บริษัทสหรัฐฯเลือกข้างจีน แม้ความตึงเครียดกระพือและเจอแรงกดดันจากทรัมป์
บริษัทสัญชาติอเมริกันในจีน มีความวิตกกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯและจีน แต่มีเพียงไม่กี่รายที่จะถอนธุรกิจจากประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก อย่างจีน
จากการสำรวจของสภาหอการค้าอเมริกันในเซี่ยงไฮ้เมื่อวันพุธ (9 ก.ย.) พบว่า 92% ของบริษัทสัญชาติอเมริกันให้คำมั่นที่จะดำเนินธุรกิจในประเทศจีน แม้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและจีนจะแตกหักก็ตาม
ผลสำรวจระบุว่า มากกว่าหนึ่งในสี่ของบริษัทสัญชาติสหรัฐฯคาดว่าความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีนจะไม่มีวันยุติ ซึ่งเมื่อปีก่อนมีเพียง 17% เท่านั้นที่เห็นเช่นนั้น ในขณะที่หนึ่งในห้าของบริษัทสหรัฐฯคาดว่าความตึงเครียดจะยาวนานราวๆสามถึงห้าปี มีเพียงแค่ 14% ของบริษัทเหล่านั้นที่มองว่าประเด็นความขัดแย้งจะคลี่คลายภายในหนึ่งปี
สภาหอการค้าอเมริกันในเซี่ยงไฮ้ระบุในรายงานว่า สิ่งที่สนับสนุนมุมมองเชิงลบจากบริษัทที่ให้ข้อมูลทั้งหมด 350 บริษัท คือความกังวลที่มากขึ้นในเรื่องความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน โดยมีการสำรวจช่วงเดือนมิ.ย.และก.ค. หลังจากที่ทั้งสองประเทศเริ่มมีการประกาศข้อตกลงทางการค้า
การสำรวจรายปี ได้ทำการสำรวจข้อมูล 1,400 บริษัทที่เป็นสมาชิกของสภาหอการค้าอเมริกันในเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร และมุ่งหวังให้เกิดการค้าเสรี และเพื่อสนับสนุนความสัมพันธ์ทางการค้าสหรัฐฯ-จีน
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศทรุดต่ำลงเป็นประวัติการณ์ จากการที่ทั้งสองประเทศมีความขัดแย้งกันในหลายๆประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องต้นกำเนิดของโคโรน่าไวรัส ไปยังประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนในฮ่องกง และ ซินเจียง เพื่อการเป็นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี
เมื่อเดือนก.ค. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ยุติความสัมพันธ์ทางการค้าพิเศษระหว่างสหรัฐฯและฮ่องกง ซึ่งในอดีตฮ่องกงได้รับการยกเว้นด้านภาษีต่างๆ รวมถึงสิทธิพิเศษอื้นๆ และในเดือนนั้นเอง ทั้งสองประเทศได้สั่งให้สถานกงสุลของตนเองปิดทำการทั้งในฮูสตัน และเฉิงตู
เมื่อเดือนที่แล้ว รัฐบาลสหรัฐฯก็ได้คว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ภาครัฐของจีนโดยกล่าวหาว่าเป็นผู้ลิดรอนเอกราชฮ่องกง ซึ่งรวมถึง Carrie Lam ผู้นำฮ่องกงด้วย ในขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ประกาศสั่งขู่แบนแอพลิเคชั่นยอดนิยมของจีนไม่ให้ดำเนินการในสหรัฐฯ ทั้ง TikTok และ WeChat
32% ของบริษัทที่ตอบแบบสำรวจกล่าวว่าความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างสหรัฐฯและจีนได้ส่งผลกระทบในความสามารถที่จะให้พนักงานของพวกเขาทำงานที่จีนได้ บางบริษัทกล่าวว่าพวกเขาอาจจะลดการลงทุนในจีนเนื่องจากความไม่แน่นอนจากประเด็นทางการค้านี้
อย่างไรก็ตาม การละทิ้งประเทศจีนนั้นจะไม่เกิดขึ้น แม้ประธานาธิบดีทรัมป์จะสั่งให้พวกเขาทำเมื่อปีที่แล้วก็ตาม
จีนยังเป็นประเทศที่ให้ผลประโยชน์ทางด้านธุรกิจอย่างมาก บางบริษัทยังได้มุ่งเป้าไปที่ชนชั้นกลางของประเทศจีนที่กำลังขยายตัวมากขึ้น ในขณะที่บางบริษัทก็ยังต้องพึ่งพาภาคการผลิตของจีน ผลสำรวจของสภาหอการค้าอเมริกันในปีนี้ ชี้ให้เห็นว่าสัดส่วนบริษัทที่มองว่าจีนเป็นประเทศที่สร้างกำไรในระดับโลกให้แก่ธุรกิจของพวกเขาอย่างมีนัยสำคัญนั้น กระโดดขึ้นจาก 9.4% มาเป็น 32% เลยทีเดียว
เกือบ 79% ของบริษัทที่ตอบการสำรวจนี้กล่าวว่า พวกเขาไม่มีแผนที่จะย้ายการลงทุนไปที่อื่น มีเพียงไม่กี่รายบอกว่าจะย้ายไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอันดับแรก
นอกจากนี้ น้อยกว่า 5% ของบริษัทที่ตอบการสำรวจวางแผนว่าจะกลับไปดำเนินธุรกิจที่สหรัฐฯ ทำให้สหรัฐฯเป็นทางเลือกที่สี่หากมีการย้ายการลงทุนเกิดขึ้น
ประธานสภาหอการค้าอเมริกันเปิดเผยว่า บริษัทสัญชาติอเมริกันยังเห็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ในตลาดผู้บริโภคของจีน และจีนเองก็ได้เปิดให้บริษัทต่างชาติสามารถดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมบางอย่างได้ ซึ่งก็รวมถึงประกันและการบริหารสินทรัพย์ ทั้งนี้ บรรดาผู้ประกอบการสหรัฐฯในจีนอยากจะเห็นทั้งสองประเทศแก้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆได้ในเร็ววันและความตึงเครียดลดลง โดยมองว่าหากมีกรอบการทำงานความร่วมมือที่สารถทำร่วมกันได้สำหรับในอีกทศวรรษข้างหน้า น่าจะเป็นเป้าหมายในการเจรจาที่ดีได้
ที่มา:
ภาพ: