5 ก.พ. 2021 เวลา 03:36 • นิยาย เรื่องสั้น
1.19. ยืมซากคืนวิญญาณ
ซัวหยง ผู้นำลัทธิม่อจื้อ - สองมฤตยูสุดท้าย เตียวเจ หวนเตียว
พายุฝนภายนอกลดความแรงลงบ้างแล้ว แต่ลิยูที่เป็นทั้งลูกเขยและกุนซือของตั๋งโต๊ะ กลับมีความรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ว่างานวิวาห์ครั้งนี้ จะเกิดจากความคิดของมันกับลิซกก็ตาม แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง จนสับสนกังวลอยู่ในใจ
เรื่องราวคล้ายไม่ชอบมาพากลนัก ตั้งแต่ อ้องอุ้น พ่อบุญธรรมของเจ้าสาวกลับป่วยกระทันหัน จนมาร่วมงานไม่ได้ ลิซกขันอาสาดูแลทหารองครักษ์หน้าห้องที่เคยเป็นหน้าที่ประจำของมันให้ เตียวเลี้ยว นายทหารหนุ่มก็อาสาช่วยดูแลกองทหารให้แทนลิฉุยกุยกีที่เข้าร่วมดื่มกินในงานแต่ง จนเหมือนส่งเสริมให้พวกมันทั้งสามลอยตัวอยู่ในงานเลี้ยง
ส่วนลิโป้ก็ไม่รู้ว่าหายไปที่ใดเสียเนิ่นนาน แล้วมันก็สังเกตเห็นลิซกแอบกระซิบอันใดกับตั๋งโต๊ะ จากนั้น ทั้งสองก็เดินออกจากงานเลี้ยงไปด้านหลังด้วยกัน หรือว่าจะเกิดเหตุการณ์อันใดในห้องหอแล้ว
ลิยูรีบกวาดสายตามองหาตันก๋ง กุนซือคนใหม่ของลิโป้ที่ตอบรับเข้ามาตามคำแนะนำของมันเอง แต่คือหนึ่งเดียวที่มันพอไว้วางใจได้ เพราะพวกมันทั้งสองล้วนเป็นคนในเครือข่ายเดียวกัน เป็น เครือข่ายสุมา
ในยามนั้น ตันก๋งเพียงมีชื่อเสียงเป็นนายอำเภอเก่าที่หายตัวไปพร้อมกันกับนักฆ่ากระบี่เจ็ดดาว โจโฉ ดังนั้น มันจึงเพียงกลบเกลื่อนว่า ครั้งนั้น มันถูกโจโฉจับเป็นตัวประกันในยามหลบหนี กลายเป็นความผิดโทษฐานบกพร่องในหน้าที่ พอเรื่องราวเงียบหาย จึงค่อยกลับมาขอเข้าสังกัดกับนายใหม่ที่กำลังมีอนาคตรุ่งโรจน์ที่สุด
“เกรงว่าจะเกิดเหตุร้าย ตั๋งโต๊ะ ลิโป้ ลิซกล้วนหายไปทางด้านหลังกันหมดแล้ว” ลิยูกระซิบความ
“คอยดูท่าที หากเกิดปัญหา ให้รักษาชีวิตไว้ก่อน” ตันก๋งรีบประเมินสถานการณ์
ทันใดนั้น ลิโป้ ลิซกก็นำกองทหารองครักษ์ชุดเหลืองเข้ามาในงานเลี้ยง พร้อมตะโกนออกคำสั่ง “ทรราชย์ตั๋งโต๊ะตายแล้ว ฮ่องเต้มีคำสั่งให้จับตัวเฉพาะลิยู ลิฉุย กุยกีไว้ เพื่อรอคำตัดสินต่อไป”
