20 ก.พ. เวลา 13:00 • ธุรกิจ

รู้เขาแล้วไงต่อ? ไม่มีใครอยากแพ้ เขาเองก็เตรียมตัวมาดี!

“รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งไม่พ่าย” – ซุนวู
แต่ถ้า “รู้เขา แต่เขาก็รู้เรา?” แล้วจะทำอย่างไรต่อ?
💡 ความจริงคือ… ไม่มีใครอยากแพ้ ทุกคนเตรียมตัวมาอย่างดี
📌 คุณวิเคราะห์คู่แข่งได้ คู่แข่งก็วิเคราะห์คุณได้เช่นกัน
📌 คุณเตรียมแผน คู่แข่งก็มีแผนของเขาเหมือนกัน
📌 แล้วเราจะทำอย่างไร ให้เราไม่แพ้?
🔥 ซุนวูบอกไว้ว่า “ชนะไม่ได้ แต่ก็ไม่แพ้”
“ชัยชนะนั้นหยั่งรู้ได้ แต่กำหนดเองไม่ได้”
ทำให้ตนเองไม่ถูกพิชิตก่อน แล้วรอโอกาสที่ข้าศึกตกอยู่ในฐานะถูกพิชิตได้
ซุนวู
📌 แปลว่าอะไร?
✅ คุณ “สร้างเงื่อนไขที่ดีที่สุด” ให้ตัวเองได้ แต่คุณ “บังคับให้คู่แข่งแพ้” ไม่ได้
✅ ถ้า “ชนะไม่ได้” เรา”ยังคง“ต้องทำอย่างไรก็ได้ “ไม่ให้ตัวเองแพ้ก่อน”
สามกลยุทธ์จากซุนวู: เมื่อชนะไม่ได้ ฝืนไม่ได้ แต่ก็ต้องอยู่รอด (ถอดจากหนังสือตําราพิชัยสงครามซุนวู ฉบับหัวซาน)
🔥 “ถ้าชนะไม่ได้ ทำอย่างไรก็ได้อย่าให้ตัวเองแพ้!”
📌 กลยุทธ์ที่ 1: “ไม่รบ” – ไม่เข้าสู่สงครามที่เสียเปรียบ
📌 กลยุทธ์ที่ 2: “รอคอย” – เฝ้ารอจังหวะที่ศัตรูผิดพลาด
📌 กลยุทธ์ที่ 3: “ล่อให้ศัตรูผิดพลาด” – ทำให้คู่แข่งหลงกลจนเปิดช่องให้เราโจมตี
🔥 และถ้าทำทั้ง 3 อย่างแล้ว ยังไม่ชนะ? ทำอย่างไรก็ได้ อย่าให้ตัวเองแพ้!
เพราะเราชนะได้ ก็ต่อเมื่อศัตรูพลาดนั่นแหละ
อดทนจนกว่าจะแลนด์
ละครกระเทยทำ EP.9
📌 1. “ไม่รบ” – เป๊ปซี่ถอยศึกหนึ่ง เพื่อชนะศึกที่ใหญ่กว่า
“ผู้ชาญศึกย่อมเลือกสนามรบที่เหมาะสมแก่ตนเอง” – ซุนวู
📌 เป๊ปซี่ไม่ได้พยายาม “ชนะโค้ก” ในสนามรบที่ตัวเองเสียเปรียบ
📌 แต่เลือก “ถอย” ออกจากสงครามหนึ่ง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งที่อื่น แล้วกลับมาชนะ
🔥 ปี 2493-2530 (1950s - 1980s): โค้กครองโลก เป๊ปซี่พยายามตีตลาด
✅ โค้กเป็นเจ้าตลาดทั่วโลก
✅ เป๊ปซี่พยายามแข่งตรงๆ แต่แพ้ทุกครั้ง เพราะแบรนด์โค้กแข็งแกร่งกว่า
📌 เป๊ปซี่คิดใหม่: ถ้าแข่งตรงๆ แล้วแพ้ งั้น “ไม่รบ” ในศึกนี้ แล้วไปตีศึกอื่นแทน
✅ เป๊ปซี่เริ่ม Pepsi Challenge – สร้างแคมเปญให้ผู้บริโภคลิ้มลองรสชาติเป๊ปซี่ และพบว่า “เป๊ปซี่อร่อยกว่า”
✅ เป๊ปซี่เจาะตลาด “วัยรุ่น – คนรุ่นใหม่” เพื่อทำให้โค้กดูเป็นแบรนด์เก่า
🔥 ปี 2534 (1991): สงครามน้ำดำ – เป๊ปซี่แซงโค้กในไทย!
📌 ในไทย เป๊ปซี่ชนะโค้ก เพราะ “เสริมสุข” เป็นเครือข่ายจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งที่สุด
✅ เป๊ปซี่ + เสริมสุข = แบรนด์แข็งแรง + ระบบจัดจำหน่ายแน่น
✅ เป๊ปซี่ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ในตลาดไทย ปล่อยโค้กให้แข่งลำบาก
💡 บทเรียน: บางศึก “ไม่ต้องรบ” ก็ได้ ถ้ามันไม่ใช่ศึกที่เราจะชนะ
📌 2. “รอคอย” – สิงห์แพ้ช้างในช่วงแรก แต่กลับมายึดตลาดได้เพราะรอเป็น
“กองทัพที่มีความอดทน รู้จักรอจังหวะศัตรูพลาด ย่อมอยู่ในจุดที่ได้เปรียบ” – ซุนวู
🔥 ไทม์ไลน์ศึกเบียร์ไทย
📌 2540 (1997): สิงห์คือเบอร์ 1 ตลาดเบียร์ไทย
✅ มีภาพลักษณ์เบียร์พรีเมียม
✅ เป็นแบรนด์เก่าแก่ มีชื่อเสียง
📌 2544 (2001): ช้างเข้ามาตีตลาด “ราคาถูก + ขวดใหญ่”
✅ คนไทยชอบเบียร์ที่ “แรงกว่า คุ้มกว่า” → ช้างชนะ!
✅ สิงห์เสียตลาดไป
📌 2550-2560 (2007-2017): สิงห์ “รอให้ตลาดเปลี่ยน” แล้วค่อยบุกใหม่
✅ สิงห์ไม่แข่งราคา แต่รอให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน → คนเริ่มกลับมามองเบียร์พรีเมียม
✅ สิงห์เปิดตัว LEO – เบียร์ที่ราคากลางๆ แต่ยังมีภาพลักษณ์พรีเมียม
📌 ปัจจุบัน: สิงห์กลับมาแซงช้างในตลาดเบียร์ไทย ข้อมูลจากปี 2564 แสดงให้เห็นว่า “เบียร์ลีโอ” มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดที่ 44.8% รองลงมาคือ “เบียร์ช้าง” ที่ 31.2% และ “เบียร์สิงห์” ที่ 11.2%
💡 บทเรียน: บางครั้ง “รอ” ให้คู่แข่งพลาด แล้วค่อยโจมตี คือกลยุทธ์ที่ดีที่สุด
📌 3. “ล่อให้ฝ่ายตรงข้ามผิดพลาด” – เสริมสุขเฉดหัวเป๊ปซี่ เพราะรู้ว่าตัวเองได้เปรียบ
“กองทัพที่ฉลาด ย่อมสร้างสนามรบที่ตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ” – ซุนวู
🔥 เสริมสุขถูกเฉดหัวจากเป๊ปซี่ – แต่กลับพลิกเกมชนะได้
📌 2553 (2010): เป๊ปซี่แยกทางกับเสริมสุข
✅ เป๊ปซี่คิดว่าตัวเองแบรนด์แข็งแรงพอ → แยกออกมาจัดจำหน่ายเอง
✅ แต่เสริมสุขมี “เครือข่ายที่แข็งแกร่งกว่า”
📌 2555 (2012): เสริมสุขสร้าง “เอสโคล่า” – เป๊ปซี่หลงกล!
✅ เอสโคล่าคือ “เป๊ปซี่เวอร์ชันใหม่” – รสชาติคล้าย แต่มีเครือข่ายจัดจำหน่ายที่แข็งแรงกว่า
✅ เป๊ปซี่ต้องเริ่มสร้างเครือข่ายใหม่ เสียเวลา + เสียเงินมหาศาล
✅ คนไทยคุ้นเคยกับเสริมสุข → เปลี่ยนไปกินเอสแทน
📌 2556-2560 (2013-2017): แม้เอสไม่ได้กลายเป็นเบอร์ 1 แต่ก็ได้สัดส่วนตลาดที่เป๊ปซี่เคยครองเกือบทั้งหมด เป๊ปซี่เสียเวลาและส่วนแบ่งไปมหาศาล
💡 บทเรียน: ล่อให้คู่แข่งเล่นในเกมที่เราได้เปรียบ แล้วซัดให้คว่ำ
🔥 Key Takeaway: “ไม่มีใครจนตรอก ถ้ายังไม่ยอมแพ้”
📌 อย่าฝืนรบในศึกที่แพ้แน่ๆ
📌 รอให้โอกาสเปิด แล้วค่อยลงมือ
📌 ล่อให้ศัตรูเข้ามาเล่นในสนามที่เราได้เปรียบ
📌 ถ้าชนะไม่ได้ อย่าให้ตัวเองแพ้ รอให้เขาพลาด แล้วซัดให้คว่ำ!
โฆษณา