Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Vate's Pharma Scope
•
ติดตาม
5 เม.ย. เวลา 03:00 • สุขภาพ
ทางเลือกใหม่เมื่อคุมน้ำตาลไม่ได้ เปลี่ยนไปใช้ยา "ทีร์ซีพาไทด์" ดีกว่าเพิ่มขนาดยาเดิมจริงหรือ?
สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 หลายท่าน อาจจะเคยได้รับการรักษาด้วยยาในกลุ่ม GLP-1 receptor agonists เช่น ดูลากลูไทด์ (Dulaglutide) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า "ทรูลีซิตี้" (Trulicity) ซึ่งเป็นยาฉีดที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีพอสมควร
แต่ในบางครั้ง การใช้ยาในขนาดที่สูงที่สุดแล้วก็ยังไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ตามเป้าหมาย ทำให้แพทย์ต้องพิจารณาถึงทางเลือกอื่นในการรักษา ซึ่งหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจก็คือการเปลี่ยนไปใช้ยาในกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า "ทีร์ซีพาไทด์" (Tirzepatide) หรือ "มูนจาโร" (Mounjaro)
หลายท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมการเปลี่ยนยาถึงน่าสนใจกว่าการเพิ่มขนาดยาเดิม? งานวิจัย SURPASS-SWITCH ซึ่งเป็นงานวิจัยแบบ randomized, open-label, phase 4 ที่ศึกษาในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีพอด้วยยาดูลากลูไทด์ ในขนาดที่ไม่สูงที่สุด (0.75 มก. หรือ 1.5 มก. ต่อสัปดาห์)
มาเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน ได้ทำการเปรียบเทียบระหว่างการเพิ่มขนาดยาดูลากลูไทด์ ไปจนถึงขนาดสูงสุด (4.5 มก.) กับการเปลี่ยนไปใช้ยาทีร์ซีพาไทด์ ในขนาดที่สามารถปรับเพิ่มได้ถึง 15 มก. (หรือขนาดสูงสุดที่ผู้ป่วยทนได้) เป็นระยะเวลา 40 สัปดาห์
ผลการวิจัยพบว่า การเปลี่ยนไปใช้ยาทีร์ซีพาไทด์ สามารถลดระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1c) และน้ำหนักตัวได้ดีกว่าการเพิ่มขนาดยาดูลากลูไทด์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติครับ ซึ่งผลลัพธ์นี้ถือว่าเป็นข้อมูลที่สำคัญมาก เพราะมันอาจจะเปลี่ยนแนวทางการรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคตได้เลยครับ
ภาพจาก https://thedeparysgroup.co.uk/2025/03/26/updated-information-regarding-tirzepatide-mounjaro/
มาดูตัวเลขที่น่าสนใจจากงานวิจัยนี้กันครับ ในสัปดาห์ที่ 40 ของการศึกษา พบว่า
1. ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1c) กลุ่มที่เปลี่ยนไปใช้ทีร์ซีพาไทด์ มีระดับ HbA1c ลดลงโดยเฉลี่ย 1.44% ในขณะที่กลุ่มที่เพิ่มขนาดยาดูลากลูไทด์ ลดลงเพียง 0.67% ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนถึง 0.77% (P < .001) ครับ
2. น้ำหนักตัว กลุ่มที่เปลี่ยนไปใช้ทีร์ซีพาไทด์ มีน้ำหนักตัวลดลงโดยเฉลี่ย 10.5 กิโลกรัม ในขณะที่กลุ่มที่เพิ่มขนาดยาดูลากลูไทด์ ลดลงเพียง 3.6 กิโลกรัม ซึ่งก็มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจอีกว่า ผู้ป่วยในกลุ่มที่ใช้ทีร์ซีพาไทด์ มีโอกาสบรรลุเป้าหมายการรักษา (HbA1c ≤ 6.5% และน้ำหนักลดลง ≥ 10%) โดยไม่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ได้มากกว่ากลุ่มที่ใช้ดูลากลูไทด์ อย่างมาก โดยคิดเป็น 47.4% ในกลุ่มทีร์ซีพาไทด์ เทียบกับ 4.8% ในกลุ่มดูลากลูไทด์ เท่านั้นเองครับ
ทำไมทีร์ซีพาไทด์ถึงให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า? นั่นก็เป็นเพราะว่ายาตัวนี้มีกลไกการออกฤทธิ์ที่พิเศษกว่ายาในกลุ่ม GLP-1 receptor agonists ทั่วไปครับ ทีร์ซีพาไทด์เป็นยาที่ออกฤทธิ์เป็น dual glucose-dependent insulinotropic polypeptide (GIP) and glucagon-like peptide-1 (GLP-1) receptor agonist (🤯🤯) ซึ่งหมายความว่ายาตัวนี้สามารถกระตุ้นการทำงานของตัวรับ (receptor) ทั้งสองชนิดในร่างกายของเราได้พร้อมกันครับ
GLP-1 receptor การกระตุ้นตัวรับชนิดนี้จะช่วยเพิ่มการหลั่งอินซูลินเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง ลดการหลั่งกลูคากอน (ฮอร์โมนที่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด) ชะลอการเคลื่อนที่ของอาหารจากกระเพาะอาหาร และส่งผลให้อิ่มเร็วขึ้น ซึ่งเป็นกลไกเดียวกับยาในกลุ่มดูลากลูไทด์ ครับ
GIP receptor การกระตุ้นตัวรับชนิดนี้จะช่วยเพิ่มการหลั่งอินซูลิน และอาจมีบทบาทในการลดความอยากอาหารและเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้อีกด้วยครับ
ด้วยกลไกการออกฤทธิ์ที่ครอบคลุมกว่านี้เอง จึงทำให้ทีร์ซีพาไทด์มีประสิทธิภาพในการควบคุมระดับน้ำตาลและลดน้ำหนักได้ดีกว่ายาในกลุ่ม GLP-1 receptor agonists เพียงอย่างเดียวครับ
ภาพจาก https://pharmaceutical-journal.com/article/news/tirzepatide-approved-for-weight-loss-treatment-by-regulator
ข้อควรระวังและสิ่งที่ต้องพิจารณา
ถึงแม้ว่าผลการวิจัยจะดูน่าตื่นเต้น แต่ก็มีบางสิ่งที่ควรจะต้องพิจารณาครับ อย่างแรกคือเรื่องของ ผลข้างเคียง ซึ่งในงานวิจัยนี้พบว่า อาการไม่พึงประสงค์ที่พบได้บ่อยในทั้งสองกลุ่มคืออาการคลื่นไส้และท้องเสีย ซึ่งมีความคล้ายคลึงกัน แต่ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (ระดับน้ำตาล < 54 มก./ดล.) พบได้บ่อยกว่าเล็กน้อยในกลุ่มที่ใช้ทีร์ซีพาไทด์ (5.8% เทียบกับ 2.8%) แต่ไม่มีผู้ป่วยรายใดที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำขั้นรุนแรงครับ
นอกจากนี้ ดร.โรซาลินา จี. แมคคอย (Rozalina G. McCoy) ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อ เบาหวาน และโภชนาการ จากมหาวิทยาลัยแมริแลนด์ ได้ให้ความเห็นว่า ถึงแม้ทีร์ซีพาไทด์จะเป็นยาที่มีฤทธิ์แรงกว่ายาในกลุ่ม GLP-1 รุ่นก่อนๆ แต่ก็ต้องพิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆ ในการรักษาด้วย เช่น ความครอบคลุมของยาในแผนประกันสุขภาพ ซึ่งอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละแผน และอาจมีเงื่อนไขในการอนุมัติการใช้ยาที่แตกต่างกันด้วยครับ บางครั้งผู้ป่วยอาจจะต้องลองใช้ยาตัวหนึ่งในขนาดสูงสุดก่อนถึงจะสามารถเปลี่ยนไปใช้ยาอีกตัวได้
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือเรื่องของ การลดน้ำหนัก ถึงแม้ว่าการลดน้ำหนักจะเป็นผลดีต่อผู้ป่วยเบาหวานที่มีน้ำหนักเกินหรือภาวะอ้วน แต่ ดร.แมคคอย ก็ตั้งข้อสังเกตว่า ไม่ใช่ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ทุกรายที่จำเป็นต้องลดน้ำหนักในปริมาณมากเหมือนที่ทีร์ซีพาไทด์ทำได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ไม่ได้มีภาวะอ้วนรุนแรง ดังนั้น การติดตามและปรับขนาดยาอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญครับ
โดยรวมแล้ว ข้อมูลจากงานวิจัย SURPASS-SWITCH ชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนไปใช้ยาทีร์ซีพาไทด์ อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการเพิ่มขนาดยาดูลากลูไทด์ สำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ยังไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ตามเป้าหมาย ยาตัวใหม่นี้มีประสิทธิภาพในการลดระดับน้ำตาลและน้ำหนักตัวที่น่าประทับใจ ซึ่งอาจจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้ในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนยาหรือเพิ่มขนาดยาเดิมนั้น ควรจะต้องอยู่ภายใต้การพิจารณาและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญครับ แพทย์จะพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ระดับน้ำตาลปัจจุบัน สุขภาพโดยรวม โรคประจำตัวอื่นๆ ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายครับ
ผมหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจถึงข้อมูลใหม่ๆ ในการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มากยิ่งขึ้นนะครับ
แหล่งอ้างอิง:
Tucker, M. E. (2025). Switching to Tirzepatide Outweighs Upping Dulaglutide Dose. Medscape Medical News. Retrieved from
https://www.medscape.com/viewarticle/switching-tirzepatide-outweighs-upping-dulaglutide-dose-2025a1000856
1 บันทึก
4
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
รู้ลึก รู้จริง เรื่องยาเบาหวาน
1
4
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย