Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
10 เม.ย. 2021 เวลา 01:07 • นิยาย เรื่องสั้น
3.9. เผชิญหน้าผู้ยิ่งใหญ่
ม้าเฉียว ขุนพลหัวสิงห์ - เจ้าพระยาปราบอุดร โจโฉ - กาเซี่ยง กุนซือเงาปีศาจ
เมื่อถึงเวลาอันสมควร เหล่าทายาทต่างแยกย้ายกันไปตามเส้นทางของแต่ละคน สุมาอี้กับตันฮกออกเดินทางกลับไปเมืองฮูโต๋ทางเหนือ ลกซุนกับบังทองร่วมทางกลับไปเมืองต๋องง่อทางใต้
คงเหลือแต่สุมาเต๊กโชกับขงเบ้ง ฮองเย่อิง เพียงสามคน นั่งจิบน้ำชาสนทนาถึงสถานการณ์บ้านเมืองกันในสวนดอกไม้หลังบ้าน
"ตอนนี้ โจโฉแข็งแกร่งด้วยจำนวนทหารที่ได้มาจากทางเหนือ แต่ก็เป็นภาระหนักหนาสาหัส จะละทิ้งก็ไม่ได้ จะเก็บไว้ก็สิ้นเปลือง จึงมีแต่ต้องหาทรัพย์สินเพิ่มเติมโดยเร็ว เขตแดนทางใต้นี้ พืชผลอุดมสมบูรณ์ เศรษฐกิจมั่นคั่ง จึงเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุด จากนั้น ค่อยกลับไปจัดการกับหัวเมืองทางตะวันตกต่อไป การที่เล่าเปียวยุติการโจมตีสามด้าน นับเป็นการปล่อยโอกาสทองให้หลุดลอยไปเสียแล้ว" ขงเบ้งกล่าวสรุป "เมื่อหัวเมืองทั้งหลายไม่อาจสามัคคีกัน ก็จักถูกโจมตีทำลายไปทีละกลุ่มๆโดยง่าย สุดท้าย โจโฉคงได้ชัยชนะเหนือคนทั้งปวง"
"เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครจะเป็นผู้ขัดขวางแผนการของโจโฉได้เล่า" เย่อิงถาม
"หลังจากสิ้นอ้วนเสี้ยวไปในศึกกัวต๋อ ตัวเลือกก็เหลือไม่มากแล้ว เล่าเปียว เล่าเจี้ยง เปราะบางเกินไป ตัดสินใจไม่เด็ดขาด ทั้งๆที่เป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ไร้ความเป็นผู้นำ คนรุ่นใหม่อย่างซุนกวน ม้าเฉียว แม้โดดเด่น แต่ยังอายุน้อย ขาดบารมี ไม่อาจจูงใจคนทั่วไปให้เข้าร่วมได้มากนัก
จึงเหลือแต่เล่าปี่คนเดียวที่มีชื่อเสียงและประสบการณ์พอจะเทียบเคียงกับโจโฉได้ อีกทั้งมีขุนพลมีฝีมืออย่าง กวนอู เตียวหุย จูล่ง อยู่ในสังกัด เพียงแต่เล่าปี่ยังขาดไร้เมืองใหญ่ให้เป็นฐานอำนาจ และกุนซือนักกลยุทธ์ที่เก่งกาจเท่านั้น" ขงเบ้งอธิบาย
"แต่ข้างกายมันมีประมุขพรรคสัตตดาราแฝงอยู่ เกรงว่าพร้อมจะทรยศได้ตลอดเวลา มิใช่หรือ" สุมาเต๊กโชแย้ง เพื่อรับฟังความคิดเห็น มากกว่าจะต้องการรู้อย่างจริงจัง อีกทั้งยังหลีกเลี่ยงใช้ชื่อจริงของผู้นำพรรค
"ดังนั้น จึงถึงเวลาที่ข้าน้อยจะต้องออกจากหุบเขาแล้ว เมื่อมีข้าน้อยคอยกำกับฝ่ายเล่าปี่เอาไว้ พรรคฟ้าเหลืองคงทำการอันใดมิได้ถนัด ใครตาม ข้าอยู่ ใครขวาง ข้าตาย" ขงเบ้งตอบอย่างรู้ทันว่า กำลังถูกทดสอบแนวคิดจากอาจารย์
"ให้เวลาเป็นบทพิสูจน์เถิด" สุมาเต๊กโช-อินทรี หัวร่ออย่างโล่งใจที่แผนของขงเบ้งตรงตามใจคิด เพราะมันรู้ว่า โจโฉกำลังวางแผนร่วมกับชัวมอ บดขยี้เล่าปี่ให้สิ้นซาก หากขงเบ้งเข้าร่วมทัพอยู่ด้วย ก็จะพลอยถูกฆ่าอย่างงมงายไปพร้อมกัน เพียงแต่เตียวหุย นางแอ่น อาจจะต้องยุ่งยากลำบากบ้างแล้ว
นี่แสดงว่า อินทรีหวังจะพิฆาตขงเบ้งให้ตายกลางสนามรบแล้วหรือ?
...
เมื่อสุมาเต๊กโชจากไปแล้ว ขงเบ้งขบคิดถึงหมากก้าวต่อไป อาศัยช่วงเวลาที่ชื่อเสียงของตนยังไม่ปรากฏมากนัก สมควรชิงเก็บเกี่ยวข้อมูลเบื้องลึกในดินแดนฝ่ายตรงข้ามด้วยตนเอง โดยเริ่มต้นที่ขุมกำลังใหญ่สุด เมืองหลวงฮูโต๋เป็นลำดับแรก จึงใส่ชุดนักศึกษา ออกเดินทางตามลำพัง ไม่ให้เป็นที่สังเกตของผู้คน
ภายหลังจากที่มหาอุปราชโจโฉได้ชัยชนะจากมหาศึกกัวต๋อ และสงบศึกชนเผ่าชายแดนฝั่งเหนือได้แล้ว เมืองหลวงฮูโต๋เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง ผู้คนคล้ายเริ่มคุ้นเคย เกิดความเชื่อมั่นศรัทธาต่อรัฐบาล ภายใต้การนำของโจโฉแล้ว
เมื่อสภาพเศรษฐกิจฟื้นคืน ฮกอ้วน สมุหนายกจึงทำเรื่องเสนอต่อองค์กษัตริย์ ขอจัดสร้างที่ทำการใหญ่แห่งใหม่ของสำนักหอสมุดใต้หล้าขึ้นที่เมืองหลวง ตามรอยความสำเร็จที่ขงหยง ผู้นำลัทธิ สามารถดำเนินการไว้เป็นตัวอย่างที่เมืองเกงจิ๋วบ้าง หวังจะให้เป็นศูนย์กลางทางการศึกษาแทนที่แห่งเดิม และออกนโยบายใหม่ระดมทุนทรัพย์ เพื่อยกระดับสถานะการคลัง เป็นการจ่ายเงินเบิกทางสู่ตำแหน่งราชการ คนที่พร้อมจ่ายเงินจึงจะผ่านเข้าสู่ระบบคัดกรองขั้นต่อไปได้
กระแสการเมืองสายวิชาการจึงคุกรุ่นทั่วทั้งท้องตลาดร้านค้า เหล่าบัณฑิตนักศึกษาที่มีเงินทอง ล้วนตื่นตัว หลั่งไหลเข้ามาเยี่ยมเยือนนครหลวง หวังแสวงหาตำแหน่งลาภยศให้กับตนเอง ซึ่งเป็นหนทางหนึ่งที่ระบบขงจื้อภายใต้การควบคุมของผู้นำขงหยงและพวกพ้อง ให้การยอมรับอย่างเปิดเผย
ช่วงยากลำบากที่ผ่านมา ผู้คนเรียนรู้ถึงความยากลำบากของการหาเลี้ยงชีพผ่านกลียุค พอพบพานบรรยากาศสดใส มองเห็นตำแหน่งขุนนางมีอนาคตมั่นคง จึงเกิดกระแสนิยมหันมาสนใจเข้ารับราชการกันมากขึ้น แต่ข้อเสียก็คือ ถูกจำกัดอยู่แค่กลุ่มคนรวยมีฐานะที่สามารถจัดหาเงินทองมาสนับสนุนตนเองเท่านั้น คนไม่มีเงินซื้อตำแหน่งก็ยากจะเบียดเสียดผ่านระบบเช่นนี้เข้ามาได้
เมื่อโจหอง เทพเสริมส่ง หนึ่งในขุนพลจตุรเทพ พบเห็นการเติบโต และช่องทางการใช้เงินเบิกทางของคนสายบุ๋น จึงส่งเสริมคนสายบู๊ให้มีทางเลือกในทำนองเดียวกันบ้าง โดยให้เข้มงวดเรื่องความสามารถควบคู่กันด้วย จึงยังคงระบบทดสอบพลังยุทธ์อยู่เป็นด่านคัดกรอง ทำให้เงินทองสะพัดผ่านมือมากมาย และช่วยส่งเสริมให้กองทัพรัฐบาลสกุลโจแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขงเบ้งพบพานระบบการคัดกรองเช่นนี้ เป็นเหมือนดั่งการใช้เงินทองซื้อตำแหน่ง ทำให้รู้สึกชิงชังอยู่บ้าง หากแต่ก็ต้องยอมรับว่า เป็นหนทางที่กระตุ้นเศรษฐกิจการเงินได้ดีจริงๆ หากเลือกนำมาใช้เพียงระยะสั้น ก็แล้วไป ไม่สมควรยึดติดยาวนาน และต้องหาทางสนับสนุนกลุ่มคนยากจน แต่มีความรู้ความสามารถ มาถ่วงดุลย์ด้วย
นอกจากนั้น ขงเบ้งกลับได้ประโยชน์ที่พบเห็นจุดอ่อนจุดแข็งของกองทัพพยัคฆ์เสือดาวอันเลื่องชื่อโดยบังเอิญ เพราะระยะหลัง แฮหัวตุ้น สมุหกลาโหม สั่งนำทหารมาฝึกปรือกำลังพลในลานกว้างข้างกำแพงเมืองหลวง เป็นมาตรการสร้างความมั่นใจในกองทัพรัฐบาล ทำให้มีราษฎรหลากหลายอาชีพจับกลุ่มยืนดูได้อย่างเปิดเผย มันจึงพลอยแทรกตัวยืนดูอยู่อย่างสนใจตามไปด้วย
"ท่านบัณฑิต สูงสง่าผ่าเผย ดูสนใจในกองทัพทหารยิ่งนัก ไม่ทราบมีชื่อเสียงว่ากระไร" เสียงทุ้มหนักดังขึ้นจากเบื้องหลัง
ขงเบ้งหันกายกลับไปพบเจ้าของเสียงเป็นชายวัยกลางคน ร่างเล็ก ไว้หนวดเครายาว เริ่มมีสีขาวประปราย ท่าทางภูมิฐาน อยู่ในชุดคหบดี ด้านหลัง มีทั้งกุนซือบัณฑิต และองครักษ์ร่างใหญ่ยืนกำกับอยู่ พร้อมผู้ติดตามอีกกลุ่มใหญ่ เกรงว่า จะเป็นผู้ทรงอิทธิพลในเมืองหลวง หรือว่า มันคือคนผู้นั้น
ขงเบ้งจึงกล่าวตอบไปตามมารยาทว่า "ข้าน้อยแซ่ขง ชื่อเบ้ง เป็นเพียงนักศึกษาต่างถิ่นที่เข้ามาเปิดหูเปิดตาในเมืองหลวงเท่านั้นเอง ไม่ทราบว่าท่านคหบดีคือ..."
เสียงฝีเท้าม้าหลายตัวดังเข้ามาใกล้ ขงเบ้งหันกลับไปดู เห็นเป็นเหล่าขุนพลนักรบที่ดูแลการฝึกสอนเมื่อครู่ กำลังควบม้าตรงเข้ามาอย่างเร่งร้อน ในใจคิดทบทวน "หรือว่าร่องรอยของเราถูกเปิดเผยเสียแล้ว"
มันรีบกระชับพัดขนนก ล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ กระชับอาวุธลับ พร้อมกวาดตาดูทางหนีทีไล่รอบๆด้าน เตรียมจะชิงลงมือจู่โจมก่อน
แต่แล้ว เหล่าขุนพลกลับชักม้าให้หยุดก่อนที่จะถึงตัว และกระโดดลอยตัวลงจากหลังม้า สายตามองข้ามเลยไป ราวกับไม่เห็นมันอยู่ในสายตา และก้าวเดินผ่านมันไปทางด้านหลัง ทรุดลงคุกเข่าให้กับคหบดีร่างเล็กคนนั้น “คารวะท่านเจ้าพระยาปราบอุดร ขออภัยที่มาต้อนรับช้าไป"
เป็น โจโฉ ผู้ดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราช และครองบรรดาศักดิ์ชั้นเจ้าพระยาปราบอุดร ลอบมาตรวจกองทหารจริงดั่งที่คาดคิด
ขงเบ้งยิ่งไม่กล้าทำตัวโดดเด่นเกินไป รีบทรุดตัวหมอบคุกเข่าไปพร้อมกันกับชาวบ้านทั้งหลายที่ยืนอยู่บริเวณใกล้เคียง ปล่อยให้โจโฉกับเหล่าขุนพลขุนนางเดินผ่านเข้าไปตรวจกองทหารอย่างองอาจ
แต่แล้ว กุนซือบัณฑิตมีอายุที่อยู่ข้างกายโจโฉ พลันกระซิบสั่งความให้องครักษ์ร่างท้วมใหญ่เดินย้อนกลับมาหามันอีกครั้ง พร้อมกับขุนพลอีกคนที่มีสายหนังคาดปิดตาข้างหนึ่งไว้
"ท่านเจ้าพระยาเชิญท่านขงเข้าไปพบเป็นการส่วนตัว" องครักษ์ร่างใหญ่ ซึ่งก็คือ เคาทู เอ่ยขึ้นตรงหน้า ในขณะที่ขุนพลตาเดียว แฮหัวตุ้น อ้อมไปทางด้านหลัง คล้ายจะปิดเส้นทางหลบหนีของขงเบ้ง
ขงเบ้งประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ขืนเข้าไปพบโจโฉ ก็เท่ากับเดินเข้าสู่วงล้อมแน่นหนายิ่งไปกว่านี้ แต่ถ้าชิงหลบหนีในทันที ยังมีเพียงสองคนตรงหน้าที่ต้องลงมือเท่านั้น
มันจึงประสานมือคารวะคล้ายดั่งคล้อยตามคำสั่ง แต่ลอบหยิบเอาก้อนกลมเล็กสีดำในแขนเสื้อสองลูก เหวี่ยงลงบนพื้นเบื้องหน้า กลายเป็นกลุ่มควันหนาทึบสีดำ ส่งกลิ่นฉุนเฉียว ครอบคลุมไปทั้งบริเวณโดยเร็ว จนชาวบ้านแตกตื่นวุ่นวาย วิ่งหนีกันจ้าละหวั่น
กองทหารรีบจัดคนล้อมวงคุ้มกันโจโฉไว้ตามมาตรการอารักขาผู้นำ ส่วนเคาทู แฮหัวตุ้นรีบมองหาขงเบ้ง โดยมีอิกิ๋ม งักจิ้น วิ่งมาสมทบ แต่บุคคลต้องสงสัยนั้น กลับหายสาบสูญไปแล้ว
สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ คือ ระเบิดหมอกควัน ที่คล้ายคลึงกับสิ่งประดิษฐ์พิสดารของลกซุน อีกหนึ่งผลงานการสร้างสรรค์ของฮองเย่อิง ตามแบบร่างในตำราของชนเผ่าโบราณ สามารถหยิบฉวยวัตถุดิบมาจัดทำได้ไม่ยุ่งยากนัก ซ้ำยังสามารถพลิกแพลงให้มีส่วนผสมของสมุนไพรที่ส่งกลิ่นเผ็ดร้อน แสบจมูกอีกด้วย
เมื่อขงเบ้งพบเห็นภาพร่างสิ่งประดิษฐ์ในตำราโบราณ คล้ายคลึงกับของเล่นที่เคยพบเห็นลกซุนใช้อยู่ จึงเร่งให้ภรรยาจัดทำขึ้นมาบ้าง เผื่อต้องใช้ในยามคับขัน นึกไม่ถึง กลับได้ใช้ในการเดินทางครั้งแรกนี้เลย
ฉับพลัน ชายหนุ่มในชุดชาวประมงโพกผ้าที่เมื่อครู่กำลังขายปลาสดอยู่ด้านหลังกลุ่มคน อาศัยเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายนั้น กระชากเอาทวนเหล็กที่ซ่อนอยู่ภายในไม้คาน พุ่งเข้าหาโจโฉ พร้อมยื่นทวนยาวแทงไปข้างหน้าหมายเอาชีวิตในกระบวนท่าเดียว
หากแต่ลิเตียน อีกหนึ่งองครักษ์ ใช้อาวุธคู่มือขัดขวางไว้ แต่ยังทานกำลังไม่อยู่ ดีที่เคาทูกับแฮหัวตุ้นกระโดดเข้ามาเสริมได้ทัน ทำให้มือสังหารโดนขุนพลมือดีสามคน และเหล่าทหารล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา
นายทหารระดับรองลงไปบางคนที่เคยผ่านศึกม้าเท้งหันซุย จดจำใบหน้าได้ รีบตะโกนบอกต่อๆกัน "เป็นม้าเฉียวแห่งเสเหลียง"
พอคำร่ำร้องก้องดังขึ้น เป็นดั่งสำนวน “ชื่อของคน เงาของไม้” ม้าเฉียวนับเป็นขุนพลหนุ่มมาแรงในยุคสมัย แทบจะไร้เทียมทานในฝั่งเหนือ ทำให้การต่อสู้แบบสามรุมหนึ่งของมันกับแฮหัวตุ้น เคาทู ลิเตียน กลายเป็นจุดสนใจขึ้นมาในทันที
หากแต่การต่อสู้โจ่งแจ้ง ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ลอบสังหาร นักฆ่าจึงกู่ร้องส่งสัญญาณ ผู้คนในอาชีพต่างๆทั้งพ่อค้า ขอทาน บัณฑิต ชาวนา นักพรต ที่ยืนกระจัดกระจายอยู่ในบริเวณนั้น กลับเปิดเผยอาวุธแตกต่างกันจากข้าวของเครื่องใช้ข้างกาย วิ่งมาช่วยแก้ไขมือสังหารคนแรกออกจากวงล้อม และพากันหลบหนีออกไปจากประตูเมืองทันที โดยมีกองทหารกลุ่มใหญ่วิ่งไล่ตาม ปิดฉากการลอบสังหารที่ล้มเหลวไปอย่างรวดเร็ว
โจโฉมองดูความเปลี่ยนแปลง นึกชมเชยกาเซี่ยง กุนซือคนสนิทที่ระแวงสงสัยคนแปลกหน้าพลัดถิ่นคนแรกนั้น จนทำลายแผนการลอบสังหารกลางเมืองหลวงโดยบังเอิญ พลางจดจำชื่อเอาไว้ "ขงเบ้ง มันเป็นฝ่ายใดกันแน่ และกลุ่มคนพวกนี้เป็นใคร ใช่เป็นพวกตระกูลม้าจริงหรือ"
กาเซี่ยง คือกระตั้ว หนึ่งในพวกปักษาสวรรค์ เมื่อกระทำการหักหาญต่อขงเบ้งเช่นนี้ แสดงว่า ขงเบ้งถูกหมายหัวแน่นอนแล้วกระมัง?
...
เมืองหลวงเกิดความสับสนวุ่นวายระลอกใหญ่ ข่าวร่ำลือกันว่ากลุ่มมือสังหารคือม้าเฉียวและพวกตระกูลม้าแห่งเสเหลียงคิดกำจัดโจโฉ เมื่อล้มเหลวจึงเดินทางกลับไปฐานที่มั่นแล้ว เหลือแต่ บัณฑิตหน้าขาวนามว่า ขงเบ้ง ที่ร่วมก่อการ อาจจะยังตกค้างอยู่ในเมืองหลวง
กองทหารเมืองหลวงจึงทั้งตั้งด่านปิดประตูเมือง หวังสกัดจับ ทั้งตรวจค้นตามบ้านเรือนต่างๆ อย่างเข้มงวดเคร่งครัด จนดูโกลาหลไปทั้งเมือง ร่ำลือกันว่า หมันทอง เจ้าเมืองคนล่าสุด คงต้องหลุดจากตำแหน่ง เพราะปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ลอบสังหารกลางเมืองหลวงบ่อยครั้งเกินไปแล้ว
…
ช่วงเวลาต่อมา รถม้าหรูหราสีดำสนิท สลักเป็นรูปนกยูงสีทองแดงรำแพนหางคันหนึ่งสามารถผ่านด่านสกัดออกนอกเมืองได้โดยสะดวก ปราศจากการตรวจค้น จนห่างไกลไร้ผู้คนข้างทางแล้วค่อยหยุดยั้งลง สารถีลงมาเปิดประตู มีบุรุษหนุ่มชุดลำลองก้าวออกมายืนสองคน เป็นสุมาอี้ เต่าสมถะ กับขงเบ้ง มังกรซ่อน
สุมาอี้เริ่มบทสนทนาขึ้นก่อน "ส่งน้องสี่เพียงแค่นี้ พวกม้าเฉียวก่อการลอบสังหารกลางเมืองจนวุ่นวาย โชคดีที่ท่านอาตันก๋ง ซึ่งเป็นผู้ดูแลการก่อสร้างปราสาทนกยูงทองแดงนอกเมือง ได้จัดการส่งรถม้าประจำตัวคันนี้มาให้ข้าได้ใช้กับงานเร่งด่วน และเตียวเลี้ยว ที่เป็นพรรคพวกเดียวกัน ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลรักษาประตูเมืองอยู่ด้วย จึงหลุดรอดผ่านเส้นทางด่านสกัดที่เข้มงวด ออกมาได้โดยง่าย"
ที่จริง ยามนี้ คนอื่นจะเรียกขานตันก๋งเป็นตันกุ๋นตามคำสั่งของโจโฉมานานแล้ว หากแต่พวกทายาทมังกรเองยังติดปากเรียกขานในชื่อเดิมอยู่
"ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ช่วยเหลือ เสียดายที่โจโฉพบเห็นตัวข้าเสียก่อน จึงยังไม่ได้เที่ยวชมความงามของเมืองหลวงเลย" ขงเบ้งตอบ
"อยากดูสิ่งสวยงาม ก็จงแวะไปดูปราสาทนกยูงทองแดง บ้านหลังใหม่ของโจโฉ กับท่านอาตันก๋งเถิด หลังศึกกัวต๋อที่โจโฉได้รับบรรดาศักดิ์ขั้นเจ้าพระยา ก็มีสิทธิ์ให้สร้างปราสาทที่พักใหม่ได้ มันเลยเร่งระดมพลเกือบครึ่งค่อนกองทัพให้ปราชญ์สร้างสรรค์ อ้วนยู มาสร้างปราสาทขึ้นที่นอกเมืองทางเหนือ โดยมีรูปหล่อนกยูงทองแดงเป็นสัญลักษณ์ประดับ เล่าขานว่า นกยูงเป็นสิ่งของพระราชทานสืบทอดของตระกูลขุนนางอันเก่าแก่ แต่บางคนกลับร่ำลือ นกยูงนั้นแฝงความหมายถึงหญิงงามในใจคนใดของโจโฉผู้มากรัก"
ขงเบ้งจากไปแล้ว สุมาอี้เหม่อมองจนลับสายตา พลางคิดในใจ "น้องสี่มีความสัมพันธ์ใดกับพวกตระกูลม้ากันแน่ ตัวมันตกอยู่ในเหตุการณ์อย่างประจวบเหมาะจนเกินไป จนไม่น่าเชื่อว่า นี่คือเรื่องบังเอิญตามที่มันบอก ระเบิดหมอกควันที่ใช้ก็ดูสอดคล้องกับการลงมือทำร้ายยิ่งนัก”
จากเหตุการณ์พิสดารที่เกิดขึ้นในหุบเขามังกรซ่อน ทำให้สุมาอี้เริ่มหวาดระแวงต่อศิษย์ผู้น้องคนนี้บ้างแล้วเช่นกัน รอยแตกร้าวของเหล่าทายาทมังกรนั้นเป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป
พลันมีเสียงเล็กๆดังมาจากรถม้า "ท่านอาจารย์ เพื่อนบัณฑิตของท่านจะไปที่ใดแล้ว ตกลงว่าพวกท่านชอบบทกลอนที่ข้าท่องให้ฟังเมื่อสักครู่นี้หรือไม่ขอรับ"
สุมาอี้กลับเข้ามาในรถม้า แล้วแสร้งเปลี่ยนเรื่อง "สิดน้อย ตื่นแล้ว เจียงน้อยเล่า?”
"ยังหลับอยู่ขอรับ" สิดน้อย หรือ โจสิดในวัยเจ็ดแปดปี ตอบอย่างฉะฉาน
"เดี๋ยวเราไปเที่ยวที่ปราสาทนกยูง แล้วช่วยกันแต่งกลอนจารึกเพิ่มเติมให้ช่างสลักตกแต่งประดับปราสาทของท่านเจ้าพระยากันดีไหม"
โจสิดไม่ตอบคำอีก แต่สีหน้าแสดงความดีใจอย่างชัดเจน พลางนึกแต่งบทกลอนชมเชยสาวงามอยู่ในใจ เลียนแบบบทกลอนของท่านพ่อบ้าง แต่มิทราบ เหตุไรจึงเห็นใบหน้าของพี่สะใภ้ เอียนซี ลอยเด่นขึ้นมา จนหน้าแดงวูบ ลืมเลือนเรื่องสหายแปลกหน้าของท่านอาจารย์ไปหมดสิ้น แตกต่างจากโจเจียงร่างอ้วนท้วมที่ยังนอนหลับนิ่งเป็นท่อนไม้ ไม่รู้เรื่องราวใดตั้งแต่ต้นจนจบด้วยความไร้เดียงสาของวัยเด็ก
…
กลับมาทางฝ่ายเล่าปี่ที่สูญเสียตันฮกไปในครั้งนั้น ก็รุ่มร้อนใจ ครุ่นคิดถึงการเสาะหาตัวขงเบ้งอยู่ตลอดมา แต่เตียวหุยก็คอยย้ำเตือนเสมอว่า การเชื้อเชิญนักกลยุทธ์ระดับสูงเช่นนั้น ต้องเป็นการเดินทางไปด้วยตนเอง ไม่อาจแค่ส่งคนถือหนังสือไปบอกกล่าว ทำให้เล่าปี่ใช้เวลาเตรียมตัว และสำรวจเส้นทางไปอีกพักใหญ่
จนเวลาผ่านไปพอสมควร เล่าปี่สามพี่น้องจึงจัดเตรียมขบวนทหารมากมาย ขี่ม้าเดินทางมาเยือนถึงหมู่บ้านในหุบเขามังกรซ่อนอย่างเอิกเกริก เพื่อเชื้อเชิญขงเบ้ง จอมปราชญ์ตามแผนที่ที่ตันฮกให้ไว้
จูกัดจิ๋น หัวหน้าหมู่บ้านทราบความก็ออกมาต้อนรับ พลางกล่าวเสียใจ เพราะขงเบ้งออกเดินทางไกลไปต่างเมือง โดยไม่มีกำหนดกลับ ทั้งหมดจึงต้องเดินทางกลับไปด้วยความผิดหวังในครั้งแรก แต่กลับทำให้ทั้งสามรับรู้ว่า จูกัดเป็นสกุลเดิมของขงเบ้ง เป็นจูกัดเหลียง เจ้าของฉายา มังกรซ่อน
หลายวันต่อมา เมื่อเล่าปี่ได้ยินข่าวการลอบสังหารโจโฉโดยขงเบ้ง ทายาทผู้นำลัทธิขงจื้อกับม้าเฉียวแห่งเสเหลียง ยิ่งทำให้สนใจเลื่อมใสในปณิธานของขงเบ้งมากยิ่งขึ้น จึงชักชวนน้องทั้งสองให้ไปเชื้อเชิญกุนซืออีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ลดจำนวนคนลงเหลือเพียงทหารองครักษ์สิบกว่าคน เพื่อไม่ให้เป็นการเอิกเกริกเกินไป เพราะเตียวหุยเตือนว่า ขงเบ้งมีคดีอาญาติดตัว อาจจะจงใจหลบเลี่ยง
แม้ว่าครั้งที่สองนี้ จะเจรจาจนผ่านด่านจูกัดจิ๋นไปได้ แต่ก็ไม่พบขงเบ้งอีกเช่นเคย เพราะคนในบ้านแจ้งว่า ขงเบ้งยังไม่กลับมา แต่ส่งข่าวแจ้งว่า เดินทางผ่านต่อไปยังต่างเมืองอีกแห่งหนึ่งเสียแล้ว คราวนี้ เล่าปี่จึงได้แต่ฝากจดหมายเชื้อเชิญไว้ให้พร้อมทิ้งคำพูดไว้เป็นการลับว่า “บิดาท่าน จูกัดกุ๋ย เป็นสหายกับเรา”
...
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 3 - มังกรจ้าวบูรพา
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย