16 ก.พ. 2020 เวลา 01:08
ความลับเรื่องสุขภาพ 5 (บทสรุป)
การสอนให้คนแก้ไขปัญหาเรื่องสุขภาพนั้น ความจริงแล้วเป็นการเปลี่ยนวิธีคิด ( Mindset) เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้ได้อย่างยั่งยืน สิ่งที่เกิดในร่างกาย เรามองไม่เห็นเอง จึงต้องอาศัยความเชื่อ ซี่งขึ้นอยู่กับความคิดเราว่าทฤษฎีไหนน่าเชื่อที่สุด ดังนั้น สำหรับแนวทางนี้ ขอสรุปว่า การป้องกันสุขภาพที่ได้ผลจริงๆ เหลือเพียง2-3 วิธีหลักๆเท่านั้น คือ
1 การออกกำลังกาย โดยทำได้ผ่านระบบกระดูกเท่านั้น ส่วนระบบอื่นๆนั้นทำงานแบบคงที่ จนดูคล้ายทำงานโดยอัตโนมัติ จนแทบไม่มีช่องทางเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้เลย แล้วยังอาจมีความเสี่ยงจากการไปเปลี่ยนงานของอวัยวะเหล่านี้ด้วย แต่วิธีนี้จะได้ผลดี ยังต้องเข้าใจหลักการหรือจุดประสงค์ของการออกกำลังกายก่อน มิฉะนั้น จะกลายเป็นไปเพิ่มโอกาสกระดูกเสื่อมได้
2 อาหาร ถ้ามองอวัยวะที่เหลือ(ยกเว้นกระดูก)เป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน ในระบบพลังงานแล้ว จะเห็นวงจรที่มีการเติมและใช้พลังงานโดยผ่านหลอดเลือดไปทั่วร่างกาย ดังนั้น สิ่งที่เราพอทำได้ในแง่การป้องกันวงจรนี้ คือ ควบคุมการเติมพลังงานเท่านั้น นั่นคือต้องคุมอาหารทั้งปริมาณและชนิดที่กิน ซึ่งความรู้ด้านนี้มีการแนะนำไว้เยอะแล้วจึงไม่ขอกล่าวอีก
3 ใช้พลังที่เกิดจากการทำสมาธิ พลังจิตเป็นอีกสิ่งที่พิสูจน์ยาก แต่มีงานวิจัยหลายแห่งเชื่อว่าทำให้สุขภาพดีได้ แต่ผมคงไม่มีความรู้ลึกซึ้งในเรื่องนี้ ถ้าพยายามอธิบายด้วยระบบพลังงาน พลังจิตเป็นพลังส่วนหนึ่งที่สมองสร้างขึ้นเพื่อควบคุมจิตใจ คล้ายพลังงานระบบสั่งการที่ควบคุมร่างกาย ถ้าฝึกพลังจิตเข้มข้นมากพอ จะคุมมาบังคับไช้กับระบบสั่งการที่คุมร่างกายได้ด้วย
นอกจาก3อย่างนี้แล้ว ไม่มีอะไรที่ช่วยป้องกันสุขภาพได้เลย โดยเฉพาะอาหารเสริม,สมุนไพรที่กินผ่านปาก ร่างกายจะเข้าใจว่าเป็นการเติมพลังงานรูปแบบหนึ่งเท่านั้น เพราะทุกอย่างที่กินจะถูกย่อยสลายจนไม่มีคุณสมบัติเดิมเหลือไว้เลย ไม่ว่าสื่งนั้นเราเชื่อเองว่ามีประโยชน์หรือมีโทษ รวมทั้งcholesterol ที่เรากลัวจะไปเกาะผนังหลอดเลือดก็ไม่ได้มาจากอาหารที่กิน
สมัยโบราณมีคำกล่าวว่า ร่างกายก็คือเลือดเนื้อของเรา น่าเป็นคำสรุปที่ใกล้ความจริงที่สุด เลือดคือวงจรพลังงานส่วนล่าง ที่นำพลังงานจากอาหารไปให้ทุกเซลล์ใช้ ส่วนเนื้อก็คือระบบโครงสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อ ที่คอยสนับสนุนและป้องกันภัย ถ้าผู้คุมกันเกิดป่วยเสียเอง ร่างกายก็คงเกิดภัยอันตรายกับวงจรพลังงานได้ การป้องกันสุขภาพจึงต้องเริ่มที่ป้องกันกระดูกเสื่อมก่อน
กับดักความรู้เรื่องสุขภาพลำดับที่ 4 คือ วิธีป้องกันกระดูกเสื่อมทำอย่างไร? ในร่างกายเรามีกระดูกถึง206 ชิ้น ถ้าต้องดูแลหมดทุกชิ้น คงทำไม่ได้ แต่ถ้าแบ่งกระดูกเป็น2แบบ คือกระดูกแกนกับกระดูกรยางค์ ก็จะเหลือกระดูกแกนเพียง80ชิ้นเท่านั้น ในจำนวนนี้ มีกระดูกแกนที่ห่อหุ้มประสาทไขสันหลังไว้เพียง 26 ชิ้น เป้าหมายในการป้องกันจึงอยู่ที่กระดูกทั้ง26 ชิ้นนี้
งานของกระดูกคือการสู้กับแรง เพื่อคงสภาพร่างกายไว้ ลองนึกถึงร่างที่ถูกรถสิบล้อหรือรถไฟทับ คงทำงานตามปกติไม่ได้ แต่ภาวะกระดูกเสื่อมต่างออกไปเพราะเกิดแบบช้าๆและเรื้อรังใช้เวลานาน ด้วยปริมาณแรงที่น้อยแต่เกิดบ่อยๆ แรงนี้ซ่อนอยู่ในตัวและเกิดจากชีวิตประจำวัน จึงทำร้ายเราได้วันละหลายๆขั่วโมง แต่เราไม่เข้าใจแรงนี้ จึงทำให้ป้องกันไม่เป็น
กระดูกเสื่อมเกิดจากแรงซึ่งมีทั้งปริมาณและทิศทาง(เวคเตอร์) การป้องกันจึงมีแค่สองเรื่องนี้เท่านั้น ปริมาณเกิดจากนำ้หนักตัวเกิน ยิ่งอ้วนยิ่งเสื่อมมาก ทุกคนเข้าใจดี แต่เรื่องทิศทางของแรงอาจไม่ค่อยเข้าใจ ให้คิดว่าแรงคือนำ้ที่ไหล่บ่าลงมา ร่างกายคือท่อที่ให้น้ำไหลผ่าน ถ้าท่อตรง น้ำจะไหลลงพื้น โดยไม่กระแทกส่วนใดเลย เป็นเพียงทางผ่าน แต่ถ้าท่อเกิดงอที่ตรงไหน นำ้ก็จะกระแทกตรงนั้นทุกวันจนสึกได้
ร่างกายทำงานแบบใข้ไปซ่อมไป เวลาที่เราต้องทำให้กระดูกสันหลังทั้ง26 ชิ้นยืดตรง (แต่ไม่ใช่ตั้งตรงแบบเสาไฟฟ้า) ก็จำเป็นต้องทำให้นานมากพอ ตามทฤษฎีแล้ว ในคนสูงอายุต้องทำไม่น้อยกว่า12ชั่วโมงต่อวัน ในยุคโลกาภิวัฒน์ที่โลกแข่งขันทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง การนั่งทำงานล่วงเวลาถือเป็นเรื่องปกติ กลับยิ่งเพิ่มโอกาสทำผิดแล้วทำร้ายกระดูกมากขึ้นไปด้วย
มีคำพูดที่ทำให้เราเข้าใจสุขภาพกับเศรษฐกิจได้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งกล่าวไว้ว่ามนุษย์เป็นสัตว์โลกชนิดเดียวที่ยอมเอาสุขภาพเพื่อไปแลกกับเงิน เมื่อได้เงินแล้วก็เอากลับมาซื้อสุขภาพใหม่ การป้องกันสุขภาพที่แท้จริงจึงไม่ใช่มาเริ่มทำทีหลัง แต่ต้องทำควบคู่ไปพร้อมๆกับการทำงานด้วย
ปัญหาที่ต้องก้าวข้ามให้ได้ เพื่อทำให้การป้องกันสุขภาพได้ผลจริงๆมีอยู่ 2 เรื่องเท่านั้น หนึ่ง ทำอย่างไรจึงยืดกระดูกสันหลังให้ตั้งตรงตามธรรมชาติได้มากที่สุด สองทำอย่างให้การยืดกระดูกได้ครบ 12 ชั่วโมงในแต่ละวัน
การยืดตัวเพื่อให้กระดูกสันหลังตรงเป็นเรื่องเข้าใจยาก และเป็นหัวใจสำคัญสุดของการป้องกันสุขถาพ ลองดูที่ภาพกระดูกสันหลัง จะเห็นว่ามันโค้งไปมาเหมือนแส้ การทำให้แส้ตรงจึงเข้าใจยาก แล้วยังต้องทำแทรกเข้าไปในชีวิตประจำวันด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งงงใหญ่
แต่ถ้าเราลองแบ่งทุกๆอย่างที่เราทำในชีวิตประจำวัน ตามท่าทาง ก็จะเหลือเพียง 3ท่า เท่านั้น ท่ายืน(รวมทั้งการออกกำลังกาย)ทำง่ายสุด ให้ยืนพิงกำแพง ส้นชิด หลังชิดและหัวชิดกำแพง แขม่วท้องพร้อมกับดึงหน้าอกขึ้น สังเกตุว่าตัวสูงขึ้นแต่หลังยังติดกำแพงอยู่ บางคนที่ทำผิดจะเป็นการแอ่นอก ทำให้เกิดช่องห่างจากหลังกับกำแพงทันที (อ่านบทที่2ในเพจนี้เพิ่ม)
สอง ท่านั่ง ต้องเริ่มดูที่ก้น ลักษณะของก้นจะโค้งมน ถ้าเบาะนั่งบุ๋มเป็นแอ่ง ก้นก็จะจมแบบม้วนตัวลงไป ไม่ใช่ลดระดับแบบลิฟท์ทำให้หลังงอ วิธีแก้จึงต้องทำเบาะหนุนด้านหลังให้สูงขึ้น เพื่อดันกระดูกก้นกบให้ตั้งตรงขึ้นก่อน เวลายืดตัว(ทำเหมือนตอนยืน)ในท่านั่ง ก็จะได้ทิศทางที่ถูกต้อง
วิธีสังเกตูว่านั่งแล้วตัวตรงจริงๆ ให้เริ่มสังเกตก้นและต้นขาที่นั่งในแนวนอน ก้นกบจะอยู่สุงกว่าหัวเข่าเล็กน้อยเสมอ แต่ในแนวดิ่ง แนวของก้นกบจะตรงกับกระหม่อม(ส่วนสูงสุดของศีรษะ) จากนั้นต้องดึงตัวขึ้นในแนวตั้งฉากตลอด ตัวจะสูงที่สุด ถ้าสูงกว่านี้ก้นจะเริ่มลอยจากเก้าอี้ ถ้าท่านั่งแบบนี้แล้วทำงานไม่ได้ เพราะตัวสูงขึ้นจนมองไม่เห็นงานที่ทำ ก็ต้องหากล่องหรือหนังสือมารอง ยกให้งานที่กำลังทำให้สูงขึ้นตามไปด้วย
สาม ท่านอน ขึ้นกับหมอนที่ใช้หนุนหัว ต้องเลือกให้ถูกกับท่านอน (นอนหงายหมอนเตี้ย นอนตะแคงหมอนสูง รายละเอียดอยู่ในบทแรก) การนอนทั้ง2ท่า ต้องใช้หมอน2ใบ ซึ่งการเปลี่ยนหมอนตอนเปลี่ยนท่านอนนั้น เป็นเรื่องยาก ต้องอาศัยเวลา แต่ถ้าฝึกไปเรื่อยๆก็ทำได้ เพราะร่างกายปรับตัวเก่ง
การนอนตัวตรงได้ทั้งคืน ก็เปรียบเสมือนเรานอนแล้วออกกำลังเพื่อสุขภาพไปด้วย ที่พูดเช่นนี้ได้ เพราะใช้หลักการเดียวกัน เรื่องยืดกระดูกสันหลังให้ตรงเหมือนกันทั้ง2ท่า ซึ่งไปตอบรับหลักการป้องกันสุขภาพเรื่องที่2พอดี คือ ถ้ารวมเวลานอนแล้วยืดตัวเหมือนออกกำลังกายไปด้วย โอกาสทำได้สำเร็จ เทียบเท่าออกกำลังได้ 12 ชั่วโมงต่อวัน ก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
ทั้งหมดที่พอสรุปได้ มีเพียงแค่นี้ จะขาดในเรื่องรายละเอียดบ้าง เพราะปัญหาบางอย่าง จะเข้าใจก็ต่อเมื่อได้ลงมือทำจริงๆแล้วเท่านั้น การพูดล่วงหน้าก่อน นอกจากไม่เข้าใจแล้ว ยังทำให้เกิดความสับสนมากขึ้น จึงขอจบซีรีย์ไว้เพียงแค่นี้นะครับ ถ้ายังไม่เข้าใจ ทำแล้วลองกลับไปอ่านบทเก่าๆดู หรือสอบถามมาก็ได้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา