12 มิ.ย. 2020 เวลา 05:00 • ประวัติศาสตร์
ศัตรูยังซูฮก! เบื้องหลังชีวิตของ 'เออร์วิน รอมเมล' สุภาพบุรุษนักรบแห่งเยอรมนี
WIKIPEDIA PD
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
หากพูดถึง จอมพล เออร์วิน รอมเมล กล่าวได้ว่าเขาคือแม่ทัพของฝ่ายเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ได้รับการยอมรับจากฝ่ายศัตรู โดยนายกรัฐมนตรีแห่งอังกฤษในขณะนั้นอย่าง วินสตัน เชอร์ชิลล์ ได้เคยกล่าวว่า ‘เขาคือคนที่กล้าหาญ ศัตรูที่มีฝีมือ แม่ทัพที่เก่งกาจ และเขายังเป็นพ่อ เป็นสามี และเป็นสุภาพบุรุษที่ต้องต่อสู้กับความยากลำบากและความเคลือบแคลงใจในช่วงเวลาที่ยากที่สุด’
และนี่คือเกร็ดสาระน่ารู้ที่ใครหลายคนอาจยังไม่เคยรู้เกี่ยวกับ เออร์วิน รอมเมล สุภาพบุรุษยอดนักรบเพียงไม่กี่คนของเยอรมนี ที่ได้รับการยกย่องจากฝ่ายสัมพันธมิตร
WIKIPEDIA PD
1. ในช่วงวัยเด็ก รอมเมลมีความฝันอยากเป็นวิศวกรการบิน แต่พ่อของเขาอยากให้เขาเป็นทหาร ด้วยเหตุนี้ รอมเมลจึงเข้าร่วมหน่วยวิศวกรและหน่วยปืนใหญ่ แต่ถูกปฏิเสธกลับมา ภายหลังเขาจึงเข้าร่วมหน่วยทหารราบแทน
2. หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อย ในรายงานครั้งสุดท้ายที่เขียนโดยผู้บังคับบัญชาของรอมเมล ได้กล่าวยกย่องเขาไว้อย่างสูงว่า ‘บุคลิกที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้าและมีความกระตือรือร้นสูง มีระเบียบวินัย เป็นเพื่อนที่ดี มีความรับผิดชอบอย่างเข้มงวด เป็นทหารที่มีประโยชน์’
1
3. รอมเมล เคยร่วมรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และเขาได้แสดงความสามารถออกมาในสมรภูมิที่โรมาเนีย อิตาลี และแนวรบด้านตะวันตก โดยเขาได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบสามครั้ง ที่ต้นขา แขนซ้าย และหัวไหล่
4. จากวีรกรรมอันกล้าหาญของรอมเมลในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทำให้เขาได้รับเกียรติสูงสุดของกองทัพเยอรมนี เป็นเหรียญกล้าหาญ ‘The Pour le Merite’ ก่อนที่สงครามจะยุติลงในปี 1917 จากวีรกรรมอันห้าวหาญในการรบที่คาโปเรตโต้ ที่รอมเมลได้นำทหารเยอรมนีโจมตีกองทัพอิตาลีจนได้รับชัยชนะอย่างงดงาม กล่าวกันว่ารอมเมลมีความภูมิใจในเหรียญกล้าหาญ ‘The Pour le Merite’ เป็นอย่างมาก และส่วมใสมันตลอดเวลาจนสิ้นอายุขัย
WIKIPEDIA CC BUNDERSARCHIV
5. ในปี 1937 อดอลฟ์ ฮิตเลอร์ ประทับใจในความแข็งแกร่งของกองทหารราบเยอรมนี และได้แต่งตั้งให้รอมเมลเป็นผู้ประสานงานระหว่างกองทัพเยอรมนีและยุวชนฮิตเลอร์ ที่เป็นองค์รักษ์ส่วนตัวของเขาในช่วงการรุกรานโปแลนด์ในปี 1939 ก่อนที่จะแต่งตั้งให้รอมเมลเป็นผู้บัญชาการกองร้อยยานเกราะแพนเซอร์ในปี 1940
6. ในช่วงการรุกรานฝรั่งเศส กองกำลังของรอมเมลได้มีโอกาสสู้รบกับกองทัพอังกฤษเป็นครั้งแรกที่เมืองอารัส ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส โดยกองทัพที่รอมเมลพบ เป็นกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรที่แอบดักซุ่มเพื่อโจมตีกองทัพของเยอรมนี ในตอนนั้นเอง ที่รอมเมลเกือบเอาชีวิตไม่รอด เพราะกองทัพอังกฤษตั้งใจโจมตีตรงตำแหน่งที่รอมเมลอยู่
7. ในช่วงการรุกรานฝรั่งเศส รอมเมลและกองร้อยยานเกราะแพนเซอร์ของเขาสร้างผลงานเอาไว้มากมายในสนามรบ แค่เพียง 7 วัน และการเดินทางไกลกว่า 321 กิโลเมตร ตั้งแต่ชายแดนฝรั่งเศส-เยอรมนี ไปจนถึงช่องแคบอังกฤษฝรั่งเศส รอมเมลสามารถจับทหารเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรได้มากกว่า 100,000 คน
WIKIPEDIA CC BUNDERSARCHIV
8. แม้สร้างชื่อเสียงจากสมรภูมิรบจนโด่งดัง แต่รอมเมลกลับต้องทนทุกข์ทรมานในอาชีพทหารของเขา โดยเขาได้เขียนไดอารีและเขียนจดหมายระบายความรู้สึกที่มีให้ภรรยาและลูกของเขาอ่าน ไม่ว่าจะเป็นความพ่ายแพ้ในทวีปแอฟริกาเหนือเมื่อปี 1942 ใจความว่า ‘มันจบแล้ว ที่รัก คุณคงนึกออกใช่ไหมว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไง? คนตายคือผู้โชคดี สำหรับพวกเขามันจบแล้ว’
9. ชัยชนะครั้งสุดท้ายของรอมเมลเหนือฝ่ายสัมพันธมิตร ก็คือการที่เขาสามารถขับไล่กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรที่ต้องการจะยึดเมืองก็อง เมืองยุทธศาสตร์สำคัญของฝรั่งเศส ซึ่งในตอนนั้น รอมเมลอยู่ระหว่างการพักฟื้นหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการที่ฝ่ายสัมพันธมิตรโจมตีเครื่องบินที่เขาโดยสารมา
10. ในปี 1944 รอมเมลถูกทาบทามจากนายทหารกลุ่มหนึ่งที่วางแผนลอบสังหารฮิตเลอร์ แต่แผนการดังกล่าวล้มเหลว ภายหลังฮิตเลอร์ได้สั่งให้สืบสวนผู้ร่วมขบวนการ ก็พบว่ามีชื่อของรอมเมลรวมอยู่ด้วย ในตอนนั้น ฮิตเลอร์สั่งประหารชีวิตผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุลอบสังหารไปหลายคน ยกเว้นเพียงแค่รอมเมล ที่ชื่อเสียงและเกียรติยศยังคุ้มครองเขาอยู่ รอมเมลรู้ดีว่าฮิตเลอร์ต้องการอะไร เขาจึงกระทำอัตวินิบาตกรรมเพื่อไม่ให้ครอบครัวที่เขารักต้องเดือดร้อนไปด้วยในวันที่ 14 ตุลาคม 1944
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
โฆษณา