ส่วนที่ 2 (บทที่ 9): เรื่องความคาดหวัง To Be/1 เพื่อกำหนดให้ชีวิตมีเป้าหมายที่ดี ที่สร้างกำลังใจมากพอให้เกิดความมานะพยายามอย่างไม่ลดละ(PASSION)ที่จะดำเนินชีวิตฝ่าฟันไปตามเส้นทางมุ่งสู่เป้าหมายที่ท้าทายสุดขีดซึ่งได้คิดไว้ด้วยความรอบคอบแล้ว เนื้อหาในบทที่ 9 เกี่ยวกับ 4 ประเด็น คือ (1) คนเราถ้าได้ทำอาชีพที่ชอบและไม่เกิดภาวะแย้งในใจ จึงจะมีโอกาสประสบผลสำเร็จเหมือนกับคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต (2) ทุกคนมีลักษณะเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร จึงต้องปรับแต่งตัวเองให้พอดีตัวเพื่อการปฏิบัติที่ดีซึ่งจำเป็นต่อการกำหนดให้ชีวิตมีเป้าหมายที่ดี (3) ดาบสองคมของตัวชี้วัด Key Performance Indicator เมื่อถูกใช้ในด้านร้ายมันจะเป็น"กับดัก"ที่เราต้องระวังเพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อ (4) ผล Feedback เมื่ออ่านจบบท เกิด OFI : Opportunity For Improvement : โอกาสใช้พลังธรรมชาติ Resonance ของตัวเอง โดย Keep Learning เรียนรู้ที่จะเป็นตัวเอง Cut Pain point เป็นหนึ่งในตัวเอง Paste to peak สร้างชะตาชีวิตด้วยมือตัวเอง To Be/1: เรื่องความคาดหวัง หลวงพ่อชาสอนว่าคนเราต้องประกอบด้วยความอยาก จึงจะมีข้อปฏิบัติ เพราะถ้าไม่มีความอยาก ก็ไม่มีข้อปฏิบัติเพราะไม่รู้จะปฏิบัติไปทำไม คนฉลาดในการดำเนินชีวิต รู้จักตั้งเป้าหมายเพื่อให้ชีวิตรู้ทิศทางที่จะไป และจะได้คิดว่าจะไปถึงได้อย่างไร คนฉลาดกว่า รู้จักตั้งเป้าหมายแบบท้าทายสุดขีดเพื่อผลที่ยิ่งใหญ่เพียงพอให้ใจเกิดมีมานะพยายามอย่างไม่ลดละ passion เพื่อไปให้ถึง คนฉลาดที่สุด มุ่งหวังอริยทรัพย์คือสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรได้รับ Summum Bonum เป็นความหลุดพ้น ด้วยจิตเมตตาธรรมอย่างไม่มีเงื่อนไข Compassion (Unconditional Love) ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก หลวงพ่อชา สอนให้ใช้ชีวิตตามหลักพรหมวิหารสี่คือ เมตตา กรุณา อุเบกขา มุทิตา ความเมตตาสุดขีด คือการยอมรับทุกสิ่งทั้งตัวเองและผู้อื่นอย่างที่กำลังเป็น เพราะทุกคนได้ทำดีที่สุดด้วยศักยภาพที่มีแล้ว ความกรุณาสุดขีด คือการให้อภัยตัวเองและผู้อื่นอย่างที่กำลังเป็น เพื่อให้โอกาสทุกคนได้พัฒนาตัวเอง อุเบกขาสุดขีด คือการไม่ตัดสินหรือเพ่งโทษตัวเองและผู้อื่น หยุดการเปรียบเทียบหมดมานะเก้า เพื่อหยุดเป็นทาสกิเลสที่ทำให้มีสั้น มียาว ความมุทิตาสุดขีด คือถือปฏิบัติตามแบบอย่างที่ดี เพื่อเพิ่มสิ่งดี ๆ ให้กับตัวเอง
ส่วนที่ 4.2 (บทที่ 14-22)แนวปฏิบัติที่ตระหนักรู้คุณค่าของตัวเองเพื่อมีพลังกายและพลังใจแบบสุดขีด คนต้องตระหนักรู้คุณค่าของตัวเองก่อน จึงจะมีพลังกายและพลังใจแบบสุดขีด รู้จัก เลือกทำ กรรม ในด้านดี เพื่อชีวิตที่สุดขีด โดย (1) ออกกำลังกายเพื่อทรงกายมีสุขภาพแข็งแรงพอดี เป็นฐานที่มั่นคงของใจ และใจไม่ต้องกังวลเรื่องกาย (2) ปฏิบัติจิตสงบด้วยมีศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอาหารใจ Heart Food ให้ใจมีพลังเข้มแข็งสามารถมุ่งมั่นสติสุจริต นำการเดินทีละก้าว (3) ฝ่าฟันอุปสรรค ไปตามทิศทางสู่เป้าหมาย ที่มีคุณค่าแท้จริงอันเกิดจากความเป็นตัวเรา เป็นความฝันที่เหมาะกับเรา เป็นสิ่งพิเศษที่เราอยากฝากไว้ให้โลกได้ใช้ประโยชน์ และต่อยอดให้ดีกว่า เพราะความบังเอิญ ไม่มีอยู่จริง สรรพสิ่งเกิดแต่เหตุ ที่ถึงพร้อม พุทธศาสนา ไม่ยอมให้มีเคราะห์ดี เคราะห์ร้าย และไม่ยอมให้ผลใด ๆ เกิดขึ้นเองโดยปราศจากเหตุ พุทธศาสนา ถือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุอยู่ทั้งสิ้น เช่น คนประมาท ทำให้เกิดอุบัติเหตุแบบต่าง ๆ คนที่รับเคราะห์คงไม่ต้องรับขึ้นมาเฉย ๆ โดยไม่มีเหตุ เหตุนั้น ต้องมีอยู่ซึ่งทางพุทธศาสนาเรียกเหตุนั้นว่า"กรรม" กรรมนั้นมีอยู่ทั้งทางดีและทางร้าย "กรรม"เป็นการปฏิบัติของส่วนบุคคล ที่สัมพันธ์กับสิ่งอื่นหรือบุคคลอื่น และ"กรรม"เป็นพลังงานอย่างหนึ่งที่ไม่อาจสูญหาย เป็นได้แต่การแปรสภาพไป เช่น กรรมที่ชดใช้กันหมดแล้วก็จะเป็นอโหสิกรรม ส่วนกรรมที่ยังชดใช้กันไม่หมด ก็ยังล่องลอยอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งจนกว่าจะลอยมาถึงตัวผู้ที่จะต้องรับกรรม กรรมอาจตามทันในภพนี้ได้เห็นผลทันตา หรืออาจต้องตามต่อไปในภพหน้า หรือภพต่อ ๆ ไป คือ ตามทันเข้าเมื่อใด ก็ให้ผลเมื่อนั้น เหลียวมองสถานการณ์ กรรม ระดับโลก อเมริกากำลังแก้กรรม ช่วงที่ผ่านมา อเมริกาใช้สถานะการณ์ดอกเบี้ยเงินฝาก 0% จึงกู้เงินต่างประเทศไปใช้ โดยการขายพันธบัตรและให้ดอกเบี้ยนิดหน่อย แต่เมื่อพิมพ์เงินและขายพันธบัตรออกมากเกินไป จึงเกิดเงินเฟ้อ จึงกลับมาใช้นโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยถ้าขึ้นเกิน 2.5% จะส่งผลด้านลบทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว แต่เพราะมีวิกฤตสงครามรัสเซียบุกยูเครน และกรณีจีนใช้นโยบาย Zero Covid-19 ทะยอยปิด เปิด เมือง กดดันเงินเฟ้อเนื่องจากโรงงานหยุดผลิต ซ้ำเติมภาวะเงินเฟ้อทำให้อเมริกาอาจต้องยอมขึ้นอัตราดอกเบี้ยเกิน 2.5% และขึ้นไปจนกว่าจะหยุดเงินเฟ้อได้ ประมาณว่ายอมใช้ Recession เศรษฐกิจตกต่ำเพื่อเอาเงินเฟ้อให้อยู่ เมื่อประเทศใหญ่งัดข้อกัน เหมือนไสช้างเคลื่อนเข้าชนกัน ส่งผลให้ บรรดาหญ้าแพรกประเทศเล็ก ๆ ก็พลอยแหลกลานไปด้วย อันเป็นผลจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้ดอกเบี้ยเงินที่กู้มาบานขึ้นไปด้วย
ส่วนที่ 4.1 (บทที่ 12-13):ดำเนินชีวิตที่มีความสุขและมี“ความหมาย” To Be/2 โดยมุ่งมั่นสติสุจริตนำการเดินบนทางสายกลางเพื่อก้าวข้ามกับดักวิทยาศาสตร์และกับดักเศรษฐศาสตร์ มุ่งทิศทางสู่เป้าหมายการทำงานเพื่อฝากสิ่งที่พิเศษไว้ให้โลกได้ใช้ประโยชน์ ไม่ใช่ดำเนินชีวิตแบบคนไร้ค่า To Be/2 : การดำเนินชีวิตที่มีความสุขและมี“ความหมาย” 1. พุทธศาสนาสอนเรื่อง"ทางสายกลาง" แต่ไม่ใช่ทางสายกลางที่คนทั่วไปคิด เพราะ"ทางสายกลาง"เป็นภาษาธรรมหมายถึง ความสงบที่อยู่ตรงกลางระหว่างสุขและทุกข์ การจะเดินบนทางสงบ Peace life ได้นั้น เกิดจากการเห็นความเป็นจริงว่า "ทั้งความสุขและความทุกข์ เกิดจากจิตที่หลงอารมณ์ ถูกอารมณ์หลอกลวง ให้ปรุงแต่งสังขารขึ้นมา แล้วจิตเข้าไปยึดในสังขารนั้น" 2. ชีวิตที่ดีต้องมีสติสุจริตไม่เป็นทุกข์ใจ ไม่ใช่ว่าต้องการปัจจัยมาก แต่ต้องคิดถูก "ธรรม" แบบตะวันออก หลวงพ่อชาสอนให้คิดแบบตะวันออกเพื่อไม่ทุกข์ แต่ให้ปฏิบัติแบบตะวันตกเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ด้วยมีความสะดวกทางกาย ชีวิตที่ดีแบบสุดขีดไม่ต้องการปัจจัยมาก เช่น เจ้าชายสิทธัตถะ มีทุกสิ่งที่คนต้องการ แต่เมื่อเห็นเทวทูต คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ที่ทุกคนรวมถึงพระองค์ก็ต้องเป็นทุกข์ เช่นนั้น จึงตัดสินพระทัยออกบวชเพื่อหาทางหลุดพ้นจากวัฏสงสาร และจะได้ช่วยเหลือผู้คนให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ เมื่อได้บรรลุความสุขแท้ไม่มีที่สิ้นสุดของ“โพธิจิต” ได้เป็น พุทธะ เป็นชีวิตที่ดีแบบสุดขีดไม่ต้องการปัจจัยมาก พระพุทธเจ้าสอนทางดับทุกข์ให้คนขจัด“อวิชชา” คือความไม่รู้“ความจริงแท้”ด้วยตัวเอง ปลุกให้คนตื่นขึ้นมีชีวิตใหม่ 3. ในโลกอนิจจัง แม้ว่าเราดำเนินชีวิตที่ดีและมีความหมาย ราวกับขับรถไปตามทางซุปเปอร์ไฮเวย์ ซึ่งเรายังคงต้องไม่ประมาท ต้องไม่เข้าไปในช่องทางของคนอื่น และยังมีโค้งต่างๆ ที่เราอยู่ในสังคมต้องทำงานร่วมกับคนอื่น ที่เราต้องรู้จักคนประเภทต่างๆ เพื่อว่า เมื่อเราสัมพันธ์ด้วยอย่างถูกต้องโดยไม่เกิดโทษ เหมือนการขี่มอร์เตอร์ไซด์ ต้องเข้าใจแรงพลังแรงเหวี่ยงของธรรมชาติเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็ว ซึ่งเราต้องเอียงตัวช่วยถ่วงน้ำหนักเพื่อไม่หลุุดโค้งไปนอนอยู่ข้างทาง 4. ทุกคนจึงต้องการที่ยืนในสังคม เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมเพราะการรวมกันเป็นสังคมทำให้เกิดประโยชน์ส่วนเกิน Consumer Surplus เหมือนการซื้อของจำนวนมากที่แม่ค้าจะลดราคาให้เพราะต้นทุนต่อหน่วยถูกลง คนฉลาด สามารถสร้างที่ยืนในสังคมได้อย่างเป็นคนที่มีความหมายต่อผู้อื่นแบบสุดขีด โดยดำเนินชีวิตตามแบบอย่างที่ดีของคนในตำนานที่พัฒนาคุณค่าความเป็นตัวเองสร้างสิ่งพิเศษฝากไว้ให้โลกได้ใช้ประโยชน์และต่อยอดให้ดีกว่า -----
ส่วนที่ 3 (บทที่ 10-11): สิ่งที่ต้องปรับตัว To Transform เนื้อหาในบทที่ 10 -11 เกี่ยวกับ 4 ประเด็น คือ (1) คนสำเร็จในชีวิต เป็นคนส่วนน้อย ที่ก้าวหน้าตามแนวทางที่บุกเบิกขึ้นเอง เป็นความแตกต่างที่คนส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็นโอกาสสำเร็จ (2) การเดินบนเส้นทางสู่ความสำเร็จนั้น ต้องตรวจสอบอยู่เสมอว่า เรายังคงอยู่กับกลุ่มคนส่วนน้อยที่จะได้กำไรเกินปกติจากคุณค่าที่เราสร้าง key success factors ขึ้นมาเป็นลายเซ็นของเราเอง ที่เรามีอำนาจผูกขาด (3) การจะประสบความสำเร็จ จึงต้องคิดแบบคนส่วนน้อย 3% ที่มองดูเหมือนกับยืนอยู่บนความเสี่ยง ในขณะที่คนส่วนใหญ่ ติดอยู่ใน"กับดัก"ที่ดูเหมือนอยู่ใน Safe zone (4) ผล Feedback เมื่ออ่านจบบท เกิด OFI : Opportunity For Improvement : โอกาสใช้พลังธรรมชาติ Resonance ของตัวเอง โดย Keep Learning เรียนรู้ที่จะเป็นตัวเอง Cut Pain point เป็นหนึ่งในตัวเอง Paste to peak สร้างชะตาชีวิตด้วยมือตัวเอง สิ่งที่ต้องปรับตัว To Transform การปรับตัวเองให้มีองค์ประกอบของความสำเร็จครบถ้วนและสมบูรณ์พอดีเพื่อใช้ประกอบกันเป็นความสำเร็จตามเป้าหมายในใจ คนสำเร็จในชีวิต เป็นคนส่วนน้อย ที่ก้าวหน้าตามแนวทางที่บุกเบิกขึ้นเอง เป็นความแตกต่างที่คนส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็นโอกาสสำเร็จ คนส่วนใหญ่จะมุ่งไปตามกระแสความสำเร็จ ที่มีผู้นำทางไปก่อน จึงเกิดเป็นความเสี่ยงเพราะคนจำนวนมากเข้าไปแข่งขันในตลาดเดียวกันและเป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์ Perfect Knowledge ทุกคนมองเห็นเท่ากัน ทำให้แต่ละคนได้เพียงกำไรปกติเท่านั้น เพราะถ้ายังมีกำไรเกินปกติก็จะมีรายใหม่เข้ามาแบ่งไป ในโลกที่เป็นจริง สรรพสิ่งอยู่ในโลกอนิจจังที่บริบทแวดล้อมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แม่โลกไม่เคยอยู่ที่เดิม แต่คนส่วนใหญ่ติดกรอบคิดเหตุผลที่เห็นจากการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ตามบริบทแวดล้อมเดิม โดยลืมปัจจัยที่โลกอนิจจังที่ทำให้ความถึงพร้อมเปลี่ยนไปตามบริบทแวดล้อมแบบใหม่ การปรับตัวให้มีความพร้อมที่อยู่บนฐานสภาพแวดล้อมแบบใหม่ ที่เหตุผลแบบเดิมใช้ไม่ได้ จึงเป็นความจำเป็น ซึ่งคนส่วนน้อยมองเห็นและได้เป็นผู้ประสบความสำเร็จ การจะประสบความสำเร็จ จึงต้องคิดแบบคนส่วนน้อย 3% เป็นหลักการแบบเดียวกับการวิเคราะห์ผลประโยชน์จากตลาดหุ้น ที่คนส่วนน้อยเพียงจำนวน 3% ได้ผลประโยชน์จากตลาดหุ้น ทิ้งให้คนส่วนใหญ่ที่มองเห็นเหมือน ๆ กัน กลายเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ตัวอย่างการซื้อหุ้นราคาถูกที่คนส่วนใหญ่ขาย เป็นโอกาสทองของคน 3% ที่วอร์เรนบัฟเฟตต์ให้ข้อคิดเอาไว้ เป็นเหมือนการคิดอยู่ในขั้วตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ โดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผลใด ๆ เพราะโลกอนิจจัง ทำให้เหตุผลเปลี่ยนไป แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามหลักเศรษฐศาสตร์ คือการอยู่ในตลาดคนส่วนใหญ่นั้นทำได้เพียงกำไรปกติเท่านั้น ส่วนตลาดของกลุ่มคน 3% ได้กำไรเกินปกติเสมอ หลักเหตุผลทางเศรษศาสตร์แบ่งวิธีมองความจริงออกเป็นสองระดับคือภาพย่อย กับภาพใหญ่ โดยความจริงในภาพย่อย Micro economics แต่อาจใช้กับภาพใหญ่ไม่ได้ เพราะในภาพใหญ่ Macro Economics นั้นมีตัวแปรอื่น ๆ เข้ามาบิดเบือนผล ทำให้ความถึงพร้อมอาจเทไปอีกด้าน เช่น การขึ้นภาษีสินค้าบางอย่าง แม้ภาษีต่อหน่วยจะเก็บได้มากขึ้น แต่ภาษีโดยรวมอาจได้น้อยกว่าก่อนขึ้นภาษี เพราะคนหันไปใช้สินค้าอื่นทดแทน ทำให้จำนวนหน่วยที่เก็บภาษีได้ลดลง การจะประสบความสำเร็จ จึงต้องคิดแบบคนส่วนน้อย 3% ที่มองดูเหมือนกับยืนอยู่บนความเสี่ยง ในขณะที่คนส่วนใหญ่เหมือนอยู่ใน Safe zone ดังนั้น การจะอยู่บนเส้นทางสู่ความสำเร็จนั้น ต้องตรวจสอบอยู่เสมอว่า เรายังคงอยู่กับกลุ่มคนส่วนน้อยที่จะได้กำไร เกินปกติจากคุณค่าที่เราสร้าง key success factors ขึ้นมา เป็นลายเซ็นของเราเอง ที่เรามีอำนาจผูกขาด รวมถึงมีลิขสิทธิ์ในผลงานนวัตกรรมใหม่
ส่วนที่ 1.2 (บทที่ 7-8) สิ่งที่ต้องทำ To Do (Fill Gap to get Ready) To Do: Fill Gap from Man to be Human มีเนื้อหาในแต่ละบทเกี่ยวกับ 4 ประเด็น คือ (1) ธรรมชาติปุถุชนคนครึ่งๆกลางๆ ไม่ใช่สัตว์ และไม่ใช่พระอริยะ สมควรจะต้องฝึก ฝืนความเป็นปุถุชนให้จิตสูงขึ้นไปทางพระอริยะ เพราะถ้าไม่ฝืนก็จะถูกดึงลงทางต่ำเป็นเหมือนสัตว์ (2) ทุกคนมีลักษณะเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร จึงต้องปรับแต่งตัวเองให้พอดีตัวเพื่อการปฏิบัติที่ดีซึ่งจำเป็นต่อการยกระดับจิตใจไปทางสูง (3) สภาพจิตที่ไม่ได้ฝึกมักไหลลงต่ำ ไปตามกิเลส โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็น"กับดัก"ที่เราต้องระวังเพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อ (4) ผล Feedback เมื่ออ่านจบบท เกิด OFI : Opportunity For Improvement : โอกาสพัฒนาทักษะแก้ไขจุดอ่อนปลุกจุดแข็ง แล้วพัฒนาจุดแข็งให้ทำงานได้แบบสุดขีด โดย Keep Learning เรียนรู้รักษาจุดแข็ง ให้ยังใช้ได้ทันต่อสถานการณ์ Cut Pain point ระวังป้องกันหรือทิ้งจุดอ่อน ไม่ให้ส่งผลเสีย Paste to peak ต่อยอดจุดแข็งขึ้นเป็นพรสวรรค์ ----- เราทุกคนล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว Unique มีจุดอ่อนและจุดแข็งมากน้อยแตกต่าง เป็นส่วนผสมโดยรวมที่ไม่เหมือนกัน คน Man ปุถุชนที่ยังไม่ได้ฝึกจะไม่ต่างจากสัตว์ คน Man ที่ได้รับการฝึกยกระดับจิตใจให้เป็นสัตว์ประเสริฐได้เป็นมนุษย์ผู้มีศีล Human ที่จิตสงบมีศักยภาพสามารถค้นคว้าสร้างสรรชีวิตที่ดีกว่าด้วยการฝึกอุปนิสัยประสบการณ์ต่างๆ พัฒนาจนเป็นอัธยาศัยที่ดี รวมกันเป็นรูปแบบ package:Spirit&Design ประจำตัวเรา เปรียบคนเป็นควอนตัมคอมพิวเตอร์มีชีวิต ที่จิตเมื่อยกระดับจิตใจให้สามารถปรับความถี่ (tune) เพื่อจะอ่าน (Sync) ความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของคนที่เผชิญ ได้เหมือนการรับรู้ความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง เราทุกคนมีความพิเศษที่คนอื่นๆไม่มี เป็นความชอบและแนวปฏิบัติ Spirit&Design เฉพาะตัว เพราะแต่ละคนถูกหล่อหลอมขึ้นมาต่างกัน โดยส่วนใหญ่เป็นอิทธิพลของสิ่งล้อมรอบตัวเราตั้งแต่เป็นทารกจนโตขึ้นเป็นหนุ่มสาว สังเกตว่าขนาดหัวผู้ใหญ่จะโตขึ้นกว่าตอนเป็นทารกประมาณ 2 เท่า โดยสมองส่วนที่ขยายขึ้นนั้นได้เก็บข้อมูลของจิตสำนึกที่ผ่านประสบการณ์นิสัยต่างๆ ฝึกจากอุปนิสัยจนเป็นอัธยาศัยต่างรวมกันรูปแบบ package : Spirit & Design เฉพาะตัว เพื่อใช้ทำอาชีพที่เราทำแล้วรู้สึกดี แต่ละคนล้วนเกิดมาเพื่อจะเป็นอะไรบางอย่าง ซึ่งตัวเองแต่ละคนเท่านั้นที่จะรู้ได้ เพราะเมื่อเราเดินไปถูกทาง มันจะอยากทำอย่างไม่มีข้อขัดแย้งในใจ มันจะไหลลื่นไป เหมือนได้ปลุกพลังจิตที่หลับอยู่ให้ตื่นขึ้นมา ดังนั้น แทนที่เราจะพยายามทำตัวให้เหมือนคนอื่นหรือทำตัวตามอย่างที่สังคมคาดหวัง เราควรจะค้นหาทางชีวิตของตัวเองให้พบ แล้วเดินไปตามทางของตัวเอง เพื่อให้เราได้มีโอกาสแบ่งปันความพิเศษของตัวเราให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม พร้อมกับเราก็มีความสุขที่ได้เป็นตัวของตัวเอง ได้ทำงานที่เราหลงใหล ซึ่งเราจะรู้สึกว่าตัวเรามีคุณค่า เพราะกำลังทำอะไรที่พิเศษฝากไว้ในโลก เป็นกล่องมหาสมบัติที่ตัวเราคนเดียวมีลูกกุญแจที่สามารถไขเปิดกล่องมหาสมบัตินี้ให้โลกได้รับในสิ่งที่เราเป็นคนแกะสะลักด้วยจุดมุ่งหมายที่ดี เป็นนวัตกรรมที่มีคุณค่าตามแบบเฉพาะของเรา สำหรับผู้ไม่ย่อท้อแล้ว ช่องทางและโอกาสย่อมมีเสมอ แม้ว่าคนแรกเกิดมาแล้วเติบโตจนรู้ความจะยังไม่มีลักษณะเด่นที่แตกต่างกันมากนัก แต่เมื่อเกิดประสบการณ์ชีวิต จะสามารถแยกออกว่ามีลักษณะโดดเด่นควรจะพัฒนาตัวเองเพิ่มเติมไปทางไหน ซึ่งเราจะต้องปรับปรุงทั้งกายและใจ ให้เข้าถึงสติสุจริตของการ"ปฏิบัติเป็นธรรม" เพื่อสามารถดำเนินชีวิตที่ดีด้วยเชาวน์ปัญญา โดยสอดคล้องกับบริบทธรรมชาติที่แวดล้อม แบบ คิด พูด ทำ อย่างเป็น “ธรรม” ไม่มีใครบอกเราได้ว่าเราควรทำงานแบบไหน เราต้องปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นเป็นผู้มีมานะเพื่อก้าวสู่ความสำเร็จตามแบบของเราเอง ไม่ไปทำแข่งกับผู้ที่สำเร็จอยู่แล้วในปัจจุบัน แต่จะหาช่องทางเป็นโอกาสใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ที่เราไม่เสียเปรียบในการแข่งขัน และมีเวลาใช้พัฒนาพาตัวเราไปพบความสำเร็จ ราวกับลูกธนูที่ถูกขับออกจากคันศร ด้วยความเร็วที่พอดี ยิงไปถูกเป้าบินที่เป็นเป้าหมายในใจ ถ้าเราอยู่ในสังคมที่ชอบธรรม คนจะเห็นคนอื่นเป็นคนที่มีคุณค่าด้วยความสามารถตามแต่ความถนัดเฉพาะของแต่ละคนคนจะทำหน้าที่เพื่อหน้าที่และภูมิใจผลงานที่ได้พยายามค้นคว้าแสวงหามาได้ แต่ ในโลกปัจจุบัน ที่มีความเหลื่อมล้ำสูง มีคนส่วนน้อยได้เปรียบและคนส่วนใหญ่เสียเปรียบเพราะถูกกดทับจากระบบอุปถัมภ์ ทำให้คนเห็นคนไม่เท่ากันด้วยมีหลายมาตรฐาน จึงไม่ใช่ความบังเอิญที่การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ผ่านมา แต่ความเหลื่อมล้ำมีแต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ หรือว่ามีคนได้ประโยชน์จากความเหลื่อมล้ำที่กดให้คนส่วนใหญ่ที่เสียเปรียบมัวยุ่งอยู่กับความคิดที่ว่าพรุ่งนี้จะมีกินหรือเปล่า จึงไม่ว่างที่จะลุกขึ้นมาเรียกร้องโอกาสที่เท่าเทียม เพราะเผด็จการที่เสพติดความได้เปรียบพยายามรักษากลไกความได้เปรียบเอาไว้ โดย อ้างข้อเท็จจริงว่าคนไม่เท่ากันเพราะคนขยันย่อมอยากได้ส่วนแบ่งมากกว่าคนขี้เกียจ จะให้คนมีปัจจัยต่าง ๆ เท่ากันนั้นเป็นไปไม่ได้ การอ้างเช่นนั้น แท้จริงเป็นการเบี่ยงประเด็น เพราะธรรมชาติไม่แบ่งแยกผู้คน ทุกคนแรกเกิดมาไร้เดียงสา ไม่มีใครเอาอะไรมาด้วยและเมื่อตายไปก็ไม่มีใครได้อะไรไป คนที่แบ่งแยกผู้คนนั้นเหมือนตำหนิธรรมชาติ พระพุทธองค์เคารพนับถือสัจจะธรรมคืออนัตตาและอนิจจังซึ่งเป็นความจริงตามธรรมชาติ แม้พุทธศาสนาเปรียบคนแบ่งเป็นบัวสี่เหล่า แต่บัวทุกเหล่าล้วนได้รับโอกาสพัฒนาตัวเอง ด้วย 70% ของชะตาชีวิตคนต้องฝ่าฟันไปด้วยตัวเอง และธรรมชาติให้โอกาสที่อย่างเท่าเทียมคือคนสามารถพัฒนาไปทางสูงที่สุดหรือต่ำที่สุดก็ได้ ความเท่าเทียมที่แท้จริงคือโอกาสตามธรรมชาติ free will or Robot แต่ ในระบอบที่ชอบธรรมเท่านั้นที่ให้โอกาสทุกคน มีอิสระในการเลือก Free will ได้เป็นตัวเอง ส่วนระบอบเผด็จการ จะสะกดให้คนเป็นเหมือนหุ่นยนต์ Robot โดยระบอบเผด็จการคนดีที่บริหารเพื่อประชาชนจะสามารถทำสิ่งดีดีเพื่อประชาชนได้อย่างเร็วทันใจ แต่จะไม่ยั่งยืน เพราะยึดติดตัวบุคคลแต่ต้องอยู่ในโลกอนิจจัง คนดีนั้นมีเสื่อม หรือตายได้ เมื่อเปลี่ยนคนใหม่ขึ้นมาแทนอาจเป็นคนไม่ดีก็ได้ จึงเหมือนเปลี่ยนเป็นระบอบเผด็จการทรราช ซึ่งจะสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างสุดขีด ต่างจากระบอบที่ชอบธรรม แม้เลือกคนผิดมาเป็นผู้นำ เช่น อเมริกาได้เลือกได้ผู้นำเผด็จการแต่เมื่อบริหารครบสี่ปีประชาชนก็ช่วยกันเลือกเอาผู้นำอย่าง Joe Biden ที่ทำให้อเมริกาออกจากเผด็จการกลับเข้าสู่แนวทางเดิม America is back. แสดงว่าระบอบที่ชอบธรรมสามารถปรับตัวเองฝ่าธรรมชาติของโลกอนิจจังไปได้อย่างยั่งยืน แต่ระบอบเผด็จการคนดีเมื่อเผชิญอนิจจัง จะติดกับดักระบอบที่ไม่ยั่งยืนไม่สามารถแก้ไขได้โดยสันติ คนที่โชคดีเกิดมาได้ Free will ประมาณว่าได้ทางชีวิตเป็นถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ซึ่งก็ยังต้องระวังไม่ไล้ำช่องทางของคนอื่นเขา อีกทั้งยังต้องระวังทางโค้งต่าง ๆ เพื่อไม่หลุดโค้งไปนอนอยู่ข้างทาง คนที่โชคร้ายเกิดมาถูกสะกดให้เป็นหุ่นยนต์ Robot ประมาณว่าได้ทางชีวิตเป็นถนนขรุขระ เป็นหลุมบ่อไปตลอดทาง ไม่ว่าจะใช้รถดีอย่างไรหรือทนขนาดไหน รถก็พังเพราะวิ่งบนสภาพถนนที่เลวร้าย คนที่มีรถคุณภาพดี สามารถเลือกอพยพไปอยู่ที่อื่นเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ส่วนคนที่ไปไม่ได้จึงต้องก้มหน้าทำงานที่ถูกกดทับทางใจแต่ก็ต้องฝืนทำเพื่อเอาชีวิตตัวเองและครอบครัวให้รอด Way of life. การจะมีทางชีวิตที่ดีได้นั้น ต้องอยู่บนระบอบที่ดีเพื่อรถยนต์ชีวิตได้วิ่งบนถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ให้แต่ละคนได้เป็นตัวเอง ได้ปลดปล่อยศักยภาพของตัวเองแบบสุดขีด เพราะคนมีโอกาสเท่าเทียม ที่คนสามารถตามความฝันไปได้ไกลที่สุดด้วยศักยภาพของตัวเอง ความเท่าเทียมคือโอกาสที่ไม่ปิดกั้นใคร ทุกคนสามารถทำฝันให้เป็นจริง เช่น ล่าสุดการมีรองประธานาธิบดีหญิงผิวสีของสหรัฐฯ เป็นการส่งสัญญาณให้เด็กผู้หญิงสามารถฝันไปได้ไกลที่สุดด้วยศักยภาพของตัวเอง