#11 TOB - บทที่ 3️⃣ The first man on Earth (7) :
ประวัติศาสตร์ที่สาบสูญ — หายนะจากดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลก
▪️ผู้แปล : อุดม (แอดมิน)
‘The yellow people were the first to mix with the black race physically speaking, I mean. It might be surprising, but never, on Bakaratini, had the race mixed to the extent that they did on Earth. The ethnologists were greatly interested in the results of this union, which produced on Earth, a great new tribe. Indeed, these ‘crossbreeds’ as I’ll call them, being crossed with more yellow blood than black, ended up feeling more at ease among themselves than with either black or yellow.
“#ชนผิวเหลืองเป็นกลุ่มแรกที่ผสมผสานกับเผ่าพันธุ์ผิวดำในแง่ทางกายภาพ ฉันหมายถึง มันอาจจะน่าประหลาดใจ แต่ไม่เคยมีมาก่อนบนบาคาราตินีที่เผ่าพันธุ์จะผสมผสานกันมากเท่ากับที่เกิดขึ้นบนโลก นักชาติพันธุ์วิทยาสนใจผลลัพธ์ของการผสมผสานนี้อย่างมาก ซึ่งก่อให้เกิดเผ่าใหม่ที่ยิ่งใหญ่บนโลก ที่จริงแล้ว ‘ลูกผสม’ เหล่านี้ อย่างที่ฉันจะเรียก ซึ่งมีเลือดของชนผิวเหลืองมากกว่าชนผิวดำ ในที่สุดก็รู้สึกสบายใจในหมู่พวกเขาเองมากกว่าอยู่กับทั้งชนผิวดำหรือผิวเหลือง
‘Eventually, they grouped together and settled in the area now called Algeria - Tunisia, North Africa. Thus, a new race was born - the Arab race that you know. Don’t think though, they immediately resembled the race they are now. Climate and time, the passing of centuries, had its effect. My story simply gives you the idea of how the race began through inter-breeding.
ในที่สุด พวกเขารวมตัวกันและตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ที่ปัจจุบันเรียกว่าแอลจีเรีย - ตูนิเซีย แอฟริกาเหนือ ดังนั้น เผ่าพันธุ์ใหม่จึงถือกำเนิดขึ้น - #เผ่าพันธุ์อาหรับที่คุณรู้จัก อย่างไรก็ตาม อย่าคิดว่าพวกเขาจะมีลักษณะเหมือนเผ่าพันธุ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สภาพภูมิอากาศและเวลา การผ่านไปของหลายศตวรรษ มีผลต่อพวกเขา เรื่องราวของฉันเพียงแค่ให้แนวคิดกับคุณว่าเผ่าพันธุ์นี้มีจุดเริ่มต้นอย่างไรผ่านการผสมข้ามเผ่าพันธุ์
‘And so, all was going well for the inhabitants of the planet Earth, except for one thing...the astronomers and scholars were very worried, for an enormous asteroid was approaching Earth, almost imperceptibly, but unmistakably.
“และดังนั้น ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดีสำหรับชาวโลก ยกเว้นสิ่งหนึ่ง...นักดาราศาสตร์และนักวิชาการต่างกังวลกันมาก เพราะดาวเคราะห์น้อยขนาดมหึมากำลังเคลื่อนเข้าใกล้โลก แทบจะมองไม่เห็น แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธไม่ได้
‘It was first picked up by the observatory of Ikirito, located in the centre of Australia. After several months, it could be seen by the naked eye, provided one knew where to look, glowing a most sinister, vivid red. In the weeks to follow it became ever more readily visible.
“มันถูกตรวจพบครั้งแรกโดยหอดูดาวอิคิริโต ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางออสเตรเลีย หลังจากน้้นหลายเดือน มันสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากรู้ว่าต้องมองไปที่ไหน เรืองแสงสีแดงสดที่ดูน่ากลัวมาก ในสัปดาห์ต่อมามันก็ยิ่งมองเห็นได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ
‘The governments of Australia, New Guinea and Antarctica made a most important decision, which was soon agreed to by the yellow leaders. Ahead of the inevitable collision with the asteroid, they agreed that all space vessels in a condition to fly, would leave Earth, carrying on board as many specialists and experts as possible - doctors, technicians etc. - of the kind most likely to be of service to the community following the catastrophe.’
“รัฐบาลของออสเตรเลีย นิวกินี และแอนตาร์กติกาได้ตัดสินใจเรื่องสำคัญมาก ซึ่งได้รับการเห็นชอบจากผู้นำชนเผ่าผิวเหลืองอย่างรวดเร็ว ก่อนการชนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้กับดาวเคราะห์น้อย พวกเขาตกลงกันว่ายานอวกาศทั้งหมดที่อยู่ในสภาพพร้อมบิน จะออกจากโลก โดยบรรทุกผู้เชี่ยวชาญและผู้ชำนาญการมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ - แพทย์ ช่างเทคนิค ฯลฯ - ประเภทที่มีแนวโน้มจะให้บริการแก่ชุมชนหลังจากหายนะได้มากที่สุด’
‘Where were they going❓ To the Moon❓’
“พวกเขาจะหลบไปที่ไหนกัน❓ ดวงจันทร์งั้นหรือ❓”
‘No Michel, at that time Earth didn’t have a moon. Their spacecraft were now capable of 12 weeks autonomous flight. For a long time, their capability for super long distance travel had been lost to them. Their plan was to remain in orbit around the earth, ready to land as soon as possible and give assistance where it was most needed.
“ไม่ใช่ มิเชล #ในเวลานั้นโลกยังไม่มีดวงจันทร์ ยานอวกาศของพวกเขาในตอนนั้นสามารถบินได้ด้วยตนเองแค่ 12 สัปดาห์ เป็นเวลานานแล้วที่ความสามารถในการเดินทางระยะไกลมากๆได้สูญหายไปจากพวกเขา แผนของพวกเขาคือการคงอยู่ในวงโคจรรอบโลก พร้อมที่จะลงจอดโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และให้ความช่วยเหลือในที่ที่ต้องการมากที่สุด
‘Eighty Australian spacecraft were equipped and loaded to carry an elite group, which was chosen as a result of meetings held day and night. The yellow race followed the same procedure, making 98 spacecraft ready. In Africa of course, there had never been any spaceships.
“ยานอวกาศออสเตรเลีย 80 ลำได้รับการติดตั้งอุปกรณ์และบรรทุกกลุ่มชนชั้นนำ ซึ่งถูกเลือกจากการประชุมที่จัดขึ้นทั้งกลางวันและกลางคืน ชนเผ่าผิวเหลืองทำตามขั้นตอนเดียวกัน ในการเตรียมยานอวกาศทั้ง 98 ลำให้พร้อม ในแอฟริกาแน่นอนว่าไม่เคยมียานอวกาศมาก่อนเลย
‘I ask you to note, in passing, that apart from the supreme leader of each country, none of his ‘ministers’, as you might call them, was given a place on any vessel. This will probably seem odd to you, for if the same situation were to occur today on Earth, many politicians would be pulling strings to save their own skins.
“ฉันขอให้คุณสังเกตด้วยว่า นอกเหนือจากผู้นำสูงสุดของแต่ละประเทศแล้ว ไม่มี ‘รัฐมนตรี’ ของพวกเขา อย่างที่คุณอาจเรียก ได้รับที่นั่งในยานลำใดเลย นี่อาจจะดูแปลกสำหรับคุณ เพราะถ้าสถานการณ์เดียวกันนี้เกิดขึ้นบนโลกในปัจจุบัน นักการเมืองหลายคนคงจะชักเส้นสายเพื่อเอาตัวรอด”
‘All was ready. The people were then warned of the impending collision. The role of the spacecraft was kept secret though, for fear that the people would believe they had been betrayed by their leaders and that a panic would be created, perhaps even an attack on the airports. By the same token, the leaders had played down the impact the collision was likely to have, in order to minimise the collective panic.
“ทุกอย่างพร้อมแล้ว #ผู้คนได้รับการเตือนถึงการชนที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่บทบาทของยานอวกาศถูกเก็บเป็นความลับ เพราะกลัวว่าผู้คนจะเชื่อว่าพวกเขาถูกทรยศโดยผู้นำและจะเกิดความตื่นตระหนก จนอาจถึงขั้นโจมตีท่าอากาศยาน ด้วยเหตุผลเดียวกัน ผู้นำได้ลดความรุนแรงของผลกระทบที่การชนอาจก่อให้เกิด เพื่อลดความตื่นตระหนกของส่วนรวม
‘The collision was now as much imminent as it was inevitable, considering the estimated speed of the asteroid. It was only 48 hours away. The experts all agreed with this calculation - well, almost all.
“การชนตอนนี้ทั้งใกล้เข้ามาและหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อพิจารณาจากความเร็วที่ประมาณการของดาวเคราะห์น้อย มันห่างออกไปเพียง 48 ชั่วโมง ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดเห็นด้วยกับการคำนวณนี้ - เอาล่ะ เกือบทั้งหมด
‘The spaceships were to take off together - 2 hours before the supposed collision time, their very late departure intended to allow them to remain in space for the full 12 weeks if necessary, following the catastrophe. It had been calculated that the asteroid would hit where South America is now.
“ยานอวกาศจะต้องออกเดินทางพร้อมกัน - 2 ชั่วโมงก่อนเวลาชนที่คาดการณ์ไว้ การออกเดินทางที่ช้ามากนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้พวกเขาสามารถอยู่ในอวกาศได้เต็ม 12 สัปดาห์หากจำเป็น หลังจากหายนะ มีการคำนวณว่าดาวเคราะห์น้อยจะพุ่งชนบริเวณที่ปัจจุบันคือทวีปอเมริกาใต้
‘So, all was ready and the signal for take-off to be given on D-day, at 12 noon, Central Australian Time. Whether there had been an error in the calculations, although highly unlikely, or whether there was a sudden, unpredicted acceleration of the asteroid, it appeared in the sky at 11 am, shining like an orange sun. The order for take-off was given immediately and all the spacecraft took to the sky.
“ดังนั้น ทุกอย่างพร้อมแล้วและสัญญาณการออกเดินทางจะถูกให้ในวันที่เริ่มลงมือปฏิบัติการ ในตอนเที่ยงวัน ตามเวลากลางของออสเตรเลีย ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดในการคำนวณ แม้จะเป็นไปได้ยากมาก หรือมีการเร่งความเร็วอย่างกะทันหันที่ไม่ได้คาดการณ์ของดาวเคราะห์น้อย มันปรากฏบนท้องฟ้าเวลา 11 นาฬิกา ส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์สีส้ม คำสั่งออกเดินทางถูกให้ในทันทีและยานอวกาศทั้งหมดทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
‘In order to leave Earth’s atmosphere and gravitational force quickly, it is necessary to make use of a ‘warp’ 1, which at that time, was above present day Europe. In spite of the speed these space vessels were capable of, they had not quite made it to the warp, when the asteroid hit Earth. When it entered the Earth’s atmosphere it had broken into three huge pieces. The smallest, which measured several kilometres in diameter, hit where the Red Sea is now.
“เพื่อที่จะออกจากชั้นบรรยากาศโลกและแรงโน้มถ่วงอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องใช้ ‘วาร์ป’¹ ซึ่งในเวลานั้นอยู่เหนือยุโรปในปัจจุบัน แม้จะมีความเร็วที่ยานอวกาศเหล่านี้ทำได้ พวกเขาก็ยังไปไม่ถึงวาร์ป ในตอนที่ดาวเคราะห์น้อยชนโลก เมื่อมันเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก มันแตกออกเป็นสามชิ้นใหญ่ ▪️ #ชิ้นที่เล็กที่สุด_ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายกิโลเมตร #พุ่งชนบริเวณที่ปัจจุบันคือ_ทะเลแดง
(1 Warp here means ‘a gravitational hole’ - a region of weak gravity. —Editor’s note based on the explanation of the Author)
(¹ วาร์ปในที่นี้หมายถึง ‘หลุมแรงโน้มถ่วง’ - บริเวณที่มีแรงโน้มถ่วงอ่อน –หมายเหตุบรรณาธิการตามคำอธิบายของผู้เขียน)
‘Another, much bigger, hit where the Timor Sea is now, and the largest of the three landed in the region of the actual Galapagos Islands.
“▪️ #อีกชิ้นที่ใหญ่กว่ามาก_พุ่งชนบริเวณที่ปัจจุบันคือ_ทะเลติมอร์ ▪️ #และชิ้นที่ใหญ่ที่สุดในสามชิ้นตกลงในภูมิภาคที่เป็น_หมู่เกาะกาลาปากอสในปัจจุบัน
‘The simultaneous impacts were terrible. The sun became a dull red and slid towards the horizon like a falling balloon. Soon, it stopped and climbed slowly, but when only to half the distance, it ‘fell’. The Earth had suddenly changed the inclination of its axis❗ Explosions of incredible force occurred, for two larger pieces of asteroid had pierced the Earth’s crust.
Volcanoes erupted in Australia, New Guinea, Japan, South America - indeed, just about everywhere on the planet. Mountains formed instantly and tidal waves more than 300 metres in height swept over four-fifths of Australia. Tasmania separated from the Australian continent and a huge portion of Antarctica sank in the waters, creating two immense underwater canyons between Antarctica and Australia.
An enormous continent rose from the waters in the centre of the South Pacific Ocean. A huge piece of Burma subsided where the Bay of Bengal is now. Another basin of land subsided and the Red Sea was formed.’
“การชนพร้อมกันนั้นรุนแรงมาก ดวงอาทิตย์กลายเป็นสีแดงหม่นและเลื่อนลงสู่ขอบฟ้าเหมือนลูกโป่งที่กำลังตก ในไม่ช้า มันก็หยุดและค่อยๆไต่ขึ้นไป แต่เมื่อถึงแค่ครึ่งทาง มันก็ ‘ตก’ #โลกได้เปลี่ยนแกนเอียงอย่างกะทันหัน❗ เกิดการระเบิดที่มีพลังมหาศาล เพราะชิ้นส่วนที่ใหญ่กว่าสองชิ้นของดาวเคราะห์น้อยได้เจาะเปลือกโลก ภูเขาไฟระเบิดในออสเตรเลีย นิวกินี ญี่ปุ่น อเมริกาใต้ - จริงๆแล้วเกือบทุกที่บนโลก
ภูเขาก่อตัวขึ้นในทันที และคลื่นสึนามิสูงกว่า 300 เมตรกวาดผ่านสี่ในห้าของออสเตรเลีย แทสเมเนียแยกออกจากทวีปออสเตรเลีย และส่วนใหญ่ของแอนตาร์กติกาจมลงในน้ำ สร้างหุบเหวใต้น้ำขนาดมหึมาสองแห่งระหว่างแอนตาร์กติกาและออสเตรเลีย #ทวีปขนาดมหึมาผุดขึ้นจากน้ำในใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ #ส่วนใหญ่ของพม่าจมลงในบริเวณที่ปัจจุบันคืออ่าวเบงกอล #แอ่งที่ดินอีกแห่งทรุดตัวลงและทะเลแดงก็ถือกำเนิดขึ้น”
‘Was there time for the spaceships to get out❓’
“ยานอวกาศมีเวลาออกไปทันไหม❓”
‘Not quite, Michel, for the experts had made one mistake. It could be said in their defence that they could not really have anticipated what would happen. They had predicted the tilting of the Earth on its axis but what they hadn’t been able to predict was its oscillation.
The spacecraft were literally caught [3] and dragged in the ‘backwash’ caused by the re-entry of the asteroid into the Earth’s atmosphere. Further, they were bombarded by millions of particles coming from the asteroid and trailing in its wake.
“ไม่ทันหรอก มิเชล เพราะผู้เชี่ยวชาญได้ทำผิดพลาดหนึ่งอย่าง อาจจะกล่าวในการปกป้องพวกเขาได้ว่าพวกเขาไม่สามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้จริงๆ พวกเขาทำนายการเอียงของโลกบนแกนของมันได้ แต่สิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำนายได้คือการแกว่งของมัน ยานอวกาศถูกจับ และถูกลากในกระแสน้ำวนที่เกิดจากการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกของดาวเคราะห์น้อย นอกจากนี้ พวกเขายังถูกถล่มด้วยอนุภาคนับล้านที่มาจากดาวเคราะห์น้อยและที่ถูกลากตามหลังมันมา
‘Only seven vessels, three with black passengers and four with yellow, struggling with all the power they could manage, succeeded in escaping the horror occurring on Earth.’
“มีเพียงเจ็ดลำเท่านั้น สามลำมีผู้โดยสารผิวดำและสี่ลำมีผิวเหลือง ที่ต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมดที่พวกเขามี และทำสำเร็จในการหนีจากความสยดสยองที่เกิดขึ้นบนโลก”
‘It must have been a frightening sight for them to watch Earth change before their eyes.
“มันคงเป็นภาพที่น่ากลัวมากสำหรับพวกเขาที่ได้เห็นโลกเปลี่ยนแปลงไปต่อหน้าต่อตา
‘How long did it take for the continent you mentioned in the Pacific Ocean to emerge❓’
“มันใช้เวลานานแค่ไหนสำหรับทวีปที่คุณพูดถึงในมหาสมุทรแปซิฟิกที่ผุดขึ้นมา❓”
‘Merely a matter of hours. This continent was raised by gaseous belts resulting from upheavals, occurring as deep as the centre of the planet.
“เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ทวีปนี้ถูกยกขึ้นโดยแถบก๊าซที่เกิดจากความปั่นป่วน เกิดขึ้นลึกถึงใจกลางของดาวเคราะห์
‘The upheavals on the Earth’s surface continued for months. In the three points of impact of the asteroids, thousands of volcanoes were created. Poisonous gases spread over most of the Australian continent, causing painless death within minutes, of millions of blacks. Our statistics indicate an almost total annihilation of humankind and of animals in Australia. A count taken when calm was restored indicated a mere 180 people had survived.
“ความปั่นป่วนบนพื้นผิวโลกดำเนินต่อไปเป็นเดือน ในจุดกระทบทั้งสามของชิ้นส่วนดาวเคราะห์น้อย ภูเขาไฟนับพันถูกสร้างขึ้น ก๊าซพิษแพร่กระจายไปทั่วส่วนใหญ่ของทวีปออสเตรเลีย ทำให้คนผิวดำนับล้านเสียชีวิตโดยไม่เจ็บปวดภายในไม่กี่นาที สถิติของเราบ่งชี้ถึงการสูญพันธุ์เกือบสมบูรณ์ของมนุษยชาติและสัตว์ในออสเตรเลีย การนับเมื่อความสงบกลับคืนมาบ่งชี้ว่า #มีเพียง_180_คนที่รอดชีวิต
‘The poisonous gases were the cause of this frightful toll. In New Guinea, where less gas had drifted, there were fewer deaths.’
“ก๊าซพิษเป็นสาเหตุของการสูญเสียอันน่าสะพรึงกลัวนี้ ในนิวกินี ที่ก๊าซลอยไปถึงน้อยกว่า มีผู้เสียชีวิตน้อยกว่า”
‘I have been wanting to ask you a question, Thao.’
“ผมอยากถามคำถามคุณมานานแล้ว เธาว์”
‘Please do.’
“เชิญถามมาได้เลย”
‘You said that it was the black people from Australia who spread to New Guinea and Africa. How is it then, that now, the Aborigines are so different from the blacks throughout the world❓’
“คุณบอกว่าคนผิวดำจากออสเตรเลียแพร่กระจายไปยังนิวกินีและแอฟริกา แล้วทำไมตอนนี้ชาวอะบอริจินถึงแตกต่างจากคนผิวดำทั่วโลกมากขนาดนี้ล่ะ❓”
‘Excellent question, Michel. My account should have included more detail. You see, as a result of the catastrophe, there had been such an upheaval, that deposits of uranium scattered on the surface of the Earth emitted strong radiation. This happened only in Australia, and those who escaped death were badly affected, just as in an atomic explosion.
“คำถามที่ยอดเยี่ยม มิเชล เรื่องราวของฉันควรจะมีรายละเอียดมากกว่านี้ คุณเห็นไหม ผลจากหายนะในครั้งนั้น มีความปั่นป่วนเกิดขึ้นมากมาย จนแหล่งยูเรเนียมที่กระจัดกระจายบนพื้นผิวโลกปล่อยรังสีอันรุนแรงออกมา นี่เกิดขึ้นเฉพาะในออสเตรเลีย และผู้ที่รอดพ้นจากความตายได้รับผลกระทบอย่างหนัก เหมือนกับในการระเบิดของนิวเคลียร์
‘They were genetically affected, so that today, the genes of Africans are different from those of Aborigines. Further, the environment totally changed and their diet drastically altered too. With the progress of time, these descendants of Bakaratinians were ‘transformed’ into the Aboriginal race of today.
“#พวกเขาได้รับผลกระทบทางพันธุกรรม_จนทุกวันนี้ยีนส์ของชาวแอฟริกาแตกต่างจากชาวอะบอริจิน นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและอาหารการกินของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงด้วย เมื่อเวลาผ่านไป ลูกหลานของชาวบาคาราตินีเหล่านี้ได้ ‘เปลี่ยนแปลง’ เป็นเผ่าพันธุ์อะบอริจินในปัจจุบัน
‘As the upheavals continued, mountains were formed, some suddenly, others within days. Crevasses opened swallowing entire towns, and then closing, removing all traces of existing civilisation.
“ขณะที่ความปั่นป่วนยังคงดำเนินต่อไป ภูเขาได้ก่อตัวขึ้น บางลูกเกิดขึ้นในทันที บางลูกใช้เวลาหลายวัน รอยแยกเปิดออกกลืนเมืองทั้งเมือง แล้วปิดลง #ลบร่องรอยทั้งหมดของอารยธรรมที่มีอยู่”
‘On top of all the horror, there was a deluge such as the planet had not known for eons. In fact, the volcanoes spat so many ashes into the sky simultaneously, and to such incredible altitudes, that the sky darkened. The vapour from the oceans, which in places actually boiled over an area of thousands of square kilometres, combined with the clouds of ashes. The thick clouds thus created, burst with rain so torrential you’d find it hard to imagine...’
“นอกเหนือจากความสยดสยองทั้งหมดแล้ว #ยังมีน้ำท่วมใหญ่ที่ดาวเคราะห์นี้ไม่เคยรู้จักมานับยุค ที่จริงแล้ว ภูเขาไฟพ่นเถ้าถ่านขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกัน และสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ จนท้องฟ้ามืดมิด ไอน้ำจากมหาสมุทร ซึ่งในบางที่ที่เดือดจริงๆครอบคลุมพื้นที่นับพันตารางกิโลเมตร รวมตัวกับเมฆแห่งเถ้าถ่าน #เมฆหนาทึบที่ก่อตัวขึ้นนี้แตกออกเป็นฝนที่ตกหนักจนคุณจะจินตนาการถึงได้ยาก…”
‘And the vessels orbiting in space❓’
“แล้วยานที่โคจรอยู่ในอวกาศล่ะ❓”
‘After 12 weeks, they were obliged to return to Earth. They chose to descend over the area we now know as Europe, having absolutely no visibility over the rest of the planet. Of the seven vessels, only one managed to land.
“หลังจาก 12 สัปดาห์ พวกเขาจำเป็นต้องกลับมายังโลก พวกเขาเลือกที่จะลงจอดเหนือพื้นที่ที่เราเรียกว่ายุโรปในปัจจุบัน เพราะไม่สามารถมองเห็นส่วนที่เหลือของดาวเคราะห์ได้เลย จากยานเจ็ดลำ มีเพียงลำเดียวที่สามารถลงจอดได้
‘The others were hurled into the ground by gales, which occurred all over the planet - cyclonic winds of 300-400 kilometres per hour. The main cause of these winds was differences in temperature - these in turn, caused by the sudden volcanic eruptions.
“ลำอื่นๆถูกพายุซัดลงพื้น ซึ่งเกิดขึ้นทั่วดาวเคราะห์ - ลมหมุนที่มีความเร็ว 300-400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สาเหตุหลักของลมเหล่านี้คือความแตกต่างของอุณหภูมิ - ซึ่งเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟอย่างฉับพลัน
‘So, the sole remaining spaceship managed to land in what is now called Greenland. There were 95 yellow passengers on board, many of whom were doctors and experts of various kinds. Having landed in extremely adverse conditions, damage was incurred which made it impossible for the vessel to take off again. However, it remained useful for a shelter. They had provisions enough to last a long time and so they organised themselves as best they could.
“ดังนั้น #ยานอวกาศลำสุดท้ายที่เหลือสามารถลงจอดได้ในที่ที่ปัจจุบันเรียกว่ากรีนแลนด์ มีผู้โดยสารผิวเหลือง 95 คนบนยาน หลายคนเป็นแพทย์และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ หลังจากลงจอดในสภาพที่เลวร้ายเป็นอย่างยิ่ง ยานได้รับความเสียหายจนไม่สามารถบินขึ้นไปอีกได้ อย่างไรก็ตาม มันยังคงมีประโยชน์เป็นที่พักพิง พวกเขามีเสบียงพอที่จะอยู่ได้นาน และพวกเขาจึงจัดการตัวเองอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
‘About one month later, they were all engulfed in an earthquake - the spacecraft too, and it was with this last catastrophe that all trace of civilisation on Earth was destroyed. The chain of catastrophes that followed the collision with the asteroid had dispersed entire populations - in New Guinea, Burma and China, and in Africa, although the region of the Sahara suffered to a lesser extent than elsewhere.
However, all the towns established in the Red Sea area were engulfed by the newly-formed sea. In brief, no city remained on Earth and millions of people and animals had been wiped out. It was, therefore, not long before widespread famine occurred.
“ประมาณหนึ่งเดือนต่อมา พวกเขาทั้งหมดถูกกลืนในแผ่นดินไหว - ยานอวกาศก็ด้วย และด้วยหายนะครั้งสุดท้ายนี้ #ร่องรอยทั้งหมดของอารยธรรมบนโลกก็ถูกทำลาย ลูกโซ่แห่งหายนะที่ตามมาหลังการชนกับดาวเคราะห์น้อย #ได้ทำให้ประชากรทั้งหมดกระจัดกระจาย - ในนิวกินี พม่า และจีน และในแอฟริกา แม้ว่าบริเวณทะเลทรายซาฮาราจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าที่อื่น
อย่างไรก็ตาม เมืองทั้งหมดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ทะเลแดงถูกกลืนโดยทะเลที่เพิ่งก่อตัวขึ้น โดยสรุป #ไม่มีเมืองใดเหลืออยู่บนโลก #และผู้คนและสัตว์นับล้านถูกกวาดล้าง จึงไม่นานก่อนที่ความอดอยากครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น
‘Needless to say, the wonderful cultures of Australia and China were no more than memories that would become legends. And so it was, that the people (suddenly disseminated and separated from each other by newly gouged chasms and newly formed seas) experienced for the first time on the planet Earth, cannibalism.’
“ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่า #วัฒนธรรมอันยอดเยี่ยมของออสเตรเลียและจีนไม่เหลืออะไรนอกจากความทรงจำที่จะกลายเป็นตำนาน และดังนั้น ผู้คน (ที่กระจัดกระจายอย่างฉับพลันและแยกจากกันด้วยหุบเหวที่เพิ่งถูกขุดและทะเลที่เพิ่งก่อตัว) #ได้ประสบกับการกินเนื้อมนุษย์เป็นครั้งแรกบนดาวเคราะห์โลก”
➖➖➖ (((จบบทที่ 3️⃣)))➖➖➖
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