ไม่ต้องให้อธิบายความ ลิยูนึกรู้ทันทีว่า เมื่อตั๋งโต๊ะจบสิ้นแล้ว มันคือรายต่อไปในฐานะที่เป็นลูกเขยและที่ปรึกษาสำคัญ ลิยูจึงรีบคว้ามือลิฉุยกุยกีพลางสั่งความ “รีบฝ่าวงล้อมแล้วนำกำลังพลย้อนไปยังพระราชวัง ชิงจับตัวเหี้ยนเต้ไว้ก่อน”
“เกรงว่าเรื่องนั้นจะสายไปแล้ว ท่านลิยู ท่านอ้องอุ้นกับเตียวเลี้ยวได้ถวายความอารักขาฮ่องเต้ไว้แล้ว” ลิซก คู่หูเก่า ก้าวตามหลังลิโป้เข้ามา กล่าวดักคอไว้
เมื่อทุกอย่างจบสิ้นแล้ว ลิยูกับพวกที่จงรักภักดีจึงต้องทุ่มเทชีวิตเพื่อฝ่าวงล้อมออกไปให้ได้ก่อน แล้วประตูด้านหนึ่งก็ถูกผลักออกพร้อมด้วยกำลังทหารชุดแดงที่มาช่วยเปิดทางรอด พร้อมเสียงของกาเซี่ยง กุนซือหนุ่มใหญ่ในสังกัดของลิยู “ทุกท่าน รีบหนีออกมาทางด้านนี้”
ลิฉุย กุยกี พุ่งตัวผ่านกองทหารที่มาช่วยเหลือออกไปก่อน โดยมีลิยูรั้งท้ายอยู่หลายก้าว ทันใดนั้น กลับมีคนคว้ามือของลิยูเอาไว้ เป็นตันก๋ง กุนซือจารชนผู้มาใหม่นั่นเอง และแล้วกระบี่ในมือก็เสียบทะลุอกของลิยูไปในทันที
“ตันก๋ง เจ้า...” ลิยูไม่คาดคิด แต่ตันก๋งกลับมีแผนการในใจ จึงแอบกระซิบ “ขออภัยด้วย ชีวิตท่านมีค่าต่อข้านัก ในหมากกระดานนี้ ตัวท่านในสังกัดตั๋งโต๊ะจบสิ้นแล้ว แต่ยังสามารถแลกตำแหน่งที่ดีให้กับข้าในสังกัดของลิโป้ได้อยู่” แล้วตันก๋งกระชากกระบี่ออก เป็นการปลิดชีพของลิยู คนในเครือข่ายเดียวกันไปหนึ่งคน
“เสียสละหนึ่งชีวิต เพื่อการณ์ใหญ่ข้างหน้า ท่านสุมาย่อมไม่คัดค้านอย่างแน่นอน” ตันก๋งคิดในใจ พลางคิดถึงภาพที่เคยค้างคาใจเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้
เป็นลิยูในชุดขุนนางระดับสูง นั่่งจิบน้ำชา จ้องมองมันด้วยสายตาเหยียดหยาม คล้ายกริ่งเกรงว่ามันจะเข้ามาทับซ้อนกับผลงานความสำเร็จของตนเอง ทำให้มันต้องรีบค้อมตัวอ่อนน้อมต่อลิยูมากกว่าปกติ ประสบการณ์สอนให้รับรู้ว่า ผู้คนเย่อหยิ่งจองหองเช่นนี้ ไม่เพียงไม่น่าคบค้าสมาคมด้วยเท่านั้น แต่สมควรหาทางกำจัดทิ้งเสียก่อนที่จะโดนลอบทำร้ายลับหลัง
ด้วยเหตุนี้ ลิยูจึงสมควรตายในสายตาของตันก๋ง และทำให้มันโดดเด่น มีน้ำหนักขึ้นมาในสายตาของพวกอ้องอุ้น ลิโป้ทันที แม้ว่า ผู้ที่แนะนำสนับสนุนให้เข้ามาจะเป็นลิยู ลูกเขยของตั๋งโต๊ะเองก็ตาม ดั่งกลยุทธ์ “ยืมซากศพคืนวิญญาณ” ส่งต่อให้ผู้ที่ยังอยู่ ปลอดภัยไร้เรื่องราวให้สืบสาว
...
ภารกิจในการผลัดเปลี่ยนขั้วอำนาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง ทหารและขุนนางสังกัดฝ่ายตั๋งโต๊ะที่หลงเหลืออยู่ ต่างโดนลิโป้ โกซุ่น เตียวเลี้ยวตรวจค้นและกวาดล้างอย่างไม่ไว้หน้า ทั้งๆที่เคยเป็นฝ่ายเดียวกันมาก่อน ทำให้ผู้คนหลายครอบครัวถูกสังหารทิ้งล้างตระกูลโดยไม่มีการไต่สวนคดีความ ลามไปถึงผู้คนในตระกูลเดียวกันที่มีรากฐานบ้านเกิดอยู่ต่างเมือง ยังถูกมือสังหารตามฆ่าให้หมดสิ้นเสี้ยนหนามแบบถอนรากถอนโคนเลยทีเดียว
ลิโป้ ลิซก ล้วนกังวลใจต่อการตอบโต้ของคนในสังกัดตั๋งโต๊ะ จึงชิงลงมืออย่างหนักหน่วงและรุนแรง ครอบครัวสกุลตั๋งทั้งที่อยู่ในเมืองหลวงและถิ่นเดิม เครือญาติมิตรสนิททั้งเปิดเผยและซุกซ่อน ล้วนเป็นเป้าหมายหลักในการกำจัดทิ้งให้ได้โดยเร็วที่สุด ไม่ให้ถูกนำกลับมาเป็นหุ่นเชิดเพื่อช่วงชิงอำนาจกลับคืนได้อีก
คงหลงเหลือเพียงแต่ลิฉุย กุยกี กาเซี่ยงที่หลบหนีไปพึ่งพิงหวนเตียว ที่ยังควบคุมขุมกำลังสุดท้าย สามมฤตยูใต้ร่มธงทรราชย์ตั๋งโต๊ะอับจนปัญญา เพียงได้แต่รอคอยดูท่าทีจากกาเซี่ยงว่า สมควรเดินหมากก้าวต่อไปเช่นไร
ท่ามกลางเปลวไฟอำมหิตที่ลุกลาม ตั๋งไป๋ ทายาทสาวตัวน้อยที่เกิดจากชนเผ่าพื้นเมืองชาวเกี๋ยง และความไม่รับผิดชอบของตั๋งโต๊ะ จนเป็นสาเหตุของความล้มเหลวในการจัดตั้งกองทัพม้าเหล็กในอดีตเมื่อหลายปีก่อน พลอยต้องหลบหนีการไล่ล่าสังหารจากดินแดนเสเหลียง หนีภัยการเมืองออกร่อนเร่ไปตามยถากรรม จนเกิดเรื่องราวในประวัติศาสตร์อีกมากมายในภายหลัง
ฝ่ายสมุหนายกอ้องอุ้นที่รวบอำนาจเป็นผู้สำเร็จราชการแทนตั๋งโต๊ะ พร้อม ลิซก กับตันก๋ง สองที่ปรึกษาสำคัญ ก็ใช้เวลาหมดไปกับการชำระคดีความการเมือง และประสานผลประโยชน์ในเมืองหลวง เพื่อต่อรองและเกลี้ยกล่อมให้กลุ่มอิทธิพลต่างๆเข้ามาเป็นพวกโดยเร็ว ก่อนที่พวกลิฉุยกุยกีจะตั้งหลักได้ทันและกลับมาทวงบัลลังก์คืน แม้ว่าจะต้องกระทบกระทั่งกับกลุ่มคนต่างๆมากมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ถือว่าควบคุมสถานการณ์การเมืองไว้ได้บางส่วนแล้ว
ที่จริงแล้ว อ้องอุ้นเองยึดถือวิถีขงจื้อ ย่อมชิงชังรังเกียจการวางแผนซ้อนกลด้วยกลสาวงามในครั้งนี้ แต่จำใจต้องกระทำไปตามสถานการณ์เพื่อล้มล้างจอมทรราชย์ตั๋งโต๊ะให้จงได้ ทำให้ในใจมีความขัดแย้ง จนคับข้องใจไม่น้อย มันจึงอาศัยการงานมาดึงความสนใจให้ไม่มีเวลามาคิดถึงสิ่งอื่น โดยเฉพาะการริดรอนอำนาจฝ่ายตรงข้ามโดยเร็วที่สุด เพื่อปรับเปลี่ยนจากระบบเผด็จการทหาร กลับคืนเป็นระบบคุณธรรมตามแนวทางของปรมาจารย์ขงจื้ออีกครั้ง
หากแต่พรรคพวกคนสนับสนุนฝ่ายตั๋งโต๊ะนั้นมีทั้งเปิดเผยและแอบแฝง หลายปีที่ผ่านมา มันย่อมสั่งสมบารมีและพวกพ้องได้ไม่น้อย ดังนั้น อ้องอุ้นจึงส่งซากศพของตั๋งโต๊ะออกไปประจานกลางชุมชนเพื่อเป็นเหยื่อล่อ พร้อมกับราชโองการประกาศความผิดสาหัสมากมาย จนผู้คนที่รับฟังล้วนหน้าเปลี่ยนสี เพิ่มความเกลียดชังในตัวจอมทรราชย์มากยิ่งขึ้น
ในที่สุด ก็มีฝูงปลาดื้อรั้นว่ายเข้ามาฮุบเหยื่อล่อจนได้ เป็นราชครูซัวหยงชักนำบัณฑิตปัญญาชนกลุ่มหนึ่งปรากฎตัวขึ้นโต้แย้ง และกล่าวคำอาลัยถึงคุณงามความดีของตั๋งโต๊ะอย่างยิ่งยวด ทั้งๆที่เป็นการสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งยวด จนอาจจะตกเป็นจำเลยทางการเมือง กลายเป็นปรปักษ์กับทางการเสียแล้ว
"การกล่าวคำอาลัย กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เป็นสิ่งที่วิญญูชนพึงกระทำตามแนวคิดขงจื้อของท่าน มิใช่หรือ" ซัวหยงกล่าวขึ้นดังๆต่อฝูงชนอย่างไม่ไว้หน้า "ตัวของตั๋งโต๊ะเองไร้ความผิดใดๆ นอกจากความรักพวกรักพ้อง เพียงแต่มีลูกน้องบางคนที่นอกลู่นอกทางเท่านั้น เขาคือวีรบุรุษกู้ชาติ ผู้นำกองทัพหมีทมิฬเข้ามาค้ำจุนบัลลังก์ราชวงศ์ฮั่นให้รอดพันจากพวกสิบขันทีกังฉินต่างหาก"
อ้องอุ้นอยู่ในช่วงเวลาที่กดดันตึงเครียด จึงแค้นใจจนหน้าเปลี่ยนสีที่ถูกขัดขวางแผนการโดยคู่ปรับเก่า จนหน้ามืดตามัว เห็นเป็นโอกาสกำจัดศัตรูทางการเมืองของตน และลดทอนแกนนำของแนวคิดฝ่ายม่อจื้อให้เข็ดหลาบ
คำร่ำลือสะท้านแผ่นดินเกี่ยวกับผู้นำทางความคิดย้อนกลับมาในความคิดของมันอีกครั้ง "จ้าวลัทธิอวิชชา พลิกแผ่นฟ้าล้างแผ่นดิน จากต่ำต้อยค่อยโบยบิน กัดกินสิ้นสุดราชวงศ์” สะท้อนก้องอยู่ในความคิด ตอบสนองกับเสียงฝูงชนจำนวนมากมายที่ขานรับคำกล่าวของฝ่ายตรงข้าม
ในเมื่อซัวหยงก็อยู่ในฐานะจ้าวลัทธิเช่นกัน ย่อมอยู่ในข่ายสร้างความปั่นป่วนในแผ่นดินต่อไปได้ อ้องอุ้นจึงออกคำสั่งให้จับตัวซัวหยงและพวกไปประหารทั้งครอบครัว เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง และเป็นการขู่ขวัญบรรดาพวกพ้องคนอื่นๆของฝ่ายตรงข้ามไม่ให้กลับมารวมตัวคัดค้านได้อีกต่อไป จึงทำให้แนวคิดสายม่อจื้อที่ขาดผู้นำอย่างซัวหยงไปอย่างกระทันหันนั้น เสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว และเป็นจุดเริ่มต้นที่แนวคิดสายขงจื้อตามความนิยมของอ้องอุ้น สามารถหยั่งรากลึกลงแทนที่ในจิตใจของขุนนางราชสำนักและราษฎรทั่วไปแทน
จุดเปลี่ยนเล็กๆเช่นนี้ ที่ทำให้ลัทธิขงจื้อเจริญรุ่งเรือง ลัทธิม่อจื๊อแทบจะเลือนหายไปจากความคิดของคนทั้งชาติ จากความผิดพลาดชั่ววูบของ ซัวหยง ผู้นำลัทธิรุ่นหลังในกลการเมืองครั้งนี้
...
ที่จริงแล้ว เดิมที ราชครูซัวหยงเอง ก็เคยคิดเดินหมากกลนางงามด้วยเหมือนกัน โดยใช้ซัวบุ้นกี ลูกสาว ให้ใกล้ชิดสนิทสนมกับลิโป้ เพื่อหวังจะยุยงให้แตกแยกกับตั๋งโต๊ะ เหมือนกันกับแผนการของอ้องอุ้นที่ใช้เตียวเสี้ยนเช่นกัน
แต่เพราะเหยื่อล่อเป็นลูกสาวแท้ๆของตน สุดท้าย จึงมีความสงสารตามประสาพ่อแม่บังเกิดเกล้า ไม่อาจตัดใจทำร้ายชีวิตของลูกน้อยได้ อีกทั้งตัวนางก็ยังร่ำไห้ อ้างว่ามีคนรักอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่ไม่ยอมปริปากว่าเป็นใคร แผนสาวงามของซัวหยงจึงโดนพับเก็บไป และสุดท้าย กลายเป็นอ้องอุ้นทำภารกิจรูปแบบเดียวกันได้สำเร็จ จนมีชื่อปรากฏเรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์แทน
อย่างไรก็ตาม เมื่อสมุหนายกอ้องอุ้น ร่วมกับขุนพลลิโป้ก่อการปฏิวัติได้สำเร็จ มันก็ยังเห็นว่า ตัวการสำคัญอย่างลิฉุย กุยกี หลบหนีไปได้ และพรรคพวกของตั๋งโต๊ะมีมากมายที่ยังแฝงตัวอยู่ในหน่วยงานต่างๆ จึงคิดแผนการห้าวหาญที่สุดในชีวิตขึ้นมา หากมันแสดงตนถือข้างตั๋งโต๊ะอย่างชัดเจนเต็มที่แล้ว พวกของจอมทรราชย์ที่ยังหลบซ่อน ย่อมวางใจ เผยโฉมออกมาติดต่อกับมัน แล้วเมื่อนั้น มันค่อยส่งข่าวให้กับฝ่ายอ้องอุ้น เพื่อหาทางถอนรากถอนโคนให้ถึงที่สุด
ดังนั้น มันจึงแสร้งทำเป็นอาลัยรักตั๋งโต๊ะในที่แจ้งเช่นนั้นอย่างไม่กลัวเกรง เพราะคาดผิดว่า อ้องอุ้นจะยึดถือหลักคุณธรรมแบบขงจื้อ ย่อมไม่ทำร้ายคนที่แสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ และอาจจะเห็นแก่หน้าตาของมันที่เป็นระดับจ้าวลัทธิคนหนึ่งเช่นกัน อย่างมาก คงเป็นแค่ลงทัณฑ์สถานเบา หรือคาดโทษเอาไว้ก่อน
จึงน่าเสียดายวีรชนอย่างซัวหยงที่ยอมทนอัปยศ อยู่ร่วมคลุกคลีกับทรราชย์ เพื่อหาจังหวะช่วยชาติมาเนิ่นนาน แต่ไม่มีโอกาสทำการสำคัญใดๆ จนต้องพลอยมัวหมอง ถูกประจานให้ตกเป็นคนชั่วช้าของแผ่นดินไปตลอดกาล
แต่นับว่าโชคยังดีที่ซัวบุ้นกี ลูกสาววัยสาวแอบซุกซน หนีออกไปซื้อของในตลาดก่อน จึงหนีรอดจากการประหารชีวิตทั้งครอบครัวไปได้เพียงผู้เดียว ด้วยความช่วยเหลือของบัณฑิตหนุ่มไม่ทราบชื่อที่เพิ่งเข้ามาเป็นลูกศิษย์ในสังกัดซัวหยง จนนางสามารถลอบหลบหนีออกจากเมืองไปทางทิศเหนืออย่างรีบร้อน
ซัวบุ้นกีปลอมตัวเป็นหญิงงามเมือง นั่งปะปนอยู่บนรถม้าชาวบ้าน นึกเศร้าเสียใจต่อโชคชะตาที่วุ่นวายเพราะการเมือง ในใจ ครุ่นคิดถึงชายคนรักที่จากไปเนิ่นนานแล้ว แต่ยังพอได้ข่าวคราวอยู่บ้าง เป็นนักฆ่าชื่อดัง นาม โจโฉ ที่กำลังสร้างตัวอยู่ทางด้านตะวันออกนั่นเอง จึงคิดจะเดินทางไปพบกับคนรัก
เหยี่ยวดำแอบมองนักกวีสาวในอนาคตหนีรอดไปจากเมืองหลวงด้วยความรู้สึกซับซ้อนภายในใจ เรื่องราวการช่วยเหลือซัวบุ้นกีย่อมมิได้บรรจุอยู่ในภารกิจที่ได้รับมา หากแต่พอมันติดตามสถานการณ์บ้านเมือง รับรู้เภทภัยที่จะกล้ำกรายถึงหญิงสาว จึงอดมิได้ที่จะแอบมาตรวจสอบเหตุการณ์ และลงมือช่วยเหลือให้บัณฑิตหนุ่มเข้าไปอยู่ในตำแหน่งที่ถูกที่ถูกเวลา ทำให้ซัวบุ้นกีผ่านพ้นวิกฤตไปอย่างหวุดหวิด มิเช่นนั้น สาวน้อยคงมิพ้นต้องถูกย่ำยีจากเหล่าทหารโฉดเป็นแน่
มันหันกลับไปมองดูภายในจวนราชครูสกุลซัว บรรดาบัณฑิตค้างอาศัยและคนรับใช้ชายหญิงล้วนถูกกลุ่มทหารสังหารโหด เหยื่อการเมืองในช่วงกลียุคก็มักเป็นเช่นนี้ มักถูกทหารเลวทำร้ายแล้วฆ่าทิ้งกันเป็นเรื่องปกติ เพื่อไม่ต้องเสียแรงกวาดต้อนคนที่ไม่สำคัญ แต่สิ่งนี้กลับทำให้มันสะกดกลั้นอารมณ์ชิงชังไม่ได้ ต้องลงมือสังหารพวกกากเดนสังคมเป็นการตอบแทนไปบ้าง
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่มันแหกกฎเกณฑ์การย้อนอดีตโดยไม่แยแสผลกระทบ ความคิดที่ขาดการยับยั้งชั่งใจและไม่มีคุณธรรมตามยุคสมัยเป็นสิ่งที่มันยอมรับไม่ได้ ถึงแม้ว่า ลูกหลานของคนพรรค์นี้จะต้องหายสาบสูญไปจากโลกนี้บ้าง ก็ช่างหัวมันปะไร ภายหลัง คนมาตรวจสอบก็คงคาดเดาได้เพียงว่า เป็นการต่อสู้ป้องกันตัวของคนสกุลซัวเท่านั้น
...
วันหนึ่ง ในยามบ่ายแก่ เตียวเสี้ยนนั่งครุ่นคิดอยู่ในสวนด้านหลังบ้านแต่เพียงผู้เดียว หลังจากเกิดเหตุสังหารตั๋งโต๊ะสำเร็จ อ้องอุ้น ลิโป้ ช่วยกันกลบเกลื่อนเรื่องราว เปลี่ยนฉากการสังหารเป็นการต่อสู้ด้วยชีวิตระหว่างลิโป้กับตั๋งโต๊ะอย่างสง่างาม ลบล้างภาพการลอบทำร้ายของหญิงสาวออกไปจนหมดสิ้น นางจึงคล้ายเป็นเพียงเจ้าสาวที่ม่ายผัวกลางงานวิวาห์ และตัวหลอกเพื่อนำไปสู่แผนสังหารเท่านั้น
พออ้องอุ้นขึ้นมาเป็นผู้บริหารแผ่นดิน ยังคงทำตัวติดดิน กินอยู่อย่างสมถะเช่นเดิม ใช้เรือนพักรับรองตามตำแหน่งสมุหนายกเช่นเดิม ไม่เปลี่ยนย้ายไปไหน ทั้งๆที่พื้นที่บ้านคับแคบเก่าแก่ สวนหลังบ้านเองยังกลับกลายเป็นทางผ่านไปสู่ห้องหนังสือสร้างใหม่ภายในสวนลึกที่ถูกจัดเป็นห้องประชุมใหญ่ของขุนนางนายทหารในบางครั้งคราว
และแล้ว เตียวเลี้ยว นายทหารหนุ่มที่เสร็จจากการประชุมหารือกับอ้องอุ้น ผู้สำเร็จราชการคนใหม่ ในห้องหนังสือ จึงบังเอิญเดินมาพบนางเตียวเสี้ยน และคล้ายพูดคุยทักทายกันตามปกติ แต่เนื้อความกลับน่าตระหนกยิ่งนัก
“แม่นางน้อย ท่านผู้นำกริ่งเกรงว่าท่านจะลงมือเชื่องช้าเกินไป หากทอดเวลายาวนานไป ขั้วอำนาจใหม่อาจจะวางรากฐานเป็นปึกแผ่นขึ้นมาได้นะ” เตียวเลี้ยวกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มหยอกล้อ
ที่แท้ เตียวเลี้ยวก็คือ ดาวนักรบ หนึ่งในขุมกำลังสัตตดาราที่แฝงตัวอยู่ในสังกัดลิโป้นั่นเอง ส่วนเตียวเสี้ยน ก็คือดาวนางงาม ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว หากแต่ เตียวเสี้ยน ที่จริง คือ เตียวเฟิง (วายุ) ที่ควรจะเป็นแซ่เตียวเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ แต่ถูกแปรเปลี่ยนเป็น “เตียวเสี้ยน” แซ่เตียวที่มีสำเนียงแตกต่างออกไป ด้วยเหตุผลเช่นเดียวกันกับ”เตียวจูล่ง”ของเตียวหยุน (เมฆา) ผู้เป็นพี่ชายบุญธรรม
เตียวหยุน – เตียวเฟิง คือ เมฆาและวายุ กลายเป็นสองทายาทคนโปรดของประมุขพรรคฟ้าเหลือง เตียวก๊ก เมื่อผนวกกับ เตียวหุย (เฟย – จีนกลาง) โบยบิน ลูกบุญธรรมคนแรกเริ่มที่เป็นดาวร่ำรวยอันดับห้า จึงรวมกันเป็น เมฆา-วายุ-โบยบิน สามผู้ค้ำจุนชะตาของพรรคฟ้าเหลืองแล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่ “โบยบิน” กลับเป็นต้นเหตุทำให้พรรคฟ้าเหลือง กลายเป็น “ร่วงหล่น” ไปเสียได้
“ท่านแม่ทัพ เหตุการณ์ฆ่าตั๋งโต๊ะนั้นกระชั้นเกินไป ลิโป้กับพวกก็ลงมือได้รวดเร็วเกินไป จนความวุ่นวายยังไม่ทันเกิดขึ้นก็จบสิ้นแล้ว ราษฎรก็ยังไม่ทันเกิดผลกระทบอันใด เราจึงเห็นว่าควรรอให้ฝ่ายลิฉุยกุยกียกทัพกลับมาลงมือก่อน พวกเราจึงจะมีข้ออ้างในการเคลื่อนไหวกองทัพได้ ตอนนี้ ท่านจงควบคุมกองกำลังไปก่อน รอคอยจังหวะเวลาก่อนเถิด” เตียวเสี้ยนตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน “และคอยจับตาดูลิซกกับตันก๋งไว้ให้ดี พวกมันอาจมีเบื้องหลังแอบแฝงอยู่”
เตียวเลี้ยวรับคำก่อนประสานมืออำลา พลางครุ่นคิด “ลางสังหรณ์ของอิสตรีเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ยากจะประเมินได้ เตียวเสี้ยนก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นเช่นนั้น จึงคาดเดาตันก๋งและลิซกออกมาได้ แต่ดีที่นางลืมคิดถึงคนใกล้ตัวอย่างเราไป”
ที่แท้ เตียวเลี้ยวก็มีเบื้องหลังแอบแฝงอยู่เช่นกัน เพียงแต่ว่ามันอยู่ฝ่ายใดกันแน่?
... 
ที่จริงแล้ว ในเมื่ออ้องอุ้น ลิโป้ สามารถปราบจอมทรราชย์ตั๋งโต๊ะ ล้มล้างขั้วอำนาจชั่วร้ายได้แล้วนั้น ราชวงศ์ฮั่นควรหวนคืนสู่ความสุขสงบ เจ้าเมืองที่ตั้งตนเป็นอิสระ สมควรทะยอยกลับคืนมาสู่อำนาจรัฐบาลเช่นเดิมได้ตามปกติ หากแต่ ภายในราชสำนักกลับเกิดเหตุการณ์ซ้ำซ้อนขึ้นมา ทำให้ความวุ่นวายไม่จบสิ้นเพราะการแตกความสามัคคีจากส่วนกลางโดยแท้
ยามนั้น กษัตริย์เหี้ยนเต้ในวัยสิบห้าปี ยึดถือตนเองเป็นลูกศิษย์ราชครูซัวหยง คิดเห็นในแนวทางม่อจื้อเป็นสำคัญ นึกขุ่นเคืองใจในการสังหารราชครูโดยพละการ ทำให้ไม่พึงพอใจในการกระทำของอ้องอุ้นนัก อีกทั้ง ลิโป้ เองก็ยังเข่นฆ่าขุนนางนายทหารที่ตนเองสนิทสนมคุ้นเคยไปมากมาย จนครุ่นคิดต่อไปว่า สองพ่อตาลูกเขยก็คงสุมหัวกันทำการหยาบช้าไม่น้อยไปกว่าตั๋งโต๊ะในอดีต
ในสายตาของกษัตริย์น้อยวัยเยาว์แล้ว สองขุนนางผู้ใหญ่นี้ ยิ่งมายิ่งแสดงอำนาจบาตรใหญ่ คล้ายเลียนแบบเส้นทางของจอมทรราชย์คนเดิม สุดท้าย กษัตริย์เหี้ยนเต้จึงไม่ให้ความร่วมมือต่อสองขุนนางผู้ใหญ่ ถึงกับแสดงอาการตอบโต้คนทั้งสองในที่สาธารณะ ทำให้อ้องอุ้นต้องอาศัยอำนาจผู้สำเร็จราชการ ควบคุมตัวเหี้ยนเต้ไว้แต่ในราชสำนัก ไม่ต้องออกมาพบปะขุนนางนายทหารในท้องพระโรงอีกต่อไป เพื่อลดทอนความขัดแย้งในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านอำนาจทางการเมือง
ความคิดของอ้องอุ้นนั้น เชื่อมั่นในคำประเมินของลิซกที่ว่า ฝ่ายตนยังอ่อนด้อยเรื่องการทหาร อีกทั้งฝ่ายตั๋งโต๊ะเองก็ยังมี ลิฉุย กุยกี หวนเตียว สามมฤตยูที่ยังลอยนวลอยู่ ทำให้สถานการณ์การเมืองยังไม่ปลอดภัยอย่างแท้จริง ดังนั้น ขุนพลลิโป้จึงเป็นดั่งอาวุธวิเศษที่ใช้ในการยึดอำนาจกองทัพเอาไว้ จำต้องยอมกล้ำกลืนละเลยความชั่วช้า สุมหัวกันกับคนพาล เพื่อก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไปก่อน
แต่การกระทำเช่นนี้ ย่อมเป็นดาบสองคม ขุนนางนายทหารที่เป็นลูกศิษย์สายม่อจื้อของซัวหยง นับตั้งแต่เอียวปิด เอียวปิว ลงมา ย่อมมองเห็นสถานการณ์เช่นนี้เป็นการกระทำที่เลวร้าย ภาพลักษณ์ที่ไม่โปร่งใสชัดเจนของอ้องอุ้นที่ออกหน้าปกป้องลิโป้มากเกินไป ทำให้สองพี่น้องสกุลเอียวกลายเป็นหัวหอกในกลุ่มต่อต้านการเปลี่ยนแปลง และยังได้ขุนพลตังสิน พี่ชายสนมตังกุยฮุย ที่รั้งตำแหน่งเป็นหัวหน้าองครักษ์วังหลวง เป็นตัวประสานไปถึงตัวยุวกษัตริย์ด้วย
เอียวปิด เอียวปิว เป็นพี่น้องตระกูลขุนนางเก่าแก่ ตังสินสนิทสนมใกล้ชิดกับผู้มีอิทธิพลสูง มักถือตัวว่าเป็นคนรุ่นใหม่ในวงการการเมือง มีความคิดเห็นขัดแย้งกันกับคนหัวเก่าอย่างอ้องอุ้นอยู่เนืองๆ ทั้งที่มีแนวทางรักชาติ หวังดีต่อแผ่นดินเฉกเช่นกัน หากแต่เลือกวิธีการแตกต่างกัน จึงถ่วงดุลย์ขัดขากันเอง โดยเฉพาะความเห็นต่อภาพลักษณ์ของลิโป้ คนเลวร้ายในสายตาของแวดวงสังคมชั้นสูง
เพียงแค่ภายในเมืองหลวงยังซับซ้อนแตกแยกถึงเพียงนี้ พวกเจ้านครทั้งหลายจึงมีเพียงจำนวนน้อยมากที่ยินยอมรับฟังคำสั่งจากทางการ ส่วนใหญ่ต่างพากันรั้งรอดูท่าทีความชัดเจนของผู้ปกครองแผ่นดินกลุ่มใหม่ ทอดเวลาส่งเครื่องบรรณาการไปอีกสักระยะหนึ่ง ทำให้ท้องพระคลังเตียงอันเริ่มขาดแคลนเสบียงอาหาร และเงินทองสำหรับใช้จ่ายไปแล้ว
อ้องอุ้น อายุมากโขแล้ว อีกทั้งคุ้นเคยกับการบริหารงานปกติ ไม่เคยเผชิญกับวิกฤตศรัทธาเช่นนี้มาก่อน พอต้องหักโหมทำงานหนักหน่วง เลยพาลล้มหมอนนอนเสื่อ เจ็บป่วยเรื้อรัง ได้แต่พึ่งพาลิโป้ ลิซก ให้ช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ออกไปมากยิ่งขึ้นไปอีก
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา