข้าบ้านเพราะฮ่องกงแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกคือ ฮ่องกงเป็นเกาะ ส่วนที่สองคือ เกาลูนอยู่บนผืนแผ่นดินจากนั้นส่วนที่สามคือ พื้นที่ซินเจีย ซึ่งก็คือ นิวเทอร์ริทอรีส์ที่อังกฤษเรียกกันแบบนั้น
ถัดเข้ามาตอนในนั่นก็คือ เซินเจิ้น เพราะฉะนั้นจะง่ายมากเลย ต้องให้คนที่เค้าพูดภาษาเดียวกันกับเราเข้ามาลงทุนในบ้านเราซิ พวกเขามีเงินก็ต้องเข้ามาที่นี่กันทั้งนั้นแหละ เพราะที่นี่คือจุดเริ่มต้นของอุตสาหรรมใหม่ๆ ทั้งหลายจะมารวมตัวกันรวมถึงโทรคมนาคมด้วย เมื่อนั้นคนของเราจะมีงานทำ มีรายได้ ซึ่งหนึ่งในมหาเศรษฐีที่ผมบอกว่า.. เขาเกิดมาในยุคนี้ และเกิดจากอุตสาหกรรมโทรคมนาคมนั่นก็คือ อดีตทหารช่างของกองทัพบกจีนที่มีชื่อว่า “เหรินเจิ้งเฟย แห่งหัวเว่ย” เพราะเขารู้ว่า.. จีนเปิดประเทศแล้ว
1
เดี๋ยวจะต้องมีการวางสายโทรศัพท์ เอาของไปขายดีกว่า ก็เลยติดต่อกับคนฮ่องกง เริ่มต้นเป็นพาร์ทเนอร์กันไปก่อน ค้าขายกันไปมา และนำของเข้ามาจากฮ่องกง จนกระทั่งการสร้างเมืองขยายขึ้นเรื่อยๆ การสร้างคอนโดให้คนฮ่องกงย้ายมาอยู่ก็เพิ่มมากขึ้น
ฮ่องกง เกาลูน นิวเทอร์ริทอรีส์แล้วขยับเข้าไปด้านในแผ่นดินคือ เมืองเซินเจิ้น
จากนั้นคนต่างชาติก็เริ่มเข้ามาอยู่ จนเกิดกลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ ”เหรินเจิ้งเฟย“ เริ่มต้นจากการเอาของมาขาย ตั้งโรงงานผลิตเองและพัฒนาสู่ระดับโลก เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างใช้ทั้งกำลังและศักยภาพของคนต่างชาติในการเข้ามาร่วมกัน และทำให้จีนนั้นยิ่งใหญ่ขึ้นมา
ซึ่งหลายๆ ชาติต่างก็เห็นโอกาสในการค้าการลงทุน ไม่ต้องอะไรมากหรอก คิดว่าบริษัทของคนไทยจะเข้าไปค้าขายลงทุนด้วยมั๊ย?? ไปซิครับก็ CP ของไทยไงล่ะ และเป็นบริษัทต่างชาติรายแรกที่ได้รับอนุญาตให้เปิดกิจการในจีนภายใต้นโยบายใหม่ของ“เติ้ง เสี่ยวผิง” ด้วย และถ้าลองคิดกันเล่นๆ ว่า.. จีนไม่เปิดประเทศในวันนั้น นั่นคือ..เราคงไม่ได้เห็นวันนี้ของจีนแน่ๆ
เริ่มต้นคืออาศัยแรงจากต่างชาติ ค่อยๆมาช่วย เพราะฉะนั้นจีนเองจะมีความรู้สึกซาบซึ้งกับคนต่างชาติที่เข้าไปลงทุนในยุคแรกๆ มาก และหลายๆ เมืองมีความเจริญ มีการพัฒนา ก็ทำให้เมืองที่อยู่ใกล้เคียงพลอยพัฒนาตามขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเรื่องของทางรถไฟด้วยแล้วเราจะเห็นว่า.. จีนให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางรถไฟมาก
1
หัวรถไฟของหน่วยการทางรถไฟในกรุงปักกิ่งสมัยปลายราชวงศ์ชิง กับ รถไฟความเร็วสูงของจีน
เพราะทางรถไฟเป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่ ต่อให้คุณแข็งแรงแค่ไหน ก็หมดกันเลยถ้าเส้นเลือดอุดตัน คุณไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ การค้าขายต้องขนสินค้ากันตลอดเวลา ถ้าขนของไม่ได้ เดินทางก็ไม่ได้ โลจิสติกส์ไปไม่รอด ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้การวางแผนยุทธศาสตร์อันแยบยลของมหาบุรุษผู้หนึ่ง ผมขอใช้คำนี้เลยนะครับ มหาบุรุษผู้มีนามว่า.. ”เติ้ง เสี่ยวผิง“
คงจะไม่เป็นการกล่าวเกินไปถ้าจะบอกว่า.. เศรษฐกิจจีนที่โตได้ทุกวันนี้ทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้การมอนิเตอร์ของรัฐบาลจีนมาตั้งแต่เดย์วัน เพราะว่าพิมพ์เขียวมันมีมาตั้งต้นแล้ว ทำให้ทุกคนเติบโตขึ้นวางอยู่บนพื้นฐานของมาตรฐานที่มีความเข้มแข็ง ไม่ใช่อะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นเราจะไม่เห็นเช่น ตึกถล่ม ทางขาด เราจะไม่เจอเพราะว่ามาตรฐานของเขาเข้มงวดมากๆ
1
แล้วเราจะเห็นได้ว่า ในยุคนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ นั่นคือ “ อินเทอร์เน็ต“ หลายคนอาจบอกเป็นไปได้เหรอที่คนอย่าง ”เติ้ง เสี่ยวผิง“ จะมาคุยเรื่องอินเตอร์เน็ต จีนเองต้องบอกว่า ได้เตรียมการในการที่จะเปิดโอกาสให้กับอินเทอร์เน็ตจนเกิดเป็นโครงการที่เขาเรียกกันว่า Great Firewall of China ก็มาจากในยุคนี้ แต่ตอนนั้นอาจจะไม่ได้ขึ้นรูป เรียกว่าอินเตอร์เน็ต เพราะยังไม่เกิดคำนี้
Great Firewall of China
แต่มันเป็นยุคที่จีนเริ่มต้นละ หันไปมองโลกนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นบ้าง และสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับนโยบายนี้เป็นคำพูดของ “เติ้ง เสี่ยวผิง” ที่ท่านพูดว่า “ถ้าหากว่าเรามีการเปิดหน้าต่างก็เหมือนเปิดอินเทอร์เน็ต เราได้อากาศที่ดี แต่ท่านต้องดูด้วยว่า แมลงวันอาจจะบินเข้ามาในหน้าต่างด้วย” และทั้งหมดนี้เนี่ยทำให้ทั่วโลกมองว่าจีนเองมีระบบการปกครอง ระบบเศรษฐกิจที่มันดูแปลก คือระบอบการปกครองการเมืองไม่ต้องพูด สิทธิเสรีภาพไม่ต้องมี มีเท่าที่จำเป็น มีเท่าที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและคุณอยู่อย่างมีความสุข
แต่ทุกอย่างวางแผนจากส่วนกลางทั้งหมด แล้วก็จะเป็นเศรษฐกิจแบบเขาเรียกว่า Centralized Market Capitalism เศรษฐกิจทุนนิยมระบบตลาดแบบที่มีการวางแผนจากส่วนกลาง จนกระทั่งเคยมีคนบอกว่า.. คำว่า “คอมมิวนิสต์” สำหรับจีน ตอนนี้ปรากฏอยู่แค่ที่ชื่อของพรรคกับแบรนด์ดิ้งของประเทศเท่านั้น..
สัญลักษณ์ของคอมมิวนิสต์ในที่ประชุม
และส่วนที่เหลือมันก็คือ ทุนนิยมระบบตลาดอย่างสมบูรณ์แบบ ไหนๆ ก็เล่าถึงวาทะของ“เติ้ง เสี่ยวผิง” ก็เลยต้องพูดถึง วลีทองคำด้วย
ไม่ต้องสนว่าจะแมวดำหรือแมวขาว มันจับหนูได้ ก็คือแมวที่ดี
เติ้ง เสี่ยวผิง
เข้าใจว่า คงจะมีคนถาม เติ้ง เสี่ยวผิง ว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่มันไม่ใช่คอมมิวนิสต์ มันขัดอุดมการณ์หรือไม่
ใเหริน เจิ้งเฟย ค่อยๆ เติบโตขึ้นมา และเอเวอร์ แกรนด์ ก็ค่อยๆเติบโตเช่นกัน แถมยังมีเศรษฐีใหม่ๆ อีกหลายต่อหลายคนที่รอการเติบโต นี่มันไม่ใช่คอมมิวนิสต์แล้ว มันมีความไม่เท่าเทียม
มีคนรวยอยู่แค่กลุ่มเดียว ตอนนี้มันเริ่มชัดเจนแล้ว แต่ตอนนั้นพวกเขาเป็นแค่ตัวเล็กๆ กว่าสตาร์ทอัพ เอเวอร์ แกรนด เมื่อก่อนเริ่มที่ 10 คูหา มันเล็กมากเลย แต่สิ่งที่ท่านเติ้ง บอกว่าจับหนูใหญ่ คือ คำว่าจับหนูใหญ่ หนูใหญ่ของท่านไม่ใช่อุดมการณ์ หนูใหญ่ของท่านคือความกินดี อยู่ดีของคนจีน
ความหมายหนูใหญ่ของท่านเติ้ง เสี่ยวผิง ทำให้ผมนึกถึง ในหลวงรัชกาลที่ 9 (ขออนุญาตกล่าวถึง ร 9 นะครับ)
สมมุติว่า แมวขาว เป็นระบบคอมมิวนิสต์ และแมวดำ เป็นระบบเสรีทุนนิยม ขอเพียงแต่ว่ามันทำให้ชีวิตคน อยู่ดี กินดีได้ มันก็เป็นแมวที่ดีแล้วไง (รู้สึกเหมือนประเทศไทย) มันก็เลยกลายเป็นวลีทอง คนทั่วโลกก็เลยมองจีนด้วย สายตาที่แปลกๆว่า ตกลงจะเป็นอะไรเอาสักอย่าง จีนก็คงจะบอกว่า.. ไม่ต้องสนว่าเรียกอะไร ขอเพียงเราเจริญ และคนของเราอยู่ดี กินดี มีความสุขมากกว่าสมัยอดีต เราก็พอใจแล้ว จับหนูได้ก็พอ แถมเป็นหนูอ้วนอีกด้วย…
ฝากกดถูกใจ กดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
Reference ประเทศจีน ตอนที่ 14 สิ้นสุดยุค “อดอยากปากแห้ง”

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา