23 ก.พ. 2021 เวลา 01:45 • ประวัติศาสตร์
พ.ศ.2328 ณ ท้องพระโรง พระบรมหาราชวัง
"การข่าวจากกองลาดตระเวณเเจ้งเข้ามาว่า พระเจ้าปดุง ทรงเตรียมการยกทัพใหญ่เข้ามาหลายทัพหลายทาง พวกมันคงจะหวังทุ่มกำลังไพร่พลซึ่งมีจำนวนมากกว่าเรา เข้าหักเอาพระนครในครานี้"
1
"ส่วนทัพที่ยกเข้ามาหลายทางนั้นก็คงต้องการจะทำให้ทางเราคิดอ่านอย่างห่วงหน้าระวังหลังจนทำให้จัดรูปทัพไม่เป็นกระบวนในการรับศึกครานี้เป็นเเน่ พระพุทธเจ้าข้า"
1
"กรมพระราชวังบวร ทรงตรัสต่อ สมเด็จพระเชษฐา"
ท่านนายกอง อุปนิกขิตของฝ่ายเราที่เข้าไปฝังตัวอยู่ในหมู่ศัตรู ตั้งเเต่สมัยเเผ่นดินกรุงธนบุรีนั้น เเจ้งความอันใดเกี่ยวกับเเผนการศึกของศัตรูในคราวนี้มาได้บ้าง คงจะมากโขอยู่ เพราะเข้าไปฝังตัวกับพวกพม่ารามัญอยู่นานหลายปี
"สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสถามต่อนายกองลาดตระเวณข่าว"
อุปนิกขิต ข้างของเราซึ่งเป็นเชื้อสายรามัญนั้นได้สามารถฝังตัวเข้าไปเป็นถึงฝ่ายวางเเผนในกองทัพของข้าศึกได้เลยทีเดียวพระพุทธเจ้าข้า ทำให้สามารถรู้ถึงเเผนตื้นลึกหนาบาง จำนวนไพร่พล เเม่ทัพ รวมถึงเส้นทางเดินทัพของอ้ายพวกศัตรูมันได้มากโขอยู่ พระพุทธเจ้าข้า
1
"นายกองลาดตระเวณได้ถวายรายงานการข่าวเบื้องต้นเเก่พระเจ้าอยู่หัวในที่ประชุม"
การข่าวที่เเม่นยำนี่เเหละที่จะเป็นตัวตัดสินชี้ชะตาการศึกใหญ่ครั้งนี้ของพวกเรา"
ท่านนายกอง ข้าขอขอบใจท่านมากที่เร่งนำข่าวสำคัญนี้มาเเจ้งเเก่พระเจ้าอยู่หัวเเละตัวข้าโดยไม่เห็นเเก่เหน็ดเเก่เหนื่อยให้ทันท่วงที ทำให้เรามีเวลาตระเตรียมเเผนการในการรับมือข้าศึกเเต่ต้นมื้อ ท่านเดินทางมาไกลคงจะเหนื่อยมาก
ท่านจงไปชำระล้างตัวพักผ่อนสักชั่วยามเถิด ส่วนข้าจะรายงานข่าวการศึกนี้ที่ท่านเร่งนำมาทั้งวันทั้งคืน เเก่พระเจ้าอยู่หัวเเลบรรดาเหล่าเเม่ทัพนายกองด้วยตนเอง
1
สมเด็จกรมพระราชบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงตรัสสั่งให้นายกองลาดตระเวณผู้นี้ไปพักผ่อน เนื่องด้วยได้ทรงรับรายงานการข่าวนี้มาเเล้ว ท่านจึงต้องการที่จะชี้เเจ้ง วิเคราะห์ เเละ วางเเผนร่วมกับสมเด็จพระเชษฐาเเละเหล่าเเม่ทัพนายกองในที่ประชุมคราวนั้นด้วยพระองค์เอง
2
สมเด็จกรมพระราชบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงประทับยืนอย่างองอาจ สง่างาม เเละเเจ้งข่าวการศึกที่ได้รับมาเเก่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเเละบรรดาเเม่ทัพนายกองในที่ประชุมดังนี้
สงครามครั้งนี้พระเจ้าปดุงได้ยกทัพมาถึง 9 ทัพ รวมกำลังพลมากถึง 144,000 นาย โดยแบ่งการเข้าโจมตีพวกเราเป็น 5 ทิศทาง
ทัพที่ 1 ได้ยกมาตีหัวเมืองทางปักษ์ใต้ตั้งแต่เมืองระนองจนถึงเมืองนครศรีธรรมราช
ทัพที่ 2 ยกเข้ามาทางเมืองราชบุรีเพื่อที่จะรวบรวมกำลังพลกับกองทัพที่ตีหัวเมืองปักษ์ใต้แล้วค่อยเข้าโจมตีกรุงรัตนโกสินทร์
ทัพที่ 3 เข้ามาทางหัวเมืองฝ่ายเหนือตั้งแต่เชียงแสน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตีตั้งแต่หัวเมืองฝ่ายเหนือลงมาสมทบกับทัพที่ 9 ที่ยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมา เพื่อตีเมืองตาก กำแพงเพชร พิษณุโลก นครสวรรค์
ทัพที่ 4-7 ยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ แล้วไปที่ลาดหญ้าของเมืองกาญจนบุรี มาสมทบกับทัพที่ 8
ทัพที่ 8 เป็นทัพหลวงพระเจ้าปดุงเป็นผู้คุมทัพ โดยมีกำลังพลมากที่สุดถึง 50,000 นาย ยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์เพื่อรอสมทบกับทัพเหนือ และใต้โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเข้ารบกับกรุงเทพฯ
ทัพที่ 9 เข้ามาทางด่านแม่ละเมา แม่สอด
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าทรงเป็นยอดเสนาธิการชำนาญศึก เมื่อได้รับรายงานการข่าวท่านจึงสามารถคิดอุบายในการรับศึกครั้งนี้ได้ในทันที
"ข้าศึกมีกำลังมากมายก็จริงเเต่เเยกกันยกเป็นหลายทัพหลายทางมาเยี่ยงนี้ ก็มีจุดอ่อนคือทำให้ทัพที่มีกำลังกล้าต้องอ่อนเเรงลงมากเช่นกัน เนื่องจากการจัดทัพกระจัดกระจายไม่รวมกันเป็นหนึ่งกำลัง
จึงไม่เเข็งกล้า ด้วยยกเข้ามาหลายทิศหลายทางกำลังไม่รวมกันติด ทำให้พวกเรายังพอมีช่องที่จะเอาชนะพวกมันได้อยู่ จากการที่พระเจ้าปดุงทรงจัดเป็นทัพน้อยกระจายมาหลายทางเยี่ยงนี้"
"อุบายในการเอาชนะข้าศึกในครั้งนี้นั้นมีอยู่ เเต่พวกเจ้าทั้งหลายต้องกระทำการอย่างรัดกุม เเละจะพลาดพลั้งเสียทีไม่ได้เป็นอันขาด หากพลาดพลั้งไปเพียงสักนิดเเผ่นดินของพวกเราที่อุตสาหะร่วมกันกู้ขึ้นคงจะดับสูญในครานี้"
1
ทัพหลวงของพระเจ้าปดุง คงหมายใจที่จะยกเข้าจู่โจมพระนครอย่างรวดเร็วจึงยกเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นทางที่เร็วที่สุดในการเข้าตีเมืองเราเช่นดังครั้งกรุงศรีอยุธยา เเลทัพอื่นที่ยกเข้ามาอีกสี่ทาง คงตั้งใจจะลวงให้ทัพไทยเราสับสน เเละตีตัดกำลังเก็บเสบียงทางหัวเมืองฝ่ายเหนือเเละทางใต้ไปในทีด้วย หากเเต่การข่าวฝ่ายเราสามารถล่วงรู้ถึงเเผนการของข้าศึกได้มากถึงเยี่ยงนี้
1
"โอกาสในการชนะศึกคราวนี้ยังพอมีอยู่เเน่นอน"
"ท่านวังหน้า ตอนนี้ไพร่พลทหารสังกัดในทุกกรมกองของเรามีสักประมาณเท่าใดหรือ"
"จากรายงานล่าสุดไพร่พลเราสามารถรวบรวมได้ ประมาณ 70,000 เศษ พระพุทธเจ้าข้า สมเด็จกรมบวร ทรงถวายรายงานจำนวนไพร่พล"
"น้อยกว่าพวกมันถึงครึ่งเชียวรึนี่" พระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งด้วยความครุ่นคิด
"เเต่หากว่าทัพเราเข้าชิงชัยภูมิ ตรงทุ่งลาดหญ้าไว้ได้ก่อนที่ทัพหน้าของพระเจ้าปดุงจะไหลบ่าลงมาจากเเนวเขา เราก็จะสามารถตั้งค่ายปิดล้อมพวกมันไว้ได้ หากไอ้หัวโพกผ้ามันอยากจะตีหักลงมาเราก็จัดทัพเข้าปะทะยันพวกมันให้ถอยกลับไปบนเเนวเขาจนไม่สามารถเคลื่อนทัพผ่านลงมาได้ เเละหากเราสามารถชนะทัพหลวงของพระเจ้าปดุงได้ที่ทุ่งลาดหญ้า หลังจากนั้นเราจึงค่อยสามารถไล่ตีทัพข้าศึกที่เหลือหลังจากนั้นต่อไปได้ พระพุทธเจ้าข้า"
1
สมเด็จกรมบวร ทรงถวายความเห็นอุบายการศึกต่อพระเจ้าอยู่หัว
1
ข้าเห็นด้วยกับอุบายนี้ของเจ้า ท่านวังหน้า เเต่เราไม่มีกำลังไพร่พลเพียงพอที่จะรับทัพข้าศึกศัตรูที่ยกเข้ามาพร้อมกันทุกทิศทางได้
ดังนั้นการวางเเผนเเบ่งกำลังพลเเละทิศทางในการรับทัพข้าศึกจึงต้องรัดกุมเเละสามารถชิงชัยภูมิที่เป็นต่อให้ได้ในทุกสมรภูมิก่อนข้าศึกศัตรู
ทางหลักที่พวกมันจะบุกเข้ามามีอยู่ 3 ทิศ คือ ทางตะวันตก ทางเหนือ เเละทางใต้ ต้องรักษาทางหลักไว้ไม่ให้พวกมันจู่โจมเข้าถึงตัวพระนครได้โดยรวดเร็ว
เเผนของข้าคือจัดกองทัพออกเป็น 4 ทัพ
ทัพที่ 1 ให้ยกไปรับทัพพม่าทางเหนือที่เมืองนครสวรรค์ ข้าขอบัญชาให้กรมหลวงอนุรักษ์เทเวศน์ ท่านวังหลัง เป็นเเม่ทัพคุมกำลังพล 15,000 คน เพื่อสกัดทัพข้าศึกที่ยกมาจากเชียงเเสนเเละด่านเเม่ละเมา
ทัพที่ 2 ให้ยกไปรับพม่าทางด้านพระเจดีย์สามองค์ ข้าขอบัญชาให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเป็นแม่ทัพ คอยไปรับทัพหลวงของพระเจ้าปดุงที่เข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ให้ถือกำลังพลหลัก 30,000 คน
1
ทัพที่ 3 ให้ยกไปรับทัพพม่าที่จะมาจากทางใต้ที่เมืองราชบุรีเพื่อสกัดข้าศึกที่ด่านบองตี้ ข้าขอบัญชาให้เจ้าพระยาธรรมมา เเล พระยายมราช เป็นเเม่ทัพ ถือกำลังพล 5,000 นาย
ทัพที่ 4 ทัพหลวงกำลังพล 20,000 นาย ข้าจะเป็นผู้คุมทัพ เมื่อทัพใดเพลี้ยงพล้ำต่อข้าศึกศัตรู ข้าจะคอยเป็นกำลังหนุนเเก้ไขให้ในทันท่วงที
เวลาไม่คอยท่าเเล้ว พวกท่านเหล่าเเม่ทัพขุนศึกจงเร่งจัดทัพไพร่พลออกไปป้องกันบ้านเมืองเเลไพร่ฟ้าของเราตามเเผนการณ์ที่ได้วางไว้เถิดอย่าช้าที อย่าให้พวกมันตีฝ่าเเนวรับทุกทางลงมาได้ ข้าจะคอยประสานการข่าวกับพวกท่านทุกทัพอยู่ที่พระนคร
ข้าขออำนวยอวยชัยให้พวกท่านทั้งหลายมีชัยเหนือเหล่าอริราชศัตรู ขอคุณพระศรีรัตนตรัย พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง เทวดาอารักษ์พระนคร จงปกปักษ์รักษาพวกท่านด้วยเถิด
เหล่าเเม่ทัพนายกองถวายบังคมลา รีบเร่งออกไปจัดเเต่งทัพตามเเผนการที่ได้รับสั่งจากสมเด็จพระเจ้าอยู่ เเต่ก่อนที่กรมบวรจะเสด็จเดินออกจากท้องพระโรงที่ประชุมนั้น สมเด็จพระเชษฐาได้ทรงเรียกพระอนุชาของพระองค์
โดยมีรับสั่งเป็นการส่วนพระองค์ว่า การศึกในครานี้สมรภูมิทุ่งลาดหญ้าที่ทัพของเจ้าจะไปรบนั้นจะเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายให้เเก่เเผ่นดิน พี่ขอฝากภารกิจสำคัญที่สุดของเเผ่นดินครานี้ให้เเก่เจ้าด้วยนะ
1
"บุญมา"
สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงถวายบังคมลาพระเจ้าอยู่ เเละทรงเปล่งพระสุรเสียงอันหนักเเน่นห้าวหาญว่า
"หากข้าพเจ้ายังมีลมหายใจอยู่ อ้ายข้าศึกศัตรูอย่าหมายที่จะได้ยึดครองเเผ่นดินเเลเอาคนของเราไปรับใช้เป็นข้าทาสได้พระพุทธเจ้าข้า"
2
หลังจากนั้นจึงทรงรีบเสด็จดำเนินออกจากท้องพระโรง ไปจัดเเต่งดูเเลกองทัพทั้ง 3 ทัพที่ได้รับมอบหมายงานศึกให้เรียบร้อยตามหลักยุทธพิชัยสงคราม
ภาพบรรดาเหล่าชายหนุ่มหลายคนในห้วงเวลานั้นที่เพิ่งเริ่มเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่ม เข้าสวมกอดพ่อเเม่ญาติพี่น้องของตน เพื่อไปทำหน้าที่รักษาเเผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอน
บ้างก็ได้ดาบจากบรรพบุรุษ ได้ตะกรุด ได้ยันต์ป้องกันตน ได้ผ้าสไบจากคนรักของตน รวมถึงเสบียงอาหารที่ครอบครัวเตรียมไว้ให้ติดตัวไประหว่างออกศึก
1
พวกคนหนุ่มในเวลานั้นเค้าคงอยากกอดช่วงเวลาเหล่านี้ให้นานที่สุด เพื่ออยู่กับครอบครัวของพวกเค้าให้มากกว่านี้ เพราะทุกคนรู้ดีอยู่เเก่ใจ ว่านี้อาจเป็นวาระสุดท้ายของตนที่จะได้เห็นหน้าคนที่ตนรักที่สุด เเต่เพื่อบ้านเมืองเเละเพื่อคนที่อยู่เบื้องหลังที่เค้ารักพวกเค้ายอมเเลกด้วยชีวิตของตนได้
เมื่อทัพกำลังพลหลัก 30,000 คนที่ต้องออกไปทางด่านพระเจดีย์สามองค์โดยมีกรมพระราชวังบวรเป็นจอมทัพได้จัดเเต่งทัพพร้อมเพรียงในครั้งนั้นเเล้ว
สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาทได้ทรงอาชางามสง่าองอาจ ออกตรวจเเถวกองทหารทั้งหมด เมื่อทรงตรวจความเรียบร้อยของกองทัพทั้งหมดเเล้วจึงทรงหยุดม้า เเล้วทรงมีรับสั่งเเก่เหล่าทหารทั้งปวงว่า
"เหล่าทหารกล้าของข้าทั้งหลาย บัดนี้ได้เวลาอีกคำรบนึงเเล้วที่พวกเจ้าทุกคนจะต้องร่วมกันออกรบปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนอันเป็นที่รักของพวกเรา เพื่อไม่ให้อ้ายข้าศึกศัตรูมาทำอันตรายย่ำยีครอบครัวเเลคนที่เรารักรวมถึงพระนครเเห่งใหม่ที่พวกเราร่วมกันกอบกู้ด้วยอุตสาหะขึ้นมาได้อีกครั้ง"
"ข้าไม่สัญญาว่าพวกเจ้าทุกคนจะมีชีวิตรอดกลับมาหาครอบครัวของเจ้าหรือไม่ เพราะข้าก็ไม่เเน่ใจชีวิตของข้าเองเช่นกัน เเต่การศึกครั้งนี้หากพวกเจ้าเเละข้ารวมเเรงรวมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเราจะสามารถปกป้องเเผ่นดินเเละคนที่เรารักทุกคนได้อย่างเเน่นอน ข้าเชื่อเช่นนั้น"
"มาเถิดเหล่าทหารกล้าของข้าทั้งหลายตามข้ามา เลือดทุกหยดที่จะไหลรินในการศึกครานี้คือเลือดที่จะหลอมรวมรักษาเเผ่นดินนี้ไว้ให้เเก่ลูกหลานของพวกเจ้าสืบต่อไปในภายภาคหน้า"
เหล่าทหารกล้าโห่ร้อง ฮึกเหิม ห้าวหาญ พร้อมสู้ตายเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกับองค์จอมทัพวังหน้าเเห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในครานั้นทัพของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงมุ่งหน้าออกจากกรุงรัตนโกสินทร์เข้าสู่ทิศตะวันตกเพื่อรับศึกใหญ่กับทัพหลวงของพระเจ้าปดุงในสงครามที่จะตัดสินชะตากรรมของกรุงรัตนโกสินทร์..............
2

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา