Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Vate's Pharma Scope
•
ติดตาม
9 มี.ค. เวลา 14:00 • สุขภาพ
นอนน้อยไป เสี่ยงน้ำตาลในเลือดสวิง: ไขความลับ"การนอน" กับ "สุขภาพน้ำตาล" ที่คุณอาจไม่เคยรู้
บทความนี้ผมจะมาพูดคุยเกี่ยวกับการนอนอีกแล้ว ช่วงนี้พูดถึงการนอนบ่อย เรื่องของการนอนหลับพักผ่อน ที่หลายคนอาจมองข้ามไป แต่รู้หรือไม่ว่าการนอนหลับของเรานั้นมีความเชื่อมโยงกับสุขภาพด้านอื่นๆ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ระดับน้ำตาลในเลือด" ที่เป็นกุญแจสำคัญของสุขภาพที่ดี
จากงานวิจัยล่าสุดซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Network Open พบว่า รูปแบบการนอนหลับของเราในระยะยาว ทั้งระยะเวลาการนอน และช่วงเวลาที่เราเข้านอน มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดของเราอย่างน่าตกใจเลยทีเดียว
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ทำไมการนอนหลับถึงมีความสำคัญต่อระดับน้ำตาลในเลือดของเรา ร่างกายของเราเหมือนเครื่องจักรที่ซับซ้อน การนอนหลับคือช่วงเวลาที่เราได้ "ซ่อมบำรุง" ส่วนต่างๆ ให้กลับมาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมถึงระบบเผาผลาญพลังงานและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วย
มีการศึกษามากมายที่ชี้ให้เห็นว่า การนอนหลับที่ไม่เพียงพอ หรือมีคุณภาพไม่ดี ส่งผลเสียต่อระบบเผาผลาญกลูโคส หรือน้ำตาลในเลือด ทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แต่สิ่งที่น่าสนใจในงานวิจัยนี้คือ การศึกษาในระยะยาว และการใช้เทคโนโลยี "Continuous Glucose Monitoring (CGM)" หรือการตรวจวัดระดับน้ำตาลแบบต่อเนื่อง ทำให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการนอนหลับและระดับน้ำตาลในเลือดในชีวิตประจำวัน
#ผลการวิจัยชี้ชัด: นอนน้อย-นอนดึก น้ำตาลสวิงจริง!
งานวิจัยนี้ได้ติดตามกลุ่มตัวอย่างชาวจีนวัยกลางคนและผู้สูงอายุ จำนวน 1,156 คน เป็นระยะเวลาหลายปี และทำการวัดรูปแบบการนอนหลับ และระดับน้ำตาลในเลือดด้วยเครื่อง CGM ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มตามรูปแบบการนอนหลับได้ 4 กลุ่มหลักๆ ในแง่ของ "ระยะเวลาการนอน" ได้แก่
1. กลุ่มนอนน้อยมาก (Severe Inadequate Sleep) กลุ่มนี้มีระยะเวลานอนเฉลี่ย 4-5 ชั่วโมงต่อคืน ซึ่งถือว่าน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการอย่างมาก
2. กลุ่มนอนน้อยปานกลาง (Moderate Inadequate Sleep) กลุ่มนี้มีระยะเวลานอนเฉลี่ย 5-6 ชั่วโมงต่อคืน ยังถือว่าน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
3. กลุ่มนอนน้อยเล็กน้อย (Mild Inadequate Sleep) กลุ่มนี้มีระยะเวลานอนเฉลี่ย 6-7 ชั่วโมงต่อคืน ใกล้เคียงกับเกณฑ์ แต่ยังไม่ถึง 7-9 ชั่วโมงที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่
4. กลุ่มนอนเพียงพอ (Adequate Sleep) กลุ่มนี้มีระยะเวลานอนเฉลี่ย 8 ชั่วโมงขึ้นไป ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม
เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่นอนเพียงพอ พบว่า กลุ่มที่นอนน้อย โดยเฉพาะกลุ่มนอนน้อยมาก มีแนวโน้มที่จะมี "ความผันผวนของระดับน้ำตาลในเลือด (Glycemic Variability)" สูงกว่า ซึ่งหมายความว่า ระดับน้ำตาลในเลือดของพวกเขามีการขึ้นลงที่ไม่สม่ำเสมอ ไม่คงที่ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว
นอกจากนี้ งานวิจัยยังได้ศึกษาเรื่อง "ช่วงเวลาการนอน" พบว่า กลุ่มตัวอย่างสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่:
1. กลุ่มนอนหัวค่ำ (Persistent Early Sleep Onset) กลุ่มนี้เข้านอนก่อนเที่ยงคืนเป็นประจำ
2. กลุ่มนอนดึก (Persistent Late Sleep Onset) กลุ่มนี้เข้านอนหลังเที่ยงคืนเป็นประจำ
ผลปรากฏว่า กลุ่มที่นอนดึก มีแนวโน้มที่จะมีความผันผวนของระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่ากลุ่มที่นอนหัวค่ำเช่นกัน
ที่น่าสนใจคือ งานวิจัยนี้ยังพบว่า การมีรูปแบบการนอนที่ไม่ดีทั้งสองอย่าง คือ "นอนน้อย" และ "นอนดึก" ร่วมกัน จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อความผันผวนของระดับน้ำตาลในเลือดมากขึ้นไปอีก
หลายคนอาจคุ้นเคยกับการตรวจวัด "ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1c)" ซึ่งเป็นการดูภาพรวมของระดับน้ำตาลในเลือดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา แต่ "ความผันผวนของระดับน้ำตาลในเลือด" เป็นอีกมิติหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ความผันผวนที่มากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อหลอดเลือดและระบบประสาทในระยะยาว และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต และโรคทางระบบประสาท
การนอนหลับที่ไม่ดี ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อระดับน้ำตาลโดยรวม แต่ยังส่งผลต่อความผันผวนของระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนภัยที่สำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม
# กลไกเบื้องหลัง: ทำไมนอนไม่ดี ถึงน้ำตาลสวิง?
ในส่วนของกลไกที่อธิบายความเชื่อมโยงนี้ งานวิจัยได้อ้างอิงถึงงานวิจัยอื่นๆ ที่ชี้ให้เห็นว่า การนอนหลับที่ไม่เพียงพอ อาจส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ และระดับฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย เช่น ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียด และฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormone) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
นอกจากนี้ การนอนดึกยังอาจส่งผลกระทบต่อ "นาฬิกาชีวภาพ (Circadian Rhythm)" ของร่างกาย ซึ่งมีผลต่อการหลั่งฮอร์โมนต่างๆ และกระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย เมื่อนาฬิกาชีวภาพรวน ก็อาจส่งผลให้ระบบควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดทำงานผิดปกติไปด้วย
# ข้อคิดและคำถามชวนคิด
จากผลงานวิจัยนี้ ทำให้เราเห็นความสำคัญของการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ และเป็นเวลาที่เหมาะสมต่อสุขภาพของเราอย่างชัดเจน การนอนหลับไม่ใช่แค่การพักผ่อน แต่เป็นกระบวนการสำคัญที่ส่งผลต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงระบบควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วย
สำหรับใครที่กำลังมีปัญหานอนหลับยาก หรือนอนหลับไม่เพียงพอ ผมขอแนะนำให้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอน เช่น เข้านอนและตื่นนอนให้เป็นเวลา หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ในช่วงเย็น สร้างบรรยากาศในห้องนอนให้เหมาะสมกับการนอนหลับ และหากยังมีปัญหาอยู่ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม
คำถามที่ผมอยากจะฝากไว้ให้ทุกคนได้ลองคิดตามคือ
* รูปแบบการนอนหลับของคุณในปัจจุบันเป็นอย่างไร? คุณนอนหลับเพียงพอและเป็นเวลาที่เหมาะสมหรือไม่?
* คุณเคยสังเกตความเชื่อมโยงระหว่างการนอนหลับและสุขภาพของคุณหรือไม่?
* คุณคิดว่าเราจะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนหลับของเราให้ดีขึ้นได้อย่างไร เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว?
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และกระตุ้นให้ทุกคนหันมาใส่ใจเรื่องการนอนหลับพักผ่อนกันมากขึ้นนะครับ เพราะการนอนหลับที่ดี คือจุดเริ่มต้นของสุขภาพที่ดีอย่างแท้จริง สามทุ่มแล้วสมควรแก่เวลานอนแล้วครับ
**แหล่งอ้างอิง**
Shen, L., Li, B., Gou, W., Liang, X., Zhong, H., Xiao, C., & Zheng, J. S. (2025). Trajectories of Sleep Duration, Sleep Onset Timing, and Continuous Glucose Monitoring in Adults. JAMA Network Open, 8(3), e250114-e250114.
สุขภาพ
ความรู้รอบตัว
ข่าวรอบโลก
บันทึก
5
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
รู้ลึก รู้จริง เรื่องยาเบาหวาน
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย