22 มิ.ย. 2020 เวลา 04:30 • ศิลปะ & ออกแบบ
ศิลปะแบบเรอเนซองส์คืออะไร?
WIKIPEDIA PD
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
ศิลปะยุคเรอเนซองส์เหมือนเป็นตัวแทนของความรุ่งเรืองในความเป็นตะวันตกดั่งผลงานชื่อดังอย่างภาพวีนัสของ Botticelli, ภาพผู้ชายของ Da Vinci, รูปพระเจ้าแตะนิ้วอดัมใน Sistine Chapel, Mona Lisa, The Pieta หรือ David แต่เรอเนสซองส์ที่แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่ คำว่า เรอเนสซองส์แปลว่าอะไร แล้วมันงดงามยิ่งใหญ่สมคำร่ำหรือหรือไม่ หาคำตอบได้ในบทความนี้
วีนัสของ Botticelli (WIKIPEDIA PD)
Da Vinci (WIKIPEDIA PD)
พระเจ้าแตะนิ้วอดัม (WIKIPEDIA PD)
Mona Lisa (WIKIPEDIA PD)
The Pieta (WIKIPEDIA CC MICHELANGELO)
David (WIKIPEDIA PD)
เราจะพูดถึงยุคเรอเนสซองส์โดยไม่พูดถึงยุคกลางก็คงไม่ได้ เช่นเดียวกับที่
เราจะไม่มีวันเข้าใจความหมายกว้าง ๆ ของเรอเนสซองส์ได้โดยไม่พูดถึงยุคคลาสสิคที่ฝรั่ง เรียกว่า Classical Antiquity หรือยุคกรีกโรมัน เราแบ่งเป็นช่วงเวลาแบบง่ายๆ ให้เห็นภาพก่อนก็คือ กรีกโรมัน> ยุคกลาง > เรอเนซองส์
Classical Antiquity หรือ ยุคกรีกโรมัน (WIKIPEDIA CC HARRIETA171)
ยุคกลาง (WIKIPEDIA PD)
คำว่า “เรอเนสซองส์” เป็นคำภาษาฝรั่งเศส แปลว่าการเกิดใหม่ ยุคเรอเนสซองส์ ก็หมายถึงยุคแห่งการเกิดใหม่ นั่นเอง คนในยุคที่เราเรียกว่ายุคเรอเนสซองส์นั้น พวกเขาไม่รู้ว่าเขาอยู่ในยุคเรอเนสซองส์ เพราะการตั้งชื่อยุคหรือการสร้าง timeline ของประวัติศาสตร์ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ตีความและให้ชื่อกันในภายหลังทั้งนั้น คำว่ายุคเรอเนสซองส์ก็เช่นกัน เป็นคำที่ถูกคิดขึ้นมาโดย
นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศสเมื่อปี 1858 หรือราว ๆ 400 กว่าปีให้หลัง
Jules Michelet นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส (WIKIPEDIA PD)
ในภาษาไทยเราแปลคำว่ายุคเรอเนซองส์ คือยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ หรือถ้าแปลตรง ๆ จากฝรั่งก็คือยุคเกิดใหม่ทางศิลปะวิทยาการ เกิดใหม่จากอะไร? ก็คือการเกิดใหม่จากยุคกลางที่ถือกันว่าเป็นยุคถดถอยทางความรู้ เป็นยุคมืด เป็นยุคล้าหลัง การเกิดใหม่หมายถึงการกลับไปตามหาความรุ่งเรืองทางสติปัญญาและองค์ความรู้ที่มนุษย์เคยมีในยุคกรีกโรมันนั่นเอง
ถ้าจะบอกให้เห็นภาพก็คือ ยุคกรีกโรมันรุ่งเรืองมาก จากนั้นก็เข้าสู่ยุคกลางหรือยุคมืด และผ่านยุคมืดไปจนได้ แล้วเข้าสู่ยุคเรอเนซองส์หรือยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการนั่นเอง
แต่การแบ่งแบบนี้มันก็ไม่ค่อยจะเป็นธรรมกับยุคกลางสักเท่าไหร่ เพราะยุค
กลางหรือที่เรียกว่า the middle ages กินเวลาเป็นพันปี ตั้งปีคริสต์ศักราชสี่
ร้อยปลายๆ จนถึงพันสี่ร้อย ในเวลาพันปียุคกลางก็มีทั้งเรื่องที่ดีและแย่ปะปนกันไปเช่นกัน
และทั้งหมดนี้คือประวัติศาสตร์ยุโรป แต่เราต้องไม่ลืมว่ายุโรปก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโลก ส่วนอื่นๆ ของโลกไม่ได้อยู่ในยุคกลางหรือยุคมืด แต่ละพื้นที่ก็มีประวัติศาสตร์ของตัวเอง โลกอิสลามในช่วงยุคกลางในยุโรปนั้นเจริญรุ่งเรืองมาก ความรู้ทางด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์ล้ำหน้ากว่ายุโรปไปหลาย
ขุม ในทางอารยธรรมความเป็นอยู่ โลกอิสลามนั้นต้องเรียกว่าก้าวล้ำหน้าไปไกลมาก ในขณะที่เมืองในยุโรปยังใช้แม่น้ำเป็นส้วมหลายเมืองในโลกอิสลามมีน้ำประปา และไฟถนน มีแม้กระทั่งบิวตี้ซาลอนและน้ำยาดับกลิ่นกาย เรียกว่าถ้านำคุณภาพชีวิตของยุโรปไปเทียบกับโลกอิสลามก็ดูจะล้าหลังกว่ามาก
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
WIKIPEDIA PD
WIKIPEDIA PD
ทวีปแอฟริกาก็เช่นกัน การขยายตัวของอารยธรรมอิสลามก็เข้าไปสู่อาฟริกา มีอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองเกิดขึ้นมากมายในแถบซาฮาร่า นอกจากนี้ยังมีการค้าขายกับจีนอีกด้วย
WIKIPEDIA PD
ทางตะวันออกคือ จีน ก็จะมีประวัติศาสตร์มีเรื่องราวของตัวเองไปอีกทางหนึ่งเลย ในหนึ่งพันปีก็มีราชวงศ์เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไ เรื่อย ๆ มีราชวงศ์ถังที่ปกครองประเทศอย่างยาวนานถึง 300 ปี แล้วก็มีช่วงแตกแยกวุ่นวาย เราสามารถอ่านสรุปความเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีนแบบสั้นสุด ๆ ในอารัมภบทของนิยายสามก๊ก
WIKIPEDIA PD
The Leshan Giant Buddha (WIKIPEDIA CC ARIEL STEINER)
อย่างไรก็ตามจีนก็เป็นจีนไป มีความเจริญรุ่งเรืองสลับกับวุ่นวายตกต่ำ และต่อสู้กับพวกชนเผ่านอกกำแพงอยู่ตลอด จนแพ้และถูกมองโกลเข้าปกครองในช่วง ค.ศ. 1200 แล้วราชวงศ์มองโกลก็สร้างความร่ำรวยเจริญรุ่งเรืองให้จีนเพิ่มขึ้นไปอีก
ราชวงศ์หยวน (WIKIPEDIA PD)
ทั้งหมดที่กล่าวมาเพื่อจะบอกว่า ยุคเรอเนสซองส์นี้แม้ว่าจะมีความสำคัญมากแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของประวัติศาสตร์โลก และอีกอย่างหนึ่งก็คือความสำคัญของยุคเรอเนซองส์ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอย่างหนักในหมู่นักประวัติศาสตร์ เพราะถ้าศึกษากันลงไปแบบลึกๆ จะพบว่าปรากฎการณ์เรอเนซองส์ไม่ได้เกิดขึ้นที่อิตาลีเป็นที่แรก เพราะยังมีสิ่งที่เรียกว่า คาโรลินเจียนเรอเนซองส์ ในศตวรรษที่ 8 และ ออตโตเนียนเรอเนซองส์ในศตวรรษที่ 11
คาโรลินเจียนเรอเนซองส์ (WIKIPEDIA PD)
ออตโตเนียนเรอเนซองส์ (WIKIPEDIA PD)
แม้จะมีเรอเนสซองส์หลายยุค แต่หลังจากนี้เราจะมาพูดถึงศิลปะยุคที่เรียกว่า “เรอเนซองส์ในอิตาลี” ที่เกิดในเมืองฟลอเรนซ์และแพร่ขยายออกไป เราจะพูดถึงสภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่ส่งเสริมให้เกิดการเรอเนซองส์ทางศิลปะ ศิลปินดัง ผลงานชิ้นดัง ๆ เพื่อเวลาที่เห็นงานพวกนี้ไม่ว่าจะในสื่อหรือ ของจริงๆ เราจะได้เข้าใจถึงที่มาและดื่มด่ำกับงานศิลปะชิ้นนั้นมากยิ่งขึ้น
ก่อนหน้ายุคเรอเนซองส์ที่เราจะเรียกยุคนั้นว่า“ยุคกลาง” (Medieval) คือช่วงเวลาประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นยุคหลังจากที่อาณาจักรโรมันตะวันตกล่มสลายลงไปแล้ว ระบบระเบียบการปกครองแบบอาณาจักรโรมันล่มสลาย ประชาชนไม่ได้รับ การคุ้มครองจากจักรวรรดิอีกต่อไปจึงจำเป็นต้องหันหน้าเข้าหาเหล่านักรบหรือเจ้าขุนมูลนาย เข้าสู่ยุคศักดินา
เอาแรงงานเข้าแลกกับความคุ้มครองของมูลนายหรือขุนศึก เกิดระบบทาส
ติดที่ดิน ทำงานแลกความคุ้มครองไปจนตาย คุณภาพชีวิตค่อนข้างแย่
ยุคศักดินา (WIKIPEDIA PD)
ระบบทาสติดที่ดิน (WIKIPEDIA PD)
คริสตจักรมีอิทธิพลสูงและร่ำรวย มีการทำสงครามศาสนา คือสงครามครูเสดนั่นเอง การศึกษาถูกจำกัดอยู่เฉพาะในหมู่ชนชั้นสูงและศาสนจักร คนส่วนมากไม่รู้หนังสือ ศิลปวิทยาการทั้งทางวิทยาศาสตร์ ปรัชญา แนวคิด สถาปัตยกรรมที่เคยเฟื่องฟูในยุคจักรวรรดิโรมันก็สูญหายไป หรือไม่ก็ถูกเก็บไว้ใน
โบสถ์และถูกลืมไปในที่สุด อำนาจที่ กำหนดชีวิตคนคือศาสนจักร ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ผิดจากนั้นถือเป็นพวกนอกรีตมีความผิดทั้งหมด ความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักรคือที่สุด มนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้พระเจ้า ผ่านทางศาสนจักรและมุ่งหวังชีวิตอมตะกับพระผู้เป็นเจ้าหลังความตาย
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
สงครามครูเสด ครั้งที่1 (WIKIPEDIA PD)
WIKIPEDIA PD
เรอเนซองส์ จึงหมายถึงช่วงเวลาที่มีการรื้อฟื้นศิลปะและวิทยาการต่างๆ กลับคืนมา ซึ่งก็คือนำเอาองค์ความรู้ต่างๆ ในช่วงก่อนยุคกลาง นั้นก็คือช่วงของที่อาณาจักรกรีก โบราณและโรมันรุ่งเรืองหรือยุคคลาสสิค ช่วงเวลาประมาณ 500BC - 1 CE
สรุปแล้วเรอเนซองส์ก็คือการฟื้นฟูองค์ความรู้ต่างๆ ที่ย้อนกลับไปถึงพันปีเลยทีเดียว
นักประวัติศาสตร์จำนวนมากเชื่อว่า จุดเปลี่ยนสำคัญที่ก่อให้เกิดการฟื้นฟูศิลปวิทยาการก็คือโลกมีชนชั้นใหม่เกิดขึ้นมาก็คือชนชั้นพ่อค้าและนายธนาคาร เมื่อคนพวกนี มีอำนาจมากขึ้นจนเป็นผู้อุปถัมป์กลุ่มใหม่ นอกเหนือไปจากอำนาจของกษัตริย์และศาสนจักร ชนชั้นใหม่นี้มีความร่ำรวยเป็นอย่างมาก
ยุคเรเนซองส์ มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่นครรัฐฟลอเรนซ์ เราต้องเข้าใจว่าในตอนนั้นประเทศอิตาลีที่เรารู้จักในปัจจุบันยังไม่เกิดขึ้นมีเพียงนครรัฐต่าง ๆ ที่มีเจ้าผู้ครองของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น รัฐมิลาน รัฐเวนิส รัฐเนเปิ้ลส์และรัฐสันตะปาปา
นครรัฐฟลอเรนซ์
รัฐฟลอเรนซ์นั้นเอาตัวรอดจากการรุกรานของรัฐต่างๆ ด้วยการเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการธนาคารของ ยุโรป ทำให้ชนชั้นนายทุนในฟลอเรนซ์มีอิทธิพลมากกว่าทหารและศาสนา ตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากๆ ได้แก่ ตระกูลเมดีชี (Medici) เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดจึงทรงอิทธิพลที่สุดในเมืองแห่งการค้าการลงทุนนี้ ยุคไหนๆ คนรวยก็นิสัยเหมือนๆ กัน รวยแล้วก็อยากจะสร้างบารมี อยากจะแยกตัวจากคนที่รวยเฉยๆ เพราะต้องการให้โลกรู้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้มีดีแค่รวย แต่ยังมีอารยธรรม มีสุนทรียะที่สูง มีรสนิยมดี ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างสภา แวดล้อมที่สมเกียรติต่อความรวยของตัวเอง สถาปัตยกรรมของเมืองฟลอร์เรนซ์ที่โด่งดังและยิ่งใหญ่ส่วนมากก็เกิดจากการสนับสนุนของตระกูลเมดิชี่ทั้งสิ้น ตระกูลเมดิชี่ยังเป็นผู้อุปถัมภ์ศิลปินและนักคิดที่โด่งดังหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ไมเคิล เองเจโล, ลีโอ นาร์โด ดาวินชี่ และ ราฟาเอลจิตรกรชื่อดังด้วย
ไมเคิล เองเจโล
ลีโอ นาร์โด ดาวินชี่
ราฟาเอล
ตระกูลเมดีชี (Medici) WIKIPEDIA PD
ตระกูลเมดีชี (Medici) WIKIPEDIA PD
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
นอกจากการเกิดขึ้นและยิ่งใหญ่ของชนชั้นนายทุนแล้ว ปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งเสริมให้เกิดการเรอเนสซองส์ ก็ได้แก่การ การได้แลกเปลี่ยนแนวคิดต่าง ๆ กับชาวต่างชาติที่เกิดจากเส้นทางการค้าขาย ในยุคกลางนั้นเส้นทางสายไหมเกิดขึ้นและยาวที่สุดถึง 10,000 กม. เลยทีเดียว คือมีความยาวจากญี่ปุ่นสุดถึงยุโรปตอนใต้ นอกจากนี้ปัจจัยกระตุ้นอีกอย่า ที่สำคัญคือการล่มสลายของกรุงคอนสแตนติโนเปิ้ล หรือ อาณาจักรโรมันตะวันออก ทำให้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ของนักวิชาการสาขาต่างๆ ที่หอบเอาหนังสือ วิทยาการ ความรู้ต่างๆ จากจักรวรรดิโรมันมาสู่ยุโรปและเผยแพร่ความรู้เก่าแก่นี้อีกครั้ง
สุลต่านเมห์เมดที่ 2 แห่งจักรวรรดิออตโตมัน ยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิ้ล
การฟื้นฟูวิทยาการในยุคนี้ไม่ใช่แค่ศิลปะเท่านั้น แต่ฟื้นฟูองค์ความรู้ทุกๆ อย่าง กลับไปอ่านบันทึกจากยุคกรีกและโรมันโบราณ ฟื้นฟูองค์ความรู้ทางปรัชญา วรรณกรรม บทละคร วิทยาศาสตร์ วิศวกรรม สถาปัตยกรรม คณิตศาสตร์ กายวิภาคหรืออนาโตมี และความรู้เหล่านี้ไม่ได้มีเส้นแบ่งจำกัดภายใต้ความเป็นอาชีพต่างๆ คนในยุคเรเนซองส์ก็มักเก่งกันหลายๆ ด้านในหนึ่งคน ทุกอย่างๆ เกิดขึ้นด้วยหลักคิดที่ถูกหยิบขึ้น มาปัดฝุ่นใหม่ นั่นก็คือว่าการเป็นมนุษย์นั้นสูงส่งซึ่งเป็นวิธีคิดตามปรัชญาตะวันตกจากยุคกรีกโบราณนั้นเอง
อย่างไรก็ตาม ยุคเรอเนสซองส์ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในอิตาลีหรือฟลอเรนซ์เท่านั้น แต่คำว่า Renaissance นั้นก็ยังใช้กับอีกหลายๆ ที่ในยุโรปที่เข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ เช่น English Renaissance German Renaissance ซึ่งก็มีช่วงเวลาแตกต่างกันไป
แนวคิดที่สำคัญ ที่ผลักดันงานต่างๆ ในยุคเรอเนสซองส์ คือแนวคิดของนักปราชญ์กรีกที่ถูกค้นพบอีกครั้งนั่นคือแนวคิดที่เรียกว่า Himanitas ซึ่งเป็นแนวคิดของนักปรัชญากรีก Protagoras ซึ่งบอกว่า Man is the measure of all things ซึ่งถูกตีความว่า ความจริงของคนแต่ละคนก็ขึ้นอยู่กับการตีความและการมองโลกของคนๆ นั้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ล้ำสมัยจนแทบจะถึงขั้นนอกรีตเลยทีเดียวทั้งในสมัยกรีกและเมื่อถูกค้นพบอีกครั้งในยุคเรอนาซองส์ เพราะว่าแนวคิดนี้สวนทางกับทั้งปรัชญาของหลายสำนัก ในยุคกรีกโบราณ และ ศาสนจักรในยุคกลางซึ่งล้วนแต่เชื่อว่าความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว
3
คุณค่าของยุคกลางก็คือ“ความศักดิ์สิทธิ์” (Divine) ชีวิตและร่างกายไม่ใช่ของเรา แต่เป็นของพระผู้เป็นเจ้า ร่างกายเป็นเพียงภาชนะที่ว่างเปล่าใช้บรรจุวิญญาณเอาไว้รอวันกลับไปหาพระเจ้าอีกครั้ง แต่การฟื้นฟูวิทยาการเลิกมองว่าชีวิตคือภาชนะ แต่มองมนุษย์เป็นสิ่งที่มีคุณค่าในตัวเอง มีความงดงามมีการหันกลับมาให้คุณค่ากับความเป็นมนุษย์มากขึ้น
1
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนยุคนี้จะไม่เอาศาสนา ศาสนจักรก็ยังคงยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพล ศิลปะในยุคนี้ก็ยังเล่าเรื่องศาสนาเช่นเดิม แต่ที่เปลี่ยนไปก็คือการให้คุณค่าของชีวิตหรือโฟกัสในเรื่องความงามนั้นเปลี่ยนไปแบบสิ้นเชิงจากยุคก่อนศาสนจักรคาธอลิกเป็นนายทุนใหญ่ที่สนับสนุนงานศิลปะทางศาสนามากมายและเป็นงานสำคัญจนถึงปัจจุบัน
ตัวอย่างของเรื่องนี้เห็นได้จากงานศิลปะของยุคกลางชิ้นหนึ่งก็คือกระจกสีพระแม่มารี Blue virgin ที่อาสนวิหารชาทร์ (Chartres) ในฝรั่งเศส ถูกสร้างขึ้นราวๆศตวรรษที่ 12 เราจะเห็นพระแม่มารีนั่งอยู่บนบัลลังก์มีพระคริสต์ในวัยเด็กนั่งอยู่บนตัก ทั้งคู่ถูกตั้งไว้กลางภาพ องค์ประกอบทุกๆ อย่างในภาพเช่น เหล่าแองเจิลก็มีไว้เพื่อส่งเสริมตัวพระแม่มารี และ สัดส่วนร่างกายของพระแม่มารีก็ดูใหญ่โตเกินจริง ถ้าลุกขึ้นมายืนคงสูงผิดมนุษย์มาก
แต่นั่นก็คือความตั้งใจ พระแม่มารีถูกวาดให้ตัวใหญ่เพราะไม่ใช่ว่าเป็นวัตถุที่อยู่ใกล้กับ คนดูภาพ แต่ถูกวาดให้ตัวใหญ่เพราะพระแม่มารีเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องดูสง่ากว่า ดูยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ สำหรับรูปพระแม่มารีของศิลปะยุคกลางนั้นความสมจริงไม่ใช่เรื่องหลัก ที่ต้องสนใจคือความศักดิ์สิทธิ์ต่างหาก
ต่อมาเรามาดูภาพพระแม่มารีกับพระเยซูวัยเด็กในยุคต้นเรอเนซองส์กันบ้าง นี่คือภาพ Madonna and child ของ ฟิลิโป้ ลิปปี้ (Filippo Lippi) อย่างแรกที่น่าสนใจเลยคือวัสดุที่ใช้ ภาพนี้ถูกวาดลงบนแผ่นไม้ ผิดกับในยุคก่อนหน้านี้ที่พวกภาพจะเป็นงานถาวร เช่น กระจกสีในโบสถ์ หรือเป็นจิตรกรรมฝาผนัง(Fresco) แต่แผ่นไม้แบบนี้เราสามารถเปลี่ยนมือเจ้าของได้สามารถซื้อขายได้ ซึ่งเป็นผลจากยุคทุนนิยมนี่เอง เป็นสิ่งที่ไม่มีแน่นอนในยุคกลาง ส่วนพระแม่มารีถูกวาดสัดส่วนให้ดูสมจริง เช่นเดียวกับองค์ประกอบอื่นๆ ในภาพที่มีสมดุล พระแม่มารีถูกวาดให้ดูมีความเป็นแม่เหมือนแม่ที่เป็นคน พระคริสต์ก็ดูเป็นเด็กทารกดูเหมือนมนุษย์มากกว่าจะเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ ดูมีอารมณ์อยู่ในนั้นมากขึ้น และจุดนี้ความเป็นธรรมชาติ (naturalism) จึงเริ่มมีคุณค่าในความงามอีกครั้งในยุคเรอเนซองส์นี่เอง เพราะคนเรามองว่าร่างกายมนุษย์คือความงาม จะวาดพระแม่มารีให้งามก็ต้องวาดให้เป็นมนุษย์
1
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
Madonna and child ของ ฟิลิโป้ ลิปปี้ (Filippo Lippi) WIKIPEDIA PD
ซึ่งนี่ก็คือสิ่งที่เพิ่มเข้ามาเมื่อเข้าสู่ยุคเรเนซองส์ตอนต้น คือเริ่มเห็นความงามในตัวมนุษย์ด้วยกันเอง ทำให้งานออกมาพยายามที่จะถ่ายทอดความงามของร่างกายมนุษย์ให้สมจริง เหมือนแบบที่รูปปั้นและรูปแกะสลักหินกรีกโบราณที่โชว์ความงามของร่างกา ผ่านกล้ามเนื้อ แสดงให้เห็นว่าเรารู้จักร่างกายตัวเองผ่านการศึกษาเรื่องกายวิภาคแบบจริงจัง เช่น เทคนิคคอนทราโพสโต้
(Contrapposto) ในเกิดขึ้นในงานปั้นของกรีกโบราณ คอนทราโพสโต้ก็คือ
เทคนิคที่ทำให้ท่าทางของรูปปั้นดูเป็นธรรมชาติ ปั้นออกมาแล้วหุ่นดูยืนทิ้งน้ำหนักสมจริง ดูเหมือนคนยืนจริงๆ นั่นก็เพราะคนปั้นเข้าใจร่างกายมนุษย์
รู้ว่าร่างกายต้องยืนทิ้งน้ำหนักไปที่ขาข้างหนึ่ง แล้วถ้าเราลองลากเส้นแนวตั้งตั้งแต่ศีรษะมาที่ไหล่และสะโพก เราจะเห็นว่าเส้นนั้นไม่ได้อยู่ในแนวเดียวกันแต่ซิกแซกไปมา ส่วนรูปปั้นจากยุคโบราณกว่านั้นก็จะดูแข็งๆ ทื่อๆ ก็เพราะ
ไหล่ สะโพ นั้นอยู่แนวเดียวกันไปหมด เทคนิคนี้คนยุคเรอเนซองส์ก็นำกลับมาได้สำเร็จและสร้างสรรค์ออกมามากมาย (รูปปั้นยุค early renaissance) และที่เรารู้จักกันดีก็คือรูปแกะสลักหินอ่อน เดวิด ของไมเคิล แองเจโล่ ที่ขึ้นชื่อเรื่องรายละเอียดมากๆ แกะสลักกันกระทั้งเส้นเลือดบนมือก็ยังมีให้เห็น
WIKIPEDIA PD
ยุคที่ศิลปะแบบเรเนซองส์มาถึงจุดสูงสุด (High Renaissance) ก็คือจุดที่วิทยาการต่างๆ มาผสมเข้ากับงานศิลปะได้อย่างลงตัว เช่นการวาดรูปโดยใช้
“เพอร์สเปกทีฟ” หรือ Linear perspective เป็นวิธีที่ทำให้ภาพวาดมีมิติเหมือนที่สายตาเห็น มีความลึก ตื้น ไม่ได้เป็นแค่การวาดของใหญ่อยู่ใกล้ ของเล็กอยู่ไกลแบบธรรมดาๆ แต่ต้องมีการ คำนวนด้วยเพื่อให้เกิดภาพลวงตาและเห็นเป็นสามมิติ
1
คนที่ค้นพบก็คือ ฟีลิปโป บรูเนลเลสกี (Filippo Brunelleschi) หรือบางคนก็บอกว่า เป็นการรื้อฟื้นจากยุคโบราณเพราะน่าจะมีคนเคยคิดไว้แล้วก่อนหน้านั้น บรูเนลเลสกี เป็นสถาปนิกที่มีอิทธิพลในยุคเรเนซองส์มากๆ ว่ากันว่าที่
เขาค้นพบเพอร์สเปกทีฟเพราะเขาพยายามหาวิธีวาดภาพให้เหมือนจริงมากที่สุดเพื่อประโยชน์ในการเขียนแบบ สร้างตึก และเพื่อแสดงให้นายทุนทั้งหลายเห็นว่าอาคารที่เขาออกแบบมันจะหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งก็คือเขาต้องหา
วิธีขายงานให้กับลูกค้านี่เอง
1
ฟีลิปโป บรูเนลเลสกี (Filippo Brunelleschi) WIKIPEDIA PD
บรูเนลเลสกี ก็เป็นมนุษย์เรเนซองส์ของแท้ เขาค้นพบเทคนิคโดยการไปศึกษาโบราณสถานของกรีกโรมัน เริ่มคำนวนด้วยคณิตศาสตร์และเลขาคณิต เขาคิดว่าภาพวาดจะมีมิติก็ต้องมีจุดรวมสายตาหรือ vanishing point และมีเส้นขนาดหรือเส้นขอบฟ้า Horizon Line อยู่ในภาพ
เมื่อเขาคำนวนเสร็จก็ลองนำวิธีนี้ไปทดลองว่าเป็นจริงตามสมมุติฐานตามที่
เขาคิดหรือไม่ เขาทำการทดลอง (Brunelleschi Experiment) โดยการวาด
รูปหอศีลจุ่มฟลอเรนซ์ (Florence Baptistry) เมื่อวาดเสร็จก็เจาะรูภาพ
จุดที่เป็นจุดรวมสายตา เขามองรูปวาดผ่านกระจกเงา พอลองยกกระจกออก
เพื่อเทียบกับตึกจริง เขาก็พบว่าภาพวาดของเขา พอดีกับสิ่งที่ตาเห็นเลย
การทดลอง บรูเนลเลสกีพิสูจน์ว่าตาของคนเราทำงานแบบนี้จริงๆ คือมีจุดรวมสายตา มองเห็นเส้นขอบฟ้าและเส้นแนวตั้ง(orthogonal) ประกอบกัน
ทำให้เห็นภาพลวงตาเป็นสามมิติได้
เทคนิคนี้ถูกพัฒนาเป็นสูตรและใช้กับภาพจิตกรรมต่างๆ ในยุคเรเนซองส์เยอะมาก และหลังจากนั้นมาก็ไม่เคยหายไปจากศิลปะของโลกตะวันตกเลย
ภาพผลงานสุดคลาสิค The Last Supper ของ ลีโอนาโด ดาวินชี่ เหตุใดเรา
เห็นพระเยซูคริสต์ก่อนเลย ทำไมพระองค์ดูเด่นมากในภาพนี้ ทั้งๆ ที่พระองค์ก็มีส่วนสูงเท่าๆ กับทูตทั้ง 12 คน ไม่มีแสงออร่า ไม่มีวงรัศมีแผ่ออกมาด้วย? เหตุผลก็คือมันก็เป็นผลมาจาก perspective ของภาพที่ทำให้พระเยูซูกลายเป็นพระเอกของภาพมีความโดดเด่นมากที่สุด
หลายคนอาจจะสงสัยว่ามันเป็นภาพในห้องทานข้าวที่ปิดทึบ แล้วมันจะเห็นเส้นขอบฟ้าได้อย่างไร เทคนิคตามสูตรก็คือสร้างเส้นขอบฟ้าจำลองขึ้นมาโดยใช้ระดับสายตาของแบบที่อยู่ในภาพ คือถึงจะอยู่ไกลหรือใกล้ ก็วาดให้มีระดับสายตาเท่ากัน จะต่างตรงไซส์ คือวาดให้เล็กก็เพราะอยู่ไกล ใหญ่ก็อยู่ใกล้ พอสายตาเท่ากันแบบนี้ผู้ชมภาพก็จะเข้าใจระดับของภาพไปโดยปริยาย แบบใน The Last Supper ศิษย์ทั้ง 12 ก็มีระดับสายตาเท่ากันหมด สร้างเป็นเส้นขอบฟ้าขึ้นมา ผนังห้องและหน้าต่างก็เป็นเส้นตั้งฉากที่เล็กเข้าหาเพอร์สเปกทีฟของภาพที่เป็นจุดรวมสายตา ซึ่งก็คืออยู่ที่ด้านหลังศีรษะของพระเยซูแบบพอดิบพอดี อันนี้ก็เป็นดีไซส์ของดาวินชี่ที่อยากจะให้พระเยซูเป็นจุดสนใจของภาพ
2
ภาพต่อมาที่จะนำมายกตัวอย่างก็คือภาพ “เดอะ ครีเอชั่น ออฟ อดัม” (The Creation of Adam) หรือภาพกำเนิดอดัมนั้นเอง วาดโดยไมเคิล เองโจโล่ เป็นหนึ่งในภาพ Fresco บนเพดานที่โบสถ์ซิสทีน(Sistine)ที่วาติกัน ซึ่งเป็นภาพเกี่ยวกับบทปฐมกาล หรือการกำเนิดสรรพสิ่งต่างๆ ตามศาสนาคริสต์ซึ่งมีมากถึง 300 ภาพ และภาพกำเนิดอดัมก็เป็นชิ้นสำคัญมาก ถือว่ามีทุกอย่างครบ เป็นจุดสูงสุดของศิลปะยุคเรเนซองส์ ก็คือภาพนี้ถูกวาดด้วยความเข้าใจในร่างกายมนุษย์และเข้าใจเรื่ององค์ประกอบภาพ ทุกอย่างถูกออกแบบมาได้สัดส่วนกันไปหมด เรียกได้ว่าเข้าใกล้ความสมบูรณ์ แบบมากๆ แบบในครีเอชั่นออฟอดัม ร่างกายอดัมถูกวาดให้ดูเหมือนเคลื่อนไหวอยู่ ท่าโพสเองก็มีความซับซ้อน เช่นท่าพระเจ้าในภาพที่กำลังยื่นมือมาและมีเหล่าแองเจิลอยู่รายล้อม ซึ่งควรจะเป็นภาพที่ซับซ้อน ดูยาก แต่กลับดูกลมกลืนและไหลลื่นไปหมด และที่ถูกพูดถึงบ่อยมากก็คือนิ้วของอดัมกับพระเจ้าที่ไม่ได้แตะโดนกัน ดูก้ำกึ่งแบบพอดิบพอดี สามารถสื่อได้ว่าพระเจ้านั้นยังเป็นสิ่งเราไม่อาจสัมผัสได้ แต่เรารับรู้ถึงการมีอยู่ ของพระเจ้าได้เสมอ
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
ยุคท้ายๆ ของช่วงเรอเนซองส์ จะเป็นสไตล์ที่เรียกว่าแมนเนอร์ริส(Mannerism) เป็นช่วงท้ายของยุคเรเนซองส์เกิดขึ้นราวๆ ปี ค.ศ.1520 ภาษาไทยเราแปลว่า ศิลปะ แนว“จริตนิยม” นั้นก็เพราะว่าศิลปินในยุคนี้ก็ยังได้รับอิทธิพลมาจากเหล่าศิลปินชั้นครู ทั้งดาวินซี่ ราฟาเอล และไมเคิลแองเจโล แต่เริ่มคิดว่าผลงานพวกนี้มันยังแข็งทื่อเกินไป เริ่มเลิกพยายามจะวาดภาพให้มันดูสมบูรณ์แบบ โดยวาดให้มันซับซ้อนขึ้นไปอีก คือภาพเริ่มไม่มีเพอร์สเปกทีฟที่ชัด
เจนและถูกซ่อนเอาไว้ไม่ให้เห็นง่ายๆ ไม่มีองค์ประกอบ ภาพแบบน้ำหนักเท่าๆ กันและดูพอดีไปหมดอีกแล้ว ถูกแทนที่ด้วยท่าทางของแบบที่เน้นความสง่างามบางจนครั้งก็ดูผิดธรรมชาติไปเลย
ภาพตัวอย่างของสไตล์แมนเนอร์ริสคือภาพพระแม่มารีกับพระเยซูตอนเด็กอีกครั้งเพื่อเทียบกับยุคอื่นๆ ภาพ Madonna with the long neck ของ ปาร์มี จาร์นิโน (Parmigianino) พระแม่มารีตัวสูง คอยาว เช่น เดียวกับพระเยซูที่เป็นทารกที่ดูตัวยาวแบบแปลกๆ เพื่อให้ดูสง่างามมากขึ้น
ต่อมาก็คือภาพของปอนตอร์โม (Pontormo) เป็นภาพการนำร่างพระเยซูลงจากกางเขน หรือ The Entombment of Christ จะเห็นว่าการวางตัวแบบให้เอียง และเริ่มมีการใช้ สีสันที่ผิดไปจากธรรมชาติ ก็เพื่อแสดงความเศร้าโศกออกมาให้มากขึ้น
ในช่วงราวๆ ปี ค.ศ. 1600 ศิลปะก็เข้าสู่ยุคใหม่และก้าวข้ามยุคเรเนซองส์ คราวนี้สไตล์จะมีความจัดมากขึ้นไปอีก ใช้เทคนิคใหม่ๆ เพื่อแสดงทางออกอารมณ์ให้มากขึ้น มีการใช้แสงเงาในภาพในลักษณะที่เงาชัดเจนหรือคอนทราสที่จัดมากขึ้น มีการเลือกใช้สีเข้ม สีดำ เพื่อขับเน้นอารมณ์ที่เข้มข้นหรือเรียกว่าเพิ่มความดราม่าติก รายละเอียดในใบหน้าของแบบก็พัฒนาแสดงอารมณ์ที่ซับซ้อนและสมจริงมากขึ้น เราเรียกว่ายุคบาโรก(Baroque) ลองดูรูป The Entombment of Christ อีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเวอร์ชั่นบาโรกของ คาราวัคโจ้ (Caravaggio) แล้วเทียบกับเวอร์ชั่น Mannerism จะเห็นถึงความแตกต่าง
สำหรับเรื่องของศิลปะยุคเรเนซองส์แบบคร่าว ๆ ก็มีประมาณนี้ เราคงเห็นแล้วว่ายุคนี้เป็นยุคที่สำคัญมากๆ สำหรับศิลปะวิทยาการของโลกตะวันตก ทำให้เกิดการพัฒนาแบบก้าวกระโดดในทางความคิดและปัญญาของมนุษย์ ทุกวันนี้ความรู้หลายๆ อย่างที่ เราเรียนกันในโรงเรียนก็เกิดมาจากยุคนี้ และสุดท้ายลองจินตนาการออกไปว่าอีกสัก 400 ปี ผู้คนในอนาคตจะเรียกชื่อยุคของเราว่าอย่างไรกัน
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
ศิลปะแบบเรอเนซองส์คืออะไร? [VDO]
โฆษณา