17 พ.ค. 2020 เวลา 22:55 • ไลฟ์สไตล์
เรื่องเล่าสมัยชุบตัว ป โท
จริงๆ ตอนเรียน ป.ตรี ก็เกเรมาครบทุกแบบ (สายดาร์กคนนึงเลย) และเป็นยุคที่มีการสอบเทียบเป็นปีสุดท้าย (รู้เลยว่าตอนนี้อายุใกล้ 40 รูปภาพผ่านโปรแกรมเรียบร้อย) และตอนเลือกสาขาเรียนตรีก็เลือกเพราะชื่อเท่ดี ตอนเรียนก็เกเรกระจาย ปีแรก ก็ติด F แต่ละวิชากว่าจะผ่าน ก็ WWW กระจาย จบตรีมาได้แบบ งง งง แบบไม่รู้จักตัวเองเลย (ตอนจบอายุยังไม่ถึง 20) พอดีช่วงนั้นเข้าสู่โลกเกมส์ออนไลน์ จึงมีรายได้ เลยตัดสินใจไม่ทำอะไรเลย 1 ปี (พักผ่อน ท่องเที่ยว เล่นเกมส์) เพราะตอนนั้นก็สามารถดูแลตัวเองได้
จุดเปลี่ยนคือคุณเคยรู้สึกไหมบางทีชีวิตที่ได้ดั่งใจในสไตล์ชีวิตจนอายุใกล้ 20 (หาเงินได้ 3 - 5 หมื่นต่อเดือนใช้เอง) แต่เวลาพ่อแม่ญาติไปเจอกลุ่มเพื่อน หรือคุยกับเพื่อนๆ ในยุคนั้น การบอกว่าลูกไม่ได้ทำงานประจำ แต่หาเงินจากการเล่นเกมส์ ในยุคนั้นก็เป็นอะไรที่พูดยาก เพราะมันดูเป็นงานที่ไม่มั่นคง บวกกับจังหวะที่ผมเสียคุณยายโดยที่ช่วงหาเงินจากเกมส์ผมก็เจอท่าน เดินผ่านทุกวัน แต่ผมก็ไม่ได้ใช้เวลากับท่านเท่าที่ควรจนเสียท่านไป (รู้สึกผิดในใจ..ไม่เวิ้นเว่อละ เข้าสาระ)
ผมจึงเริ่มคิดว่าต้องชุบตัวละ (ตอนตรีช่างมัน) แล้วเกรดถ้าน้อยขนาดนี้แล้วจบทางวิทยาศาสตร์มาจะต่อโทอะไรดี (เกรดก็ไม่ดี วิชาก็ไม่ชอบ) เลยคิดถึงก่อนว่าทำงานอะไรดีหนอจะตกงานยาก ก็เลยคิดถึงงาน HR (เพราะมีทุกองค์กร) ก็ไปหาว่ามีที่เรียนโทที่ไหน ที่เด่นด้านนี้ แบบอาจารย์จบตรงจากกูรูด้าน HR ต่างประเทศ ก็ไปเจอของสถาบันที่จบโทมา ซึ่งเป็นสถาบันที่ให้โอกาสคนมาก เพราะถึงจบตรีอะไรมา ถ้ามั่นใจสอบข้อเขียนได้ และได้ภาษาอังกฤษ ก็เข้าได้เลย ตอนนั้นก็มั่นใจมาก รู้ปุ๊ปอีก 2 สัปดาห์สอบเลย ความรู้ด้าน HR ผ่าน แต่ความรู้ ภาษาอังกฤษ ต้องการ 450 สอบได้ 300 ต้นๆ ก็พลาดไปชีวิตไม่ง่ายอย่างนั้น
ช่วงที่ว่างรอสอบใหม่ ก็ไปเรียนภาษาอังกฤษ ไปเลือกที่เรียนที่สามารถไปดู VDO กี่รอบก็ได้ ช่วงนั้น ไปทุกวันครับ ทั้งเรียนทั้งดู VDO ย้อนมันทุกวัน ไม่อายครับ ไปนั่งฟังเรื่องเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา 3 เดือน ฟังเสียงศัพท์อังกฤษวนไปมาทุกวัน เข้าอ่านแต่ WEB อังกฤษ ผ่านไป พอกลับมาสอบใหม่ ได้ 640 ครับ <<< แต่ปัจจุบันเชื่อว่าสอบก็ไม่ถึง 400 เหมือนเดิม เพราะช่วงนั้นเป็นการเรียนแบบเด็กจำไปเพื่อสอบครับ
เมื่อข้อเขียนผ่านหมดแล้วก็เข้าสู่การสัมภาษณ์ ช่วงรอสัมภาษณ์ คนอื่นๆ ที่มาสัมภาษณ์มีแต่เกรดดีๆ เด็กทุนมา หรือแบบคนทำงานองค์กรส่งมาให้ลาเรียน ประสบการณ์ตำแหน่ง HR ตรงมาหมดเลย ผู้บริหารก็มา พอดีผมเลือกเรียนภาคปกติด้วย ก็ดูจากสภาพและคู่แข่งแล้ว ดูจากโควต้ารับไม่น่ารอด สิ่งที่ผมทำในช่วงสัมภาษณ์จึงต่างกับคนอื่น ว่าจะเอาจุดอ่อนมาใช้อย่างไร สิ่งที่ผมทำคือ..
ผมบอก อ. ผู้สัมภาษณ์ว่า อ. เห็นเกรด ป.ตรี ผมไหม เห็นผลสอบภาษาอังกฤษครั้งแรก และเห็นช่วงที่ผมเปลี่ยนแปลงจนสอบภาษาอังกฤษได้คะแนนดีขึ้นไหม อ. ว่า คณะนี้ที่เชื่อในศักยภาพการเปลี่ยนแปลงของคน ตัวผมพิสูจน์ให้ อ. เห็นว่าผมเป็นคนที่พัฒนาได้ในเวลาอันสั้น ดังนั้น อ. ควรเลือกรับผม เพราะถ้าผมจบได้และเก่งขึ้น ดีขึ้น ทำประโยชน์ให้คนอื่นได้ ส่วนหนึ่งต้องมาจากผม แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นความสามารถการสอน แนะนำของอาจารย์ ซึ่งต่างกับการรับคนเก่งที่สมบูรณ์เกือบทุกอย่างอยู่แล้ว อาจารย์ว่าข้อเสนอผมน่าสนใจไหมครับ ที่ผมจะเป็นส่วนหนึ่งของผลงาน อ. ที่สอนคน ให้ดีขึ้น เก่งขึ้นได้??
1
สุดท้ายผมก็ได้เข้าเรียนภาคปกติ โดยเป็นคนที่เกรดตอน ป ตรี น้อยที่สุด และจริงๆ ก็แทบไม่มีพื้นฐานความรู้และงานทาง HR เลยครับ สมัยปโท ผมเหมือนเรียนฟรี เพราะ กับอ.คนที่สัมภาษณ์ ผมสมัครเป็นผู้ช่วยอาจารย์ และผู้ช่วยวิจัย ซึ่งมีเงินเดือน เสมือนเรียนฟรีจนจบ และช่วงจะจบจริงๆ ก่อนจบพอได้มีโอกาสร่วมงานกับอาจารย์ เลยมีหลายที่ที่ อ.เป็นที่ปรึกษาอยากได้ผมไปทำงานด้วย (จิงๆ เขาไม่ได้ปลื้มในตัวผมหรอก ความรู้หางติ่งมาก แต่เขารู้ว่าถ้าผมเกิดมีปัญหา ผมสามารถกลับไปปรึกษาอาจารย์ได้) จบการชุบตัวเกรดสวยน่ารัก เรียน 2 ปี จบเกรดเกิน 3.6 (จริงๆ บทเรียนตอนจบตรี มีเยอะมากมายเหล่าวิชาการใช้ชีวิตที่ไม่สอนในห้องเรียน จริงๆ) ไว้มาเล่าเพิ่มเติมพรุ่งนี้ว่าสมัยสัมภาษณ์เข้างานนอกจากประเด็นตรงนี้แล้วผมเอาประเด็นอะไรไปเสนอผู้สัมภาษณ์งาน
ผมเล่าผ่านประสบการณ์ตรง ผมรู้ว่าบางสิ่งไม่ถูกต้องไม่ดีทั้งหมด (ผมมี Ego ในแต่ละช่วงอายุเยอะประมาณนึงเลย) แต่ในประสบการณ์ก็มีบทเรียนเล็ก น้อยๆตัวอย่างที่ทำได้จริง ผลลัพธ์คือตัวผมที่ได้มาเล่าในบทความนี้นี้เอง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา