4 เม.ย. เวลา 03:00 • สุขภาพ

CGM ผู้ช่วยใหม่ รู้ทันระดับน้ำตาล... ไม่ใช่แค่สำหรับผู้ใช้อินซูลิน

บทความนี้ ขอพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับเทคโนโลยีที่กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพของเรา นั่นก็คือ Continuous Glucose Monitoring (CGM) หรือระบบตรวจวัดระดับน้ำตาลแบบต่อเนื่อง ซึ่งเดิมทีอาจจะคุ้นเคยกันในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลิน แต่ในปัจจุบัน ข้อมูลใหม่ๆ ที่น่าสนใจกำลังบ่งชี้ว่า CGM อาจมีประโยชน์มากกว่าที่เราคิด และอาจกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับคนทั่วไปในการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันได้อีกด้วยครับ
ผมจะพาไปเจาะลึกถึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของ CGM โดยอิงข้อมูลหลักจากรายงานการประชุมวิชาการ Advanced Technologies & Treatments for Diabetes (ATTD) 2025 ที่จัดขึ้น ณ กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งนำเสนอข้อมูลที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับการใช้ CGM ที่ขยายขอบเขตไปไกลกว่าแค่การจัดการโรคเบาหวานในผู้ที่ใช้อินซูลินเท่านั้นครับ
สำหรับท่านที่อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับ CGM ผมขออธิบายง่ายๆ ก่อนนะครับว่า CGM คืออุปกรณ์ขนาดเล็กที่ติดอยู่บนผิวหนัง ทำหน้าที่ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง โดยจะส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์รับสัญญาณหรือสมาร์ทโฟน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเห็นแนวโน้มและรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งแตกต่างจากการตรวจน้ำตาลปลายนิ้วแบบเดิมที่เราจะทราบค่าเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ความสำคัญของ CGM นั้นอยู่ที่การให้ข้อมูลที่ละเอียดและต่อเนื่อง ทำให้เราเข้าใจร่างกายของเราได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการตอบสนองต่ออาหาร การออกกำลังกาย และกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลให้เหมาะสม และอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ในระยะยาวได้ครับ
ภาพจาก https://allwellhealthcare.com/cgm-vs-bgm/
เดิมที CGM ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการโรคเบาหวานในผู้ป่วยที่ต้องฉีดอินซูลิน เพื่อช่วยให้สามารถปรับขนาดยาอินซูลินได้อย่างแม่นยำและป้องกันภาวะน้ำตาลต่ำหรือสูงเกินไป อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากรายงานการประชุม ATTD 2025 ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของ CGM ที่อาจเป็นประโยชน์ในวงกว้างมากขึ้น
Dr. Tadej Battelino ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อในเด็กและวัยรุ่นจาก University Medical Center Ljubljana ได้กล่าวไว้ในการประชุมว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า CGM อาจกลายเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ทุกคนใช้ในการดูแลสุขภาพก็เป็นได้ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่ว่า ปัจจุบัน CGM บางรุ่นสามารถหาซื้อได้เองโดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ ในราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น ทำให้การใช้งาน CGM เริ่มแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา
หนึ่งในหัวข้อที่น่าสนใจจากการประชุม ATTD 2025 คือศักยภาพของ CGM ในการเป็นเครื่องมือช่วยวินิจฉัยโรคเบาหวานและภาวะก่อนเบาหวาน ปัจจุบัน มี CGM ที่วางจำหน่ายโดยทั่วไปในสหรัฐอเมริกา 2 รุ่นที่อาจนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์นี้ได้
Dr. Viral N. Shah ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อจาก Indiana University School of Medicine ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า แม้ว่าเราอาจจะยังไม่สามารถใช้ CGM แทนการตรวจระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร (Fasting Plasma Glucose), การทดสอบความทนทานต่อกลูโคส (Oral Glucose Tolerance Test: OGTT) หรือค่าเฉลี่ยน้ำตาลสะสม (A1c) ในการวินิจฉัยภาวะก่อนเบาหวานได้ในทันที
แต่การวิจัยในด้านนี้ก็กำลังก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยเป้าหมายแรกอาจเป็นการใช้ CGM เพื่อลดความจำเป็นในการทำ OGTT ซึ่งเป็นวิธีการตรวจที่ค่อนข้างยุ่งยากและไม่สะดวกสำหรับหลายๆ คน
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาถึงเกณฑ์ที่เหมาะสมในการใช้ข้อมูลจาก CGM เพื่อบ่งชี้ภาวะก่อนเบาหวาน โดยมีการเสนอเป้าหมาย "Time in Range" (ช่วงเวลาที่ระดับน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องการ) ที่แตกต่างจากผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า CGM สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ในการระบุความผิดปกติของระดับน้ำตาลได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
อย่างไรก็ตาม Dr. David T. Ahn ผู้เชี่ยวชาญด้านเบาหวานจาก Hoag Memorial Hospital Presbyterian ได้ให้ความเห็นว่า การใช้ CGM เพื่อวินิจฉัยโรคเบาหวานยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เนื่องจากยังไม่มีเกณฑ์ที่เป็นเอกฉันท์ในการตัดสินว่าผลการตรวจ CGM ในกลุ่มคนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นเบาหวานนั้นถือว่าปกติหรือไม่ปกติ
ภาพจาก https://allwellhealthcare.com/cgm-vs-bgm/
นอกจากภาวะก่อนเบาหวานแล้ว ข้อมูลจากการประชุม ATTD 2025 ยังชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของ CGM ในกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes: T1D) Dr. Chantal Mathieu ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อจาก Katholieke University ประเทศเบลเยียม ได้กล่าวว่า ปัจจุบันมีการกำหนดรหัส ICD-10 สำหรับผู้ที่มีภาวะก่อนเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งสามารถตรวจพบได้จากการตรวจหาแอนติบอดี
สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงในระยะที่ 2 ซึ่งมีการลดลงของเซลล์สร้างอินซูลินอย่างมีนัยสำคัญ CGM อาจเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการติดตามระดับน้ำตาลและคาดการณ์ความเสี่ยงในการพัฒนาไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 1 ในระยะที่ 3 ได้ โดยข้อมูลบ่งชี้ว่าระดับน้ำตาลที่สูงกว่า 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร อาจเป็นสัญญาณของการพัฒนาไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 1 ที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
คุ้มค่าหรือไม่? มองในมุมเศรษฐศาสตร์
ประเด็นเรื่องค่าใช้จ่ายและความคุ้มค่าของการใช้ CGM ก็เป็นอีกหัวข้อที่ถูกหยิบยกมาพูดคุยในการประชุม ATTD 2025 ปัจจุบันในสหรัฐอเมริกา การเบิกจ่ายค่า CGM โดยทั่วไปมักจำกัดอยู่ในผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้อินซูลินหรือมีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำ
อย่างไรก็ตาม มีการนำเสนอผลการศึกษาแบบจำลองที่แสดงให้เห็นว่า CGM แบบเรียลไทม์นั้นมีความคุ้มค่าสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่ได้ใช้อินซูลินในประเทศแคนาด นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลจากการศึกษาอื่นๆ ที่เชื่อมโยงการมีค่า "Time in Range" ที่ดีขึ้นจากการใช้ CGM กับอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับเบาหวานที่ลดลง
Dr. Roy W. Beck ผู้อำนวยการบริหารของ Jaeb Center for Health Research ได้สรุปข้อมูลประสิทธิภาพของ CGM ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่ได้ใช้อินซูลิน โดยอ้างอิงจากการวิเคราะห์เมตาของการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม 6 รายการ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า CGM สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีกว่าการตรวจน้ำตาลปลายนิ้ว
แม้ว่าอาจจะยังต้องการการศึกษาขนาดใหญ่เพิ่มเติมเพื่อยืนยันความคุ้มค่าในระยะยาว แต่ข้อมูลที่มีอยู่ก็บ่งชี้ว่า CGM มีศักยภาพในการลดค่าใช้จ่ายโดยรวมที่เกี่ยวข้องกับการรักษาภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน และยังช่วยลดการสูญเสียผลิตภาพจากการเจ็บป่วยได้อีกด้วย
ภาพจาก https://www.tnnthailand.com/tech/127999/
จากข้อมูลที่นำเสนอในการประชุม ATTD 2025 เราจะเห็นได้ว่า CGM ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การใช้งานในผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินอีกต่อไป แต่กำลังมีบทบาทที่ขยายวงกว้างมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านการวินิจฉัยภาวะก่อนเบาหวานและโรคเบาหวาน การติดตามความเสี่ยงในกลุ่มบุคคลที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 หรือแม้แต่ในด้านความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์
ผมเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ CGM จะกลายเป็นเครื่องมือที่เข้าถึงได้ง่ายและมีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันสำหรับคนทั่วไปมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีคำถามอีกมากมายที่เราต้องหาคำตอบ เช่น เกณฑ์ที่เหมาะสมในการใช้ CGM ในกลุ่มต่างๆ ที่ไม่ใช่ผู้ป่วยเบาหวานคืออะไร? เราจะสามารถนำข้อมูลจาก CGM มาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพได้อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด? และเราจะทำอย่างไรให้ CGM มีราคาที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคนที่ต้องการ?
แหล่งอ้างอิง
Tucker, M. E. (2025, March 31). Continuous Glucose Monitoring: For Insulin Users and Beyond. Medscape Medical News. Retrieved from https://www.youtube.com/watch?v=HaBIRjFMw7M&pp=0gcJCfcAhR29_xXO
โฆษณา