Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
12 เม.ย. 2021 เวลา 16:07 • นิยาย เรื่องสั้น
3.10. คู่ปรับคนสำคัญ
จิวยี่ เสาหลักแห่งกังตั๋ง - กำเหลง มังกรพิโรธ - จิวท่าย ภูษาเหล็ก
ณ เมืองชีสอง บรรยากาศบ้านเมืองร่มรื่นคึกคักแทบจะใกล้เคียงกับเมืองหลวงฮูโต๋ ความที่ไม่ต้องพบพานเภทภัยทุกข์ยากมากนักด้วยว่า ปลอดจากสงครามวุ่นวายมานาน ทำให้ผู้คนสุขสบาย กลายเป็นสังคมสันติสุขที่ช่วยเหลือเผื่อแผ่ให้กันมากกว่าเมืองเหนือที่ดูจิตใจจะแข็งกระด้าง แก่งแย่งเอาเปรียบกันเมื่อมีโอกาส
สถานที่ตั้งค่ายทหารใหญ่และอู่ต่อเรือสำคัญของขุมกำลังกังตั๋งเป็นจุดเด่นตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าเมือง พลันปรากฏชายหนุ่มไว้หนวดในชุดบัณฑิตสีขาว มือถือพัดขนนกโบกไปมา หยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้าประตูค่าย มองดูความเคลื่อนไหวของเหล่าทหารบนเรืออย่างสนใจ
ที่จริง ก็ไม่ใช่ภาพแปลกตาที่จะมีคนทั่วไปหยุดยืนดูกองทหารเช่นนั้น หากแต่ครั้งนี้ นายทหารร่างกำยำฝั่งกังตั๋งกลับนำพลธนูหลายสิบคนออกมาเรียงแถวง้างธนูเตรียมยิงใส่แล้ว ทำให้กลายเป็นฉากที่ผู้คนรอบข้างหันมาจับตามองอยู่ห่างๆ
"ท่านแม่ทัพใหญ่เชิญท่านขงเบ้งไปพบเป็นการส่วนตัว" นายทหารคนแรกนาม จิวท่าย อดีตแกนนำโจรสลัดทะเลใต้ ประกาศด้วยเสียงอันดัง
บัณฑิตหนุ่มขยับกายคล้ายจะประสานมือ คล้ายตั้งใจใช้ระเบิดหมอกควัน ลูกไม้เดิมที่เคยใช้ในเมืองหลวง แต่จิวท่ายร้องห้ามไว้ "หยุดก่อน ท่านแม่ทัพใหญ่สั่งไว้ ห้ามท่านขยับมือเปะปะโดยเด็ดขาด" พลางส่งสัญญาณให้พลทหารข้างกายเข้าไปจับกุมตัว มันหันกายหมายหลบหนี แต่พลทหารนั้นกลับเคลื่อนไหววูบ ก็ประชิดตัวใช้ดาบพาดใส่ลำคอไว้แล้ว
"เราคือกำเหลง ฉายามังกรพิโรธ ดาบนี้จะไม่ปรานีใคร" พลทหารท่าทางธรรมดา กลับกลายเป็นขุนพลชื่อดังแห่งกังตั๋งไปได้ แสดงว่า ท่านแม่ทัพใหญ่คงเตรียมการวางแผนไว้อย่างดี ถึงกับสั่งความให้ขุนพลคนสำคัญปลอมตัวมาให้ตายใจ ขงเบ้ง นักกลยุทธ์ผู้อื้อฉาว จึงพลาดท่าเอาง่ายๆเช่นนี้
...
เสียงพิณกู่เจิ้งอันไพเราะดังออกมาจากห้องหนังสือของจิวยี่ ฉายาขุนพลสำอาง แม่ทัพใหญ่ หนึ่งในสี่เสาหลักแห่งกังตั๋ง บรรยากาศที่พักดูรื่นรมย์สงบเงียบ ประดับตกแต่งต้นไม้หลากสีสัน บ่งบอกถึงจิตวิญญาณที่สุนทรีย์ ราวกับกระท่อมปลีกวิเวกของนักปราชญ์มากกว่าจะเป็นที่บัญชาการของจอมทัพ
กำเหลง จิวท่าย นำตัวขงเบ้งที่ถูกพันธนาการด้วยเชือกอย่างแน่นหนาเข้ามาภายในห้อง สิ่งของเครื่องใช้ รวมถึงของเล่นพิสดารในแขนเสื้อ และตามร่างกาย ถูกเก็บริบไปวางไว้บนโต๊ะด้านข้างจนหมดสิ้น ไม่เว้นแม้แต่พัดขนนกเล่มน้อย แล้วค่อยให้พลทหารที่ตามมา ปลดเชือกมัดออก ซึ่งนับว่า สองอดีตโจรสลัดให้เกียรติกับผู้ต้องสงสัยที่ไร้ชื่อเสียงมากแล้ว
ในที่สุด กำเหลงจึงผายมือเชื้อเชิญให้ขงเบ้งเข้าไปพบจิวยี่ได้แล้ว ขงเบ้งก้าวเข้าไปเผชิญหน้ากับจิวยี่ โดยมีกำเหลง จิวท่าย และพลทหารสองสามคนติดตามทางด้านหลัง เป็นการเฝ้าระวังการหลบหนี
แม่ทัพใหญ่วัยสามสิบเศษผู้มีชื่อเสียง ที่กำลังเพลิดเพลินกับการบรรเลงเพลงกู่เจิ้งให้กับสาวงามด้านข้าง โดยมีนายทหารท่าทางองอาจและกุนซือหนุ่มน้อยที่ร่ำลือเรียกขานกันว่า “หนึ่งบู๊ หนึ่งบุ๋น” ยืนประกบอยู่ด้านข้าง
จิวยี่ เดิมทีเป็นหนึ่งในสี่คุณชายเมืองหลวง และเป็นบุตรชายของจิวจง อดีตเจ้าเมือง ย่อมมีฐานะสูงส่งมาตั้งแต่เด็ก เมื่อย้ายลงมาช่วยซุนเซ็กที่แดนใต้ กลายเป็นหนึ่งในเสาหลักด้านบู๊ จนเริ่มมีอายุมากขึ้น จึงต้องการสร้างทายาทสืบทอด คัดเลือกเอาขุนนางนายทหารรุ่นใหม่ที่มีแววโดดเด่นขึ้นมาสองคน นามว่า เล่งทอง ลกซุน เรียกหาเป็น “หนึ่งบู๊ หนึ่งบุ๋น” เพื่อเป็นผู้ช่วยติดตามงานในรายละเอียด และเป็นองครักษ์ข้างกายไปพร้อมกัน
หลังจากบรรเลงดนตรีต่อเนื่องไปอีกพักใหญ่ จิวยี่ค่อยหยุดมือ แย้มยิ้มให้กับสาวงาม ซึ่งคงจะเป็นเสียวเกี้ยว ผู้เป็นภรรยา แล้วค่อยหันหน้ามาสำรวจขงเบ้งด้วยสายตาที่คมกริบเป็นเวลาเนิ่นนาน จนผู้มาเยือนเริ่มมีอาการสั่นสะท้านขึ้นเล็กน้อย
"เจ้าไม่ใช่ขงเบ้ง" จิวยี่กล่าวด้วยเสียงเย็นชา "กำเหลง จิวท่าย เจ้าพลาดแล้ว"
กำเหลง จิวท่าย มองหน้ากันอย่างงุนงง ในขณะที่ ร่างกายของ"ขงเบ้ง" เริ่มสั่นไหว รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คล้ายจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
"ตั้งแต่มันก้าวเข้ามา เสียงลมหายใจกระชั้นถี่ เหงื่อซึมหน้าผาก กระพริบตาไม่หยุดนิ่ง ไม่ใช่บุคลิกของยอดคนที่ได้รับฝึกฝนมาอย่างดีแม้แต่น้อย" จิวยี่เฉลย พลางเดินเข้ามาพิจารณากลุ่มพลทหารที่ติดตามเข้ามาด้วยตั้งแต่เมื่อครู่ โดยไม่แยแสสนใจต่อ “ขงเบ้ง” ที่ทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความตื่นกลัว
จนสังเกตพบพลทหารผู้หนึ่งที่ลอบมองเลยผ่านไปทางด้านหลังของมันวูบหนึ่ง เป็นตำแหน่งที่ซึ่งเสียวเกี้ยว องครักษ์เล่งทองและกุนซือลกซุนยืนนิ่งอยู่ มันจึงค่อยเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย "ที่แท้ เจ้าก็ซ่อนตัวอยู่นี่เอง"
"ได้ยินท่านบรรเลงบทเพลงกว่างหลิงส่านพัฒนาจากแบบฉบับดั้งเดิมของท่านราชครูซัวหยงด้วยพิณกู่เจิ้งได้อย่างไพเราะลื่นไหล จังหวะเพลงรุนแรงเร่าร้อนแฝงไว้ด้วยปณิธานห้าวหาญ กร้าวแกร่ง แสดงถึงจิตใจที่แน่วแน่ของผู้กล้าหาญ แตกต่างไปจากต้นฉบับที่แพร่หลาย ข้าน้อยจึงได้แต่นิ่งฟังด้วยความนับถืออย่างสุดซึ้งใจแล้ว” ทหารชั้นผู้น้อยกล่าวตอบอย่างฉะฉาน
…
บทเพลงกว่างหลิงส่านเป็นบทเพลงโบราณอันโด่งดังที่ราชครูซัวหยง ผู้นำลัทธิม่อจื้อได้นำมาเรียบเรียงขึ้นใหม่ โดยแฝงความนัยทางการเมือง เพราะดั้งเดิมนั้นเป็นเนื้อหาที่สหายสายปราชญ์รำลึกถึงวีรกรรมของมือสังหารไร้ชื่อเสียงจากสมัยเลียดก๊ก ที่ลอบสังหารผู้นำแคว้นหานได้สำเร็จ แล้วลงมือทำลายใบหน้าตัวเองก่อนฆ่าตัวตาย เพื่อไม่ให้เภทภัยลามไปสู่ครอบครัวญาติมิตร
เมื่อการเสียสละที่หนักหน่วงเช่นนั้น กลับล่วงรู้ถึงหูของญาติใกล้ชิดทางเบื้องหลัง กลับยินยอมสารภาพรับความผิด แต่ไม่ยอมให้ชื่อเสียงของคนตายหายสาบสูญ นักฆ่าเนี่ยเจิ้งจึงถูกเปิดเผยตัวตน และกลายเป็นนิทานอมตะเรื่องหนึ่งในยุคสมัยนั้น ส่วนบทเพลงกว่างหลิงส่านที่ถูกประพันธ์ขึ้นโดยมิตรสหายผู้รู้ใจก็กลายเป็นบทเพลงโด่งดังในหมู่บัณฑิตหัวรุนแรงเช่นเดียวกัน
ในครั้งนั้น ซัวหยงตั้งปณิธานยิ่งใหญ่ จำยอมรับใช้ทรราชย์ตั๋งโต๊ะ เพื่อรอคอยโอกาสเช่นกัน จึงได้แต่เรียบเรียงบทเพลงนี้ขึ้นมาใหม่ คล้ายจะระบายความคับแค้นในใจออกมาบ้าง แต่สุดท้าย ทำงานไม่สำเร็จ กลับถูกสมุหนายกอ้องอุ้น ผู้นำลัทธิขงจื้อที่เป็นคู่อริกันทางแนวความคิด สั่งประหารชีวิตล้างตระกูล เหลือไว้แต่บทเพลงเลื่องชื่อที่ถูกดัดแปลงขึ้นใหม่นี้ที่ยังคงแพร่หลายในสังคมชั้นสูงต่อไป
บทเพลงกว่างหลิงส่านยังคงถูกบรรเลงแทบทุกวัน แต่วีรชนผู้กล้ากลับจากลาไปเนิ่นนานแล้วด้วยความคับแค้นใจ น้อยคนจะเข้าถึงในปณิธานที่แฝงเร้น
หากเปิดใจรับฟังทำนองดนตรีที่เปลี่ยนแปลง บทเพลงกว่างหลิงส่านของซัวหยงนั้นถูกพัฒนาให้แตกต่างไปจากเดิม ขับเน้นความลุ่มลึกอดทน แทนที่ความรันทดอัดอั้น แต่ยังคงนำเสนอด้วยพิณกู่ฉินที่ถือเป็นจ้าวแห่งพิณบรรเลงอยู่ เสมือนกับยึดติดในกรอบสังคมที่ยกย่องความสูงศักดิ์เป็นสำคัญ
ครั้งนี้ การที่จิวยี่นำเสนอด้วยรูปแบบที่แตกต่าง ซ้ำยังจงใจนำพิณกู่เจิ้งมาบรรเลงแทนที่จะใช้สุดยอดแห่งพิณกู่ฉินจึงเป็นการแสดงให้เห็นจิตใจที่เปิดกว้าง ไม่ยึดติดแบบแผนตายตัว จนสามารถก้าวผ่านกำแพงแห่งดนตรีศาสตร์ไปได้อีกขั้นหนึ่ง สมกับคำร่ำลือว่าจิวยี่นับเป็นอัจฉริยะแห่งดนตรีศาสตร์คนหนึ่ง
ที่จริง จิวยี่เคยใช้ชีวิตวัยเยาว์อยู่ในวงการชนชั้นสูงที่เมืองหลวง ช่วงเวลาเดียวกันกับที่ซัวหยงรับราชการอยู่ ดังนั้น การพบปะแลกเปลี่ยนความรู้ด้านดนตรีแบบสหายลืมวัยย่อมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในหมู่ปัญญาชนที่มีรสนิยมตรงกัน
…
สายตาของจิวยี่ส่องประกายวูบหนึ่ง มันบรรเลงบทเพลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าในดินแดนกังตั๋ง ยากจะหาผู้คนเข้าใจในทำนองและความนัยที่ซ่อนเร้น แต่“พลทหาร”ตรงหน้ารับฟังเพียงครั้งเดียว กลับถ่ายทอดเรื่องราวได้ครบถ้วน คู่ควรให้คบหาเป็นสหายรู้ใจในศาสตร์ดนตรีได้เลย จึงเอ่ยปากชมเชย “ไม่เลว ไม่เลว”
พลทหารพลันประสานมือ กล่าวตอบด้วยจังหวะเนิบช้า น้ำเสียงก้องกังวาน พร้อมก้าวออกมาจากกลุ่ม ประสานสายตากับจิวยี่อย่างไม่ยอมแพ้ต่อกัน พลางถอดชุดทหารออก ภายในยังคงเป็นชุดบัณฑิตสีขาวอีกแล้ว “ขงเบ้งคือนามที่เรียกขาน มังกรซ่อนคือสมญาของข้าน้อย”
กำเหลงจิวท่ายขยับตัวหมายจับกุม แต่ถูกจิวยี่ยกมือห้ามปรามไว้ ปล่อยให้พลทหารค่อยๆถอดหนวดเคราปลอมออก เดินไปหยิบข้าวของต่างๆบนโต๊ะกลับคืนใส่อกเสื้อตนเองจนหมด พร้อมหยิบพัดขนนกมาโบกอย่างเคยชิน สุดท้าย จึงกลายเป็นบัณฑิตหน้าขาวนาม ขงเบ้ง อาชญากรแผ่นดินจากเมืองหลวงคนล่าสุด
"ท่านแม่ทัพใหญ่ให้เกียรติข้าน้อยมากแล้ว นับแต่เข้าใกล้เขตแดน ก็ได้พบเห็นสายสืบหลายคนคอยจับตาค้นหาคนชื่อขงเบ้ง ข้าน้อยเลยส่งมอบขงเบ้งให้กับพวกมัน แล้วค่อยลอบปะปนเข้ามาในค่ายแห่งนี้อีกหนทางหนึ่ง"
จิวยี่กวาดตามองขงเบ้งอย่างละเอียด พลางกล่าว "สมแล้วที่เป็นยอดอัจฉริยะแห่งยุค นอกจากภูมิปัญญารอบรู้ และความลึกซึ้งในศาสตร์ดนตรีแล้ว นรลักษณ์ของเจ้า ก็ถือว่าประเสริฐล้ำเลิศ แต่น่าเสียดายที่มีพื้นดวงอาภัพ มักขัดแย้ง หรือทำร้ายเจ้านายตัวเอง อีกทั้ง ร่างกายยังมีพิษร้ายสะสมเรื้อรัง บั่นทอนสุขภาพโดยรวม หากข้าจะช่วยแก้เคล็ด ล้างอาถรรพ์ แต่งตั้งให้เจ้าเป็นกุนซือผู้ช่วยข้างกายเรา เจ้าจะยินดีรับใช้ขุมกำลังกังตั๋งหรือไม่"
ขงเบ้งยิ้ม ซ่อนความตระหนกในฝีมือการดูโหงวเฮ้ง และวิเคราะห์โรคภัยของจิวยี่ พลางตอบกลับ "ในเมื่อท่านแม่ทัพใหญ่ให้ความกรุณาเช่นนี้ ข้าน้อยก็มิกล้าอ้อมค้อม ดินแดนกังตั๋งนี้มีคนเก่งคนมีความสามารถมากมายเกินไปแล้ว ตำแหน่งกุนซือในสำนัก เกรงว่าจะไม่เหมาะกับข้าน้อยแล้ว"
"เช่นนั้นแล้วเจ้ามีความคิดเห็นประการใด"
"เชื้อเชิญท่านแม่ทัพใหญ่ร่วมมือกับข้าน้อย ต่อต้านทรราชย์โจโฉ"
"แผนการเป็นเช่นไร"
"กลยุทธ์ห่วงโซ่สัมพันธ์ ล่อเสือออกจากถ้ำ แล้วปิดประตูจับโจร สังหารให้หมดสิ้นในคราเดียว"
"น่าสนใจ ต้องการให้เราเตรียมการอะไร"
"เตรียมน่านน้ำใหญ่ ใช้ไฟเผาทำลายกองทัพร้อยหมื่น”
“แล้วเจ้าเล่า”
“กางตาข่ายกวาดล้าง ไม่ให้หนีรอดกลับเมืองหลวง”
จิวยี่มองหน้าขงเบ้งนิ่ง แล้วค่อยๆเน้นคำ "ขงเบ้ง หากเจ้าทำได้จริง ข้าจะยอมยกเมืองเกงจิ๋วให้เจ้าใช้สักสามปี"
สองนักกลยุทธ์ชั้นนำปรึกษากัน ถึงกับมองข้ามหมากกระดานไปหลายขั้น ขงเบ้งยังไม่ทันมีสังกัด จิวยี่ก็มองออกว่าเจ้านายคนนั้นน่าจะเป็นใคร ขงเบ้งไม่ทันเอ่ยปากต่อรอง จิวยี่กลับใช้เมืองเกงจิ๋วเป็นรางวัลล่อใจ ราวกับเห็นพวกคนแซ่เล่าเป็นหุ่นไล่กาไปแล้ว
ในทางกลับกัน ขงเบ้งก็ประเมินได้ว่า สิ่งที่จิวยี่กังวลเป็นที่สุด คือ โจโฉ และกองทัพร้อยหมื่น เพียงเอ่ยประโยคเดียวจึงดึงดูดความสนใจของจิวยี่ได้สำเร็จ โดยไม่ต้องเสียเวลาอธิบายในรายละเอียด
สิ่งที่ทั้งสองคนเข้าใจตรงกันคือ ความแข็งแกร่งของกองทัพร้อยหมื่นคือปัญหาสำคัญที่เกินกว่าเล่าเปียวหรือกองกำลังอื่นใดจะทานไหวในช่วงเวลานี้ แต่หากปล่อยให้โจโฉก้าวผ่านเมืองเกงจิ๋วมาลงน่านน้ำที่พวกนั้นไม่ชำนาญการรบ และไม่อาจแสดงพลังแสนยานุภาพได้เท่ากับสมรภูมิบนพื้นดิน จนถูกทำลายย่อยยับได้แล้ว ปัญหายุ่งยากก็จะหมดไป และการบุกยึดเมืองเกงจิ๋วกลับคืนในภายหลังก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นกระไรเลย
...
บทสนทนาจบลงในเวลาอันสั้น ขงเบ้งจากไปแล้ว กำเหลงจึงถามจิวยี่ "ท่านแม่ทัพใหญ่ เช่นนี้จะไม่เป็นการปล่อยเสือคืนป่าหรือท่าน"
"ตอนนี้ มันยังมีประโยชน์อยู่ รอให้จัดการทัพร้อยหมื่นของโจโฉเสร็จสิ้น ค่อยจัดการกับมัน ก็ไม่สาย" จิวยี่ขบคิดถึงวันข้างหน้า "แต่เมื่อวันใด มันเริ่มตั้งตนเป็นภัยกับฝ่ายเรา พวกเจ้าทั้งหลายไม่ต้องรีรอ จงลงมือจัดการกับมันได้เลย"
คนทั้งหลายประสานมือรับคำสั่ง มีแต่เสียวเกี้ยวที่ก้มลงมองพื้น ซ่อนความรู้สึกในใจไว้ "ผู้ชายเหล่านี้ ล้วนคิดแต่เรื่องรบราฆ่าฟัน” ส่วนลกซุนได้แต่ยิ้มหยันภายในใจ ไม่คิดว่า บุคคลเหล่านี้จะสามารถทำอะไรกับศิษย์พี่สี่ได้
...
ที่จริง ขงเบ้งประเมินขุมกำลังของโจโฉ เล่าปี่ ซุนกวน ไม่ด้อยกว่ากัน หากแต่ไม่ต้องการให้สุมาเต๊กโชที่มีปัญหานั้น รู้เท่าทันในความคิดของตน จึงบอกจริงเจ็ดส่วน เก็บงำสามส่วน ไว้ก่อน แล้วจึงออกมาสำรวจทำเลที่ตั้ง และความเป็นไปของเมืองสำคัญเหล่านี้ เป็นข้อมูลในการวางแผนต่อไป แต่กลับโชคดีได้พบข้อมูลเบื้องลึก และคนสำคัญของทั้งสองกลุ่มในแง่มุมที่แตกต่างกันด้วย
ขงเบ้งลงเรือโดยสารขนาดกลางข้ามแม่น้ำไต้กังเพื่อกลับสู่เมืองเกงจิ๋ว เมื่อออกมาห่างจากฝั่งแล้ว กลับปรากฏกองทหารพลธนูจำนวนหนึ่ง พร้อมธงแม่ทัพอุยกาย ขึ้นที่ชายฝั่ง พร้อมกับตั้งขบวนยิงลูกธนูเข้าใส่เรือของขงเบ้งอย่างไม่ยั้งมือ จนน้ำหนักของลูกธนูที่ติดค้างเต็มลำเรือถ่วงให้เรือเอียงเสียสมดุลย์ไปข้างหนึ่ง
โชคดีที่ขงเบ้งไหวพริบดี รีบซ่อนตัวแนบท้องเรือ อาศัยซากศพคนเรือบดบัง จนกระทั่งเรือลอยห่างพ้นระยะธนูไปได้แล้ว จึงรอดตายได้อย่างหวุดหวิดไปอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังพลาดโดนธนูปักใส่เข่า และข้อเท้าด้านซ้าย เป็นแผลฝังลึก
"อุยกายเป็นสายของท่านอาจารย์ เหตุใดจึงคิดสังหารเรา หรือว่าเป็นผู้ใดสั่งการมา" ขงเบ้งนึกถึงขุนพลสำอาง จิวยี่เป็นอันดับแรก ส่วนคนอื่นคงไม่มีใครกล้าทำโดยพลการหลังจากที่ตนเองเพิ่งเจรจาตกลงกันกับจิวยี่มาหยกๆ “จิวยี่ อำมหิตยิ่งนัก ปากก็ว่าร่วมมือกัน แต่กลับส่งคนมาลอบทำร้ายกันเสียได้”
ขงเบ้งมองดูบาดแผลด้วยความกังวลใจ เพราะประเมินออกว่า ความผิดพลาดครั้งนี้สาหัสยิ่งนัก อาจจะทำให้มันต้องพิการไปตลอดทั้งชีวิต
...
ขุนพลอุยกายมองเรือลอยห่างออกไปพลางกล่าวกับชายคลุมหน้าที่ยืนอยู่ด้านข้าง "หากเรามาเร็วกว่านี้สักอึดใจ สายลับของโจโฉคนนี้คงไม่รอดแน่ น่าเสียดายนัก"
"เอาเถิด เป็นเราที่ทราบข่าวช้าเกินไป มิเช่นนั้น ท่านคงได้ความชอบครั้งนี้ไปแล้ว ในเมื่อคว้าน้ำเหลว จารชนหลุดรอดเงื้อมมือไปได้ ก็จงกำชับ อย่าให้ใครแพร่งพรายออกไปให้ขายหน้าเปล่าๆ" ชายคลุมหน้ากล่าวสั่งความ
"พวกทหารเหล่านี้ เป็นคนของพวกเรากันเองทั้งสิ้น วางใจได้ ท่านบังทอง"
บังทองหมายสังหารขงเบ้งผ่านน้ำมือของอุยกาย หลอกลวงให้อุยกายเข้าใจว่า คนบนเรือน้อยเป็นสายลับจากรัฐบาลแฝงตัวมา ถึงกับยืมดาบฆ่าคน โดยอุยกายไม่ทันรู้ตัว มันจึงทอดเวลาให้เรือออกจากฝั่งไปไกล ไม่เห็นรูปร่างท่าทางชัดเจน ค่อยชักนำให้อุยกายลงมือโจมตี
ถึงแม้การสังหารขงเบ้งล้มเหลวผิดพลาด ขงเบ้งรอดชีวิตไปได้ ก็เห็นธงทหารระบุชื่อคนลงมือ จึงเป็นการป้ายความผิดให้อุยกายรับไปคนเดียว ไม่ได้กลับมาเชื่อมโยงมาถึงตัวมัน ช่างร้ายกาจนัก
...
ลกซุน พยัคฆ์คะนอง หรือ หนึ่งบุ๋นแห่งกังตั๋ง ที่แอบติดตามมาส่งขงเบ้งอยู่ห่างๆ มองเห็นเหตุการณ์โดยตลอด แต่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ จึงยิ่งมั่นใจว่า พี่สามต้องมีปัญหาแล้วจริงๆ จู่ๆกลับหลอกล่อให้อุยกายพาทหารมาสังหารพวกเดียวกันเอง หรือภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีดำนั้น บังทองกลับกลายเป็นคนอื่นไปแล้ว
ภายหลัง ลกซุนจึงส่งข่าวลอบชี้แจงเหตุการณ์ดังกล่าวให้กับพรรคพวกในกลุ่มทายาทมังกรรับฟัง ทำให้ขงเบ้งค่อยรับรู้ว่า หนี้แค้นครั้งนี้ สมควรเอาคืนจากผู้ใด
…
จิวยี่รับฟังรายงานจากสายข่าว คาดไม่ถึงว่า อุยกายจะนำไพร่พลไปทำร้ายขงเบ้งที่ไร้ชื่อเสียงเช่นนั้น จึงสั่งการให้หนึ่งบุ๋น-ลกซุนสืบค้นจนได้ความว่า อุยกายได้รับข้อมูลเท็จว่า คนบนเรือเป็นสายลับของโจโฉ ทำให้ลงมืออย่างหนักหน่วง หวังสร้างผลงานสกัดจับจารชนให้ได้คามือ
“เป็นคนคลุมหน้าที่พำนักอยู่ในจวนของท่านโลซก นามว่า บังทอง สมญา หงส์ผงาด เคยผ่านการสอบคัดเลือกเป็นลำดับที่หนึ่ง หากแต่เมื่อนายน้อยพบปะพูดคุยในขั้นตอนสุดท้ายคล้ายไม่ถูกจริตต่อกัน จึงสั่งให้เลื่อนท่านจูกัดกิ๋นขึ้นมาแทน โลซกผู้ควบคุมการสอบรู้สึกเสียดาย จึงเก็บบังทองไว้เป็นที่ปรึกษาข้างกายมาสักระยะหนึ่งแล้ว” ลกซุนรายงานให้ตามหน้าที่ “หนึ่งบุ๋น”
จิวยี่ขมวดคิ้วสงสัย เพียงที่ปรึกษาในสังกัดจวนโลซก แต่กลับชักจูงให้ขุนพลอาวุโสอุยกายลงมือได้ คงต้องมีเงื่อนงำอันใดแฝงเร้น ทำให้เริ่มสงสัยในตัวอุยกายและบังทองไปพร้อมกัน สั่งการให้วงในจับตาดูท่าทีคนทั้งสองต่อไป
สีหน้าลกซุนราบเรียบนิ่งเฉย คนอื่นว่ากล่าวยังพอทำเนา หากแต่เมื่อลกซุนเป็นผู้รายงานเสียเอง กลับกลายเป็นคนวงนอกที่พ้นจากข้อสงสัย ไม่มีความเกี่ยวข้องใดให้เชื่อมโยง หรือว่า กลุ่มทายาทมังกรก็พร้อมจะแตกหักกันเองด้วยเช่นกันแล้ว ลกซุนจึงคล้ายขายทิ้งตัดตอนไปทั้งอุยกายและบังทองในคราวเดียว
...
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 3 - มังกรจ้าวบูรพา
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย