13 เม.ย. 2021 เวลา 02:30 • นิยาย เรื่องสั้น
3.11. ไฟสงครามปะทุ
ยีเอ๋ง บัณฑิตอหังการ์ - ม้ากิ๋น ผีพนันหัตถ์เทพ - หัวขวาน 12 สติเฟื่อง
เมื่อขงเบ้งนั่งรถม้าโดยสารกลับมาถึงหมู่บ้านมังกรซ่อนได้อย่างปลอดภัย แต่บาดแผลเกาทัณฑ์ที่หัวเข่าและข้อเท้าด้านซ้ายย่ำแย่ยิ่งนัก เย่อิงพยายามรักษาแก้ไขด้วยความรู้การแพทย์ของชนเผ่าโบราณ ก็ยังไม่อาจทำให้เส้นเอ็นที่ถูกทำลายนั้น ให้กลับคืนสู่สภาพปกติได้อย่างสมบูรณ์
สุดท้าย ขงเบ้งจึงได้แต่ส่งคนไปเชื้อเชิญหมอเทพแห่งยุค-ฮัวโต๋มาจากกระท่อมรังนกมาช่วยรักษา แต่ก็ไม่พบตัวหมอใหญ่ เพราะบังเอิญออกเดินทางไปเสาะหาสมุนไพรอยู่แดนไกล ได้มาแต่สองศิษย์เอกโงโพ้ ฮ่วมอา ซึ่งก็ช่วยกันฝังเข็มประคบสมุนไพรแก้ไขอาการลดลงได้ระดับหนึ่ง
ขงเบ้งจึงกลายสภาพเป็นคนกึ่งพิการ หัวเข่าและข้อเท้าด้านซ้ายไม่แข็งแรง เดินทิ้งน้ำหนักไม่ได้ไปเสียแล้ว จนต้องใช้ไม้เท้าพยุงช่วย วิทยายุทธ์ที่เดิมบกพร่องด้วยพิษร้ายเรื้อรังอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งเสื่อมถอยอ่อนด้อยลงไปกว่าเดิมอีกด้วยความตรอมใจที่จุดเริ่มต้นทุกอย่างคล้ายจะไม่เป็นผลดีต่อตนเอง
นับว่าเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจของเจ้ามังกรซ่อนอย่างมาก จนขงเบ้ง-จูกัดเหลียงกลับกลายเป็นคนซึมเซาเศร้าหมอง นั่งเหม่อลอยอยู่แต่ในห้องหนังสือ ดูซูบผอมลงไปกว่าเดิม จนคนรอบข้างรับรู้ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้
ฮองเย่อิง ปราชญ์หญิงแห่งชนเผ่าโบราณ ผู้เป็นภรรยา พลอยสะเทือนใจไปด้วย แต่ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อชะตาฟ้าดิน นึกถึงตำราโบราณในหมวดสิ่งประดิษฐ์ จึงแอบทุ่มเทเวลาไปศึกษาหาทางสร้างสิ่งประดิษฐ์พิสดารให้ทดแทนร่างกายที่พิการ ทั้งๆที่ภายในร่างกายของนางเริ่มมีความผิดปกติเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
จูกัดจิ๋น หัวหน้าหมู่บ้านมังกรซ่อน ย่อมเป็นผู้จัดคนงานช่างไม้ฝีมือดีให้มาทำงานในรายละเอียด และคอยแวะเวียนมาสำรวจดู โชคดีที่ได้หัวหน้าช่างขี้เมานามม้ากิ๋นมารับงาน อ้างตนเป็นศิษย์อ้วนยู ปราชญ์นักประดิษฐ์ เคยถอดแบบสิ่งประดิษฐ์ที่สลับซับซ้อนจนเป็นรูปร่างได้อย่างรวดเร็ว เช่น เครื่องยิงก้อนหิน เป็นต้น
สุดท้าย พอมองออกว่าเป็นชิ้นงานไม้คล้ายเก้าอี้ที่มีล้อติดอยู่ด้านข้างทั้งสองฝั่ง ดูคล้ายเกวียนลากเข็นที่ย่อส่วนให้เล็กลงมา และอีกด้านหนึ่ง เป็นอุปกรณ์กลไกแปลกประหลาด และอาวุธลับหลากหลายชนิดอีกกองใหญ่ที่ถูกวางเอาไว้ด้านข้าง รอการบรรจุซ่อนเก็บในภายหลัง
เพียงแต่น่าเสียดายที่งานประดิษฐ์ยังไม่ทันเสร็จสิ้นดี พอฮองเย่อิงไปตรวจงานขั้นสุดท้าย หัวหน้าช่างคนเก่งกลับปลีกตัวหนีหายไปเสียก่อน ทิ้งหลักฐานในห้องพักเป็นตั๋วค้างจ่ายค่าเบี้ยพนัน และขวดไหสุรามากมายเกลื่อนห้อง ทำให้เข้าใจว่า จุดบกพร่องของอัจฉริยะม้ากิ๋นก็คือ เป็นผีพนันขี้เมาคนหนึ่ง
ทางด้านโจโฉย่อมไม่ปล่อยให้การลอบสังหารเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ครั้งก่อน ผู้ตายคือกุนซืออมโรค กุยแก แต่คนร้ายเป็นคนภายในราชสำนักเอง จึงยังพอทำเนาว่าเป็นการช่วงชิงอำนาจระหว่างกัน แต่ครั้งนี้ เป้าหมายถึงกับเป็นตัวมันเอง และฝ่ายตรงข้ามคือ พวกสกุลม้า และบัณฑิตแซ่ขง คนของกองกำลังอื่นอย่างชัดเจน
เมื่อเป็นเช่นนี้ หมันทอง เจ้าเมืองฮูโต๋ ย่อมร้อนตัว ถึงกับต้องอาศัยขุนพลซิหลงสหายสนิทไหว้วานกุนซือเงาปีศาจ กาเซี่ยงให้ช่วยเหลือ กาเซี่ยงจึงชี้แนะให้เน้นตามหาเบาะแสไปทางบัณฑิตหน้าขาวที่ยังเป็นบุคคลปริศนา
จากการตรวจสอบได้ข้อมูลมาว่า บัณฑิตไร้ชื่อเสียงนามขงเบ้งเพิ่งจะเป็นลูกบุญธรรมของขงหยง ผู้นำลัทธิขงจื้อและเจ้าสำนักหอสมุดใต้หล้า ซึ่งเป็นขุนนางอยู่ในสังกัดเล่าเปียว จึงเป็นไปได้ว่า พวกเกงจิ๋วอาจจะอยู่เบื้องหลังแผนการครั้งนี้
โจโฉจึงเรียกประชุมทางทหารชุดใหญ่ กุนซือและขุนศึกสำคัญล้วนมาพร้อมกัน แม้แต่ตันกุ๋น สุมาอี้ ที่รับตำแหน่งพระอาจารย์ของลูกชาย และตันฮกที่ขอลาพักไว้ทุกข์ให้มารดา ก็ถูกเรียกตัวเข้ามาด้วย จุดประสงค์คือ ต้องการเชื่อมโยงเหตุการณ์ลอบสังหารไปที่ขุมกำลังเกงจิ๋ว เพื่อตอกย้ำความเป็นขบถแผ่นดิน
ตันฮกเห็นเป็นโอกาสแสดงปัญญา จึงก้าวออกมาว่ากล่าว “เรื่องนี้ไม่ยาก เพียงส่งคนไปเจรจาความให้เล่าเปียวส่งตัวขงหยงขงเบ้งพ่อลูกกลับเข้ามารับโทษทัณฑ์ในเมืองหลวง หากเล่าเปียวยินยอม ก็จะเสื่อมเสียชื่อเสียงที่ไม่อาจปกป้องคนในสังกัด แต่หากไม่ทำตาม ก็ถือเอาเป็นความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดไปด้วยกัน”
แผนการฟังดูเข้าที หากแต่บุคคลที่ส่งไป ต้องเป็นคนที่มีน้ำหนักเพียงพอต่อทั้งสองฝ่าย และอาจต้องพร้อมที่จะเสียสละชีวิตอย่างไร้คุณค่า ทุกคนในที่ประชุมจึงมองตากันไปมา ไม่อาจตัดสินใจเสนอชื่อใครออกไป
สุดท้าย จึงเป็นตันฮกอีกครั้งที่กล่าว “คนที่เหมาะสมกับงานนี้ คือ บัณฑิตยีเอ๋ง ขุนนางคนใหม่ในสังกัดสมุหนายกฮกอ้วน และเป็นศิษย์เอกที่ขงหยงคัดเลือกให้เข้ามารับราชการเมื่อไม่นานมานี้เอง”
เดิมที บัณฑิตยีเอ๋งเป็นสหายสนิทสายเต๋ากับตันฮก-ชีซีในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซุยเป๋ง เบงคงอุย แต่บัดนี้ ยีเอ๋งกลับกลายเป็นคนทรยศต่อหลักการดั้งเดิม ละทิ้งหลักการสายเต๋า หันมาเป็นคนของสายขงจื้อจนกลายเป็นข่าวใหญ่ครึกโครม เพื่อสร้างโอกาสเข้ามารับราชการอยู่ในเมืองหลวง และเพิ่งสร้างข่าวใหญ่อื้อฉาวซ้ำสอง จึงไม่แปลกใจที่ตันฮกเสนอชื่อดาวเด่นตัวแสบให้ไปเสี่ยงตาย
ช่วงแรกที่ตันฮกโยกย้ายจากขุมกำลังเล่าปี่ มาเข้าร่วมกับโจโฉ ได้ใช้ข้ออ้างที่ “มารดาผูกคอตาย” ไว้ทุกข์ งดทำกิจกรรมเป็นเวลาหกเดือน ทางหนึ่ง เพื่อป้องกันคำครหาเรื่องการแปรพักตร์ อีกทางหนึ่ง เพื่อให้พ้นจากความระแวงว่าเป็นไส้ศึกของฝ่ายตรงข้าม การนิ่งเฉยเป็นการชั่วคราว น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
แต่แล้ว สหายเก่านามยีเอ๋ง บัณฑิตสายเต๋าที่รู้จักคุ้นเคยกัน กลับมาเยี่ยมเยียนถึงบ้านพัก บอกเล่าว่า มันต้องการช่วยเหลือประชาราษฎร์ จึงคิดการใหญ่ หวังเข้าถึงตัวบุคคลสำคัญ เพื่อชักจูงโน้มน้าวจิตใจให้ยุติสงครามชิงแผ่นดินด้วยสงครามการทหาร หันมาเปิดการเจรจากดดันตามแนวทางการทูตแทน
มันจึงสมัครเข้าร่วมกับพวกสายขงจื้อที่ยึดครองเวทีการเมือง ยอมแบกรับความกดดัน จนได้รับการคัดเลือกจากขงหยง ผู้เป็นเจ้าสำนักหอสมุดใต้หล้า และถูกส่งตัวให้เข้ามาทำงานในสังกัดของฮกอ้วน สมุหนายกมาสักระยะหนึ่งแล้ว
หากแต่เป้าหมายกลับดูจะอยู่ห่างไกลเหลือเกิน มันจึงตระหนักว่า ใช้เส้นสายผิดแนวทาง เป้าหมายไม่เคยรับฟังคนฝั่งวิชาการอย่างจริงจัง ที่จริง สมควรสมัครเข้ามาในสายกุนซือมากกว่า จึงมาขอคำชี้แนะจากเพื่อนเก่าเป็นการส่วนตัว
เพียงรับฟังเช่นนี้ ตันฮกก็พอจะคาดเดาได้ว่า เป้าหมายของยีเอ๋งคือผู้นำฝ่ายรัฐบาล ซึ่งก็คือ โจโฉ นั่นเอง หากแต่ปณิธานของสหายเก่านั้น กลับขัดแย้งกันกับแผนการของเครือข่ายสุมาที่ต้องการเพียงสร้างความวุ่นวายในแผ่นดินเสียแล้ว และเมื่อคำพูดถูกเปิดเผยออกมาเช่นนี้ การปล่อยวางจะทำให้ตัวเองพลอยเดือดร้อนไปด้วย จึงมีแต่ต้องกำจัดให้หมดสิ้นพิษภัยโดยเร็ววัน
เนื่องจากตันฮกพอทราบว่า ยีเอ๋งมีสติปัญญาก็จริง หากแต่เป็นคนเชื่อมั่นตัวเองสูง คิดเร็วทำเร็วโดยไม่ประมาณตน ทิ้งไว้เนิ่นนาน อาจจะสร้างปัญหาให้กับตนเองได้ จึงได้แต่ผลักเผือกร้อนให้พ้นตัว แนะนำให้ยีเอ๋งกระตุ้นความสนใจของโจโฉในทันทีที่มีโอกาส โดยยกตัวอย่างที่โจโฉเคยก่อกวนงานเลี้ยงของอ้องอุ้นในอดีต
ดังนั้น งานเลี้ยงฉลองเปิดที่ทำการใหญ่แห่งใหม่ของสำนักหอสมุดใต้หล้าจึงเป็นโอกาสที่เหมาะสมในการลงมือ เพราะฮกอ้วนเชื้อเชิญให้โจโฉมาเป็นประธานในพิธีในฐานะผู้แทนพระองค์ ขุนนางน้อยใหญ่สายบุ๋นจึงมีโอกาสได้แสดงฝีมือร่ายโคลงกลอนอวยพรต่อหน้าโจโฉกันถ้วนทั่วทุกคน สลับกันกับการแสดงชุดต่างๆที่ทะยอยกันออกมาสร้างความสำราญใจ ซึ่งแม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังจัดส่งการแสดงระบำชุดใหญ่มาจากพระราชวังมาให้เป็นการพิเศษ
ระหว่างพิธีการ บัณฑิตหนุ่มยีเอ๋งจึงแสดงตนร่ายบทกวีที่มีเนื้อหาตำหนิเสียดสีการศึกที่สร้างความลำบากในราษฎร สร้างความขุ่นเคืองใจให้กับโจโฉ ทำให้ยีเอ๋งถูกตักเตือนจากกาเซี่ยง กุนซือใหญ่ด้วยการให้ไปร่วมแสดงความสามารถกับวงดนตรีที่มาพร้อมกันกับชุดระบำพระราชทานเป็นการทำคุณไถ่โทษ
ช่วงเวลาที่ผ่านมา ความรอบรู้ของยีเอ๋งยังไม่เป็นที่ปรากฎชัดเจน หากแต่พรสวรรค์ด้านดนตรีของบัณฑิตหนุ่มกลับโดดเด่นแซงหน้า เมื่อบัณฑิตสายเต๋าเคยสำแดงท่วงทำนองกว่างหลิงส่านของอดีตราชครูซัวหยงอย่างพิสดาร นำเสนอบทเพลงที่แตกต่างไปจากความลุ่มลึกอดทนของซัวหยง หรือความรุนแรงเร่าร้อนของจิวยี่ เป็นความทรนงท้าทาย เปล่งประกายเจิดจ้าบาดจิตใจ
หากแต่เหตุการณ์กลับยิ่งบานปลาย เมื่อยีเอ๋งยิ่งจงใจยั่วเย้าโทสะของโจโฉด้วยการเปลื้องผ้าเปลือยกายออกมาตีกลองกลางงานเลี้ยงอันโอ่อ่านั้นเอง อ้างว่า เป็นการผสมผสานศิลปะดนตรีกับการร่่ายรำแบบคืนสู่ธรรมชาติดั้งเดิม อันเป็นรูปแบบการอวยพรของศาสนาเชน นิกายนุ่งลมห่มฟ้า (นิกายทิคัมพร ) ที่ร่ำลือในแถบชมพูทวีป และเคยถูกตั้งเป็นหัวข้อในการวิพากษ์วิจารณ์กันมากในหมู่บัณฑิตชาวฮั่นเรื่อยมา มันจึงถือเป็นศิลปะการแสดงขั้นสูงจากคนสายวิชาการที่เหมาะสมคู่ควรกับเจ้าพระยาปราบอุดรเป็นที่สุด
แน่นอนว่า โจโฉโมโหอย่างที่สุดจนปวดหัวตัวร้อนในทันที แต่ไม่อาจโต้แย้งวาทะเชิงปรัชญาดังกล่าว จึงสั่งให้ยกเลิกพิธีการงานเลี้ยงทั้งหมดกลางคัน และยังดีที่โจโฉยอมไว้หน้าต่อสมุหนายกฮกอ้วนจึงไม่ฉีกหน้าลงโทษรุนแรงต่อดาวรุ่งคนโปรดในวันเปิดที่ทำการสำนักหอสมุด แต่ทั่วทั้งราชสำนักย่อมรับรู้ว่า ยีเอ๋งถูกหมายหัว ไม่เป็นที่โปรดปรานของโจโฉอย่างชัดเจน จนได้ชื่อเรียกเป็นบัณฑิตอหังการ์
ดังนั้น การที่ตันฮกยกชื่อยีเอ๋งขึ้นมาในช่วงเวลาสรรหาแพะบูชายัญเช่นนี้ จึงเป็นที่ถูกอกถูกใจของโจโฉยิ่งนัก ทางหนึ่ง ยีเอ๋งเป็นข้าราชการในราชสำนักก็จริง แต่เป็นคนของฝ่ายตรงข้ามชัดเจน จึงถือว่า มีน้ำหนักต่อทั้งสองฝ่าย อีกทางหนึ่ง โจโฉเกลียดชังยีเอ๋งเป็นทุนเดิม การอยู่รอดปลอดภัยหรือไม่ โจโฉย่อมไม่แยแส ในเมื่อยีเอ๋งเคยเสนอแนวทางการสันติวิธี จึงเหมาะสมที่จะให้เป็นราชทูตสมดั่งที่ต้องการ และกลายเป็นเหยื่อทางการเมืองที่เหมาะเจาะลงตัวอย่างที่สุด
วันต่อมา โจโฉจึงแต่งตั้งยีเอ๋งเป็นทูตเจรจาความเมือง เกลี้ยกล่อมให้เล่าเปียวส่งตัวนักโทษอุกฉกรรจ์เข้ามาอย่างไม่มีเงื่อนไข และได้ยินว่า เล่าเปียวไม่ยินดีแม้แต่จะพบหน้าต้อนรับด้วยตนเอง ขุนพลชัวมอจึงได้แต่ผลักไสให้ลูกน้องคนอื่นรับเรื่องแทน จนในที่สุด บัณฑิตฝีปากกล้าก็ถูกสังหารทิ้งไปอย่างงมงาย พร้อมกับเงื่อนงำที่ส่งผลกระทบทางการเมืองระลอกใหญ่ต่อไป
ผู้คนทั่วไปอาจจะเข้าใจว่า ยีเอ๋งไม่ประมาณตน หลบหลู่ผู้คน จึงถูกคนพาลประหารชีิวิต แต่น้อยคนจะล่วงรู้ว่า ยีเอ๋งเป็นหมากที่ถูกส่งให้ไปตายอยู่แล้ว โจโฉจึงสั่งการผ่านตันก๋งให้ชัวมอหาเหตุจัดการตามแผน เพื่อสร้างปมการเมือง เชื่อมโยงถึงการลอบสังหารกลางเมือง ให้ขุมกำลังเกงจิ๋วจำยอมแบกรับหม้อดำ (มลทิน)
ส่วนตันฮกได้แต่ถอนหายใจโล่งอกที่สามารถกำจัดเผือกร้อน บัณฑิตอหังการ์ ยีเอ๋ง ไปได้อย่างสวยงาม พร้อมได้แสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์ในที่ประชุมใหญ่ทางทหารแล้ว เจ้ากุนซือกิเลนพิสดาร
เมื่อเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ได้รับรายงานจากสายข่าวว่าขงเบ้งกลับมาถึงบ้านแล้ว แต่มีข่าวร้ายคือ กุนซือมังกรซ่อน กลายเป็นคนพิการ เคลื่อนไหวไม่ถนัดเหมือนแต่ก่อน จึงตกใจ เล่าปี่ กวนอูคิดว่า ขงเบ้งคงไม่สะดวกที่จะมาร่วมทัพเสียแล้ว จนเตียวหุย นางแอ่นต้องอ้างถึงซุนปิน อดีตยอดกุนซือในสมัยเลียดก๊กที่ขาขาดสองข้าง แต่ก็ยังสร้างชื่อเอาชนะศัตรูได้ด้วยปัญญาในการวางแผนรบ "แขนขาเรามีอยู่มากมาย มันสมองในการวางแผนยุทธศาสตร์ต่างหากที่เราต้องการเพิ่มเติม"
ทั้งสามจึงออกเดินทางไปพบขงเบ้งเป็นการลับ เผื่อว่า ขงเบ้งไม่รับคำเชื้อเชิญ จะได้ไม่ทำให้กองทัพร่ำลือกันไปให้เสียกำลังใจเปล่าๆ แต่คราวนี้ เป็นขงเบ้งที่กลับออกมานั่งดีดพิณกู่ฉิน รอต้อนรับทั้งสามถึงด้านหน้าหุบเขามังกรหลับด้วยตนเองเลยด้วยซ้ำ ถึงกับลอกเลียนทำนองกว่างหลิงส่านในแบบฉบับของจิวยี่ออกมา
เมื่อสามพี่น้องเข้าไปคารวะแนะนำตนเองแล้ว ขงเบ้งจึงเชื้อเชิญให้เข้าไปพูดคุยกันที่บ้านพัก แล้วสอดเก็บพิณลงในเก้าอี้ล้อหมุน และออกตัวไปก่อนเพื่อนำทาง
สามพี่น้องลอบพิจารณาวิธีการเคลื่อนกายของขงเบ้ง เห็นเป็นเก้าอี้นั่งมีล้อหมุนที่คล่องตัวยิ่งนัก สามารถวิ่งผ่านทางเดินที่ขรุขระ ลาดชันได้อย่างง่ายดาย ถึงขนาดทำให้สามพี่น้องต้องสาวเท้าตามอย่างเร่งรีบ จึงจะตามได้ทัน นับว่า เก้าอี้ล้อหมุนนี้ ลดทอนจุดด้อย สร้างเป็นจุดแข็งแทน จนเด่นล้ำกว่าคนธรรมดาทั่วไป
นี่คือ สิ่งประดิษฐ์พิสดารของฮองเย่อิงที่ทุ่มเทเวลาหลายวันเพื่อให้คนรักของนางได้ใช้สิ่งนี้แทนที่จะต้องใช้ไม้เท้าในการพยุงกายเหมือนคนทั่วๆไป จากข้อบกพร่องจึงกลายเป็นข้อได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ เพราะของเล่นชิ้นนี้ยังมีดีกว่าช่วยให้เดินเร็วเท่านั้น
เมื่อถึงหน้าบ้านพักของขงเบ้งแล้ว เตียวหุย-นางแอ่น ซึ่งล่วงรู้อยู่ก่อนแล้วว่าขงเบ้งมีวิทยายุทธ์ติดตัว จึงชิงลงมือ ทำเป็นช่วยเข็นเก้าอี้ล้อหมุน แต่ที่จริง ต้องการทดสอบฝีมือขงเบ้งให้ปรากฏด้วยการเบี่ยงจังหวะการเคลื่อนที่ แต่ขงเบ้งรู้ทันความคิด จึงสามารถบังคับเก้าอี้ให้หมุนตัว เอนเอียง และลอยตัวขึ้น หลบเลี่ยงการคว้าจับได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว ราวกับเก้าอี้เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายไปแล้ว
กวนอูเห็นดังนั้น จึงเข้าร่วมโจมตีบ้าง แต่เก้าอี้ล้อหมุนก็ยังมีกลไกพิสดาร ถึงกับปล่อยอาวุธลับหลอกล่อให้ทั้งสองหลงกล หลบเลี่ยงไปในทิศทางที่ต้องการ แล้วขงเบ้งก็กดกลไกส่งใยตาข่ายออกมาคลุมตัวจับยอดขุนพลทั้งสองคนไว้ได้พร้อมกันภายในเวลาอันสั้น แสดงให้เห็นถึงสมาธิที่แข็งแกร่ง สติปัญญาอันลึกซึ้ง และอาวุธที่พิสดารสุดจะคาดเดา
เล่าปี่เห็นดังนั้น จึงค่อยวางใจไปเปลาะหนึ่ง น้อมกายขออภัยแทนน้องทั้งสองคน ขงเบ้งจึงสั่งให้คนรับใช้ช่วยกันปลดเชือกตาข่ายให้กวนอูเตียวหุย และเชิญเล่าปี่ไปจิบน้ำชาแสดงวิสัยทัศน์ทางการเมืองกันตามลำพังด้านใน
ซึ่งขงเบ้งใช้เวลาในการชี้แนะเป็นแผนการ"แบ่งแผ่นดินเป็นสามส่วน" ยึดที่มั่นจากเล่าเปียว เล่าเจี้ยง สองเชื้อพระวงศ์ก่อน ค่อยร่วมกับซุนกวน ถล่มโจโฉชิงอำนาจรัฐกลับคืน เพราะถือเป็นเป้าหมายร่วมที่แข็งแกร่งที่สุดในยามนี้
ขุมกำลังกังตั๋งยังมีประชากรเบาบาง ความเจริญกระจุกตัวแค่ริมฝั่งแม่น้ำไต้กังเป็นส่วนใหญ่ ด้านล่างลงไป ยังรกร้างเป็นป่าเขา และเต็มไปด้วยอิทธิพลของชนเผ่าพื้นเมืองชายแดน ลักษณะแทบจะเหมือนกันกับขุมกำลังเสฉวน ดังนั้น หากกังตั๋งผสานกับขุมกำลังใหม่จากเกงจิ๋ว-เสฉวน จึงพอจะมีกำลังพลไปต่อต้านศัตรูได้
แม้ว่าจะใช้เวลาอธิบายเบื้องต้นไม่นาน แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับเล่าปี่ที่กำลังขาดแคลนกุนซือนักกลยุทธ์จริงๆ ว่าเช่นไรก็เอาตามนั้น ดังนั้น เล่าปี่จึงเอ่ยปากเชิญขงเบ้งเข้ามาเป็นกุนซือใหญ่ให้กับพวกตนในทันที
ที่จริง ขงเบ้งประเมินเหตุการณ์เฉพาะหน้า เริ่มเห็นว่าสถานการณ์ของตนเองไม่ปลอดภัยนัก กองกำลังที่มีย่อมไม่อาจต้านทานเหล่านักฆ่าหรือกองทัพจำนวนมากของโจโฉ ซุนกวน หรือเบ้งเฮ็ก อริเก่าได้เลย มันจึงต้องรีบหาสังกัดเจ้าเมือง เพื่อเร่งสร้างกองทัพองครักษ์ไว้ป้องกันตนเอง
และแน่นอน เป้าหมายของมันก็คือขุมกำลังที่มีศักยภาพ แต่อ่อนด้อยที่สุด นั่นคือ กลุ่มของเล่าปี่ เชื้อพระวงศ์ตกยาก ท่ีมียอดฝีมืออย่างกวนอู เตียวหุย จูล่ง อยู่ข้างกายให้ใช้งานได้ ค่อยๆสร้างจากเริ่มต้นจึงเกาะกุมใจกลางของอำนาจได้ดี
...
เมื่อข่าวดังเรื่องเล่าเปียวสังหารยีเอ๋ง ตัวแทนรัฐบาล และอาชญากรขงเบ้งเข้าร่วมสังกัดทัพเล่าปี่ เชื้อพระวงศ์ขบถที่ยึดเมืองอ้วนเซียไปจากรัฐบาลแพร่หลายแล้ว โจโฉเห็นเป็นโอกาสในการประกาศสงครามปราบแดนทักษิณ โดยให้แฮหัวตุ้นเป็นแม่ทัพหน้า กับตันฮกเป็นกุนซือนำทหารสิบหมื่นโจมตียึดเมืองอ้วนเซียกลับคืน
เนื่องจากแฮหัวตุ้น เทพคุ้มครอง พี่ใหญ่ในสี่เทวะ ถือตัวว่ามีประสบการณ์ด้านการศึกมานาน มีใจประมาท เห็นว่า ขงเบ้งเป็นเพียงบัณฑิตเดนตายที่หนีรอดคมดาบไปเมื่อครั้งก่อน และตันฮกเองก็เป็นเพียงกุนซือย้ายข้างมาใหม่ ไม่คุ้นเคยวางใจ จึงแกล้งละเลยการประชุมทางทหาร ไม่สนใจคำตักเตือนของกุนซือทัพตามที่ควร
ตันฮกเห็นว่าเป็นโอกาสในการลงมือ จึงแอบส่งข้อมูลลับ เปิดโอกาสให้ฝ่ายเล่าปี่ส่งคนลอบเข้าไปเผาค่ายทหารและยุ้งฉางจนหมดสิ้นเป็นการเปิดฉากยั่วยุ และยังหลอกแฮหัวตุ้นให้นำกองทัพติดตามผู้บุกรุกไปทางทุ่งหญ้าพกบ๋องอันกว้างใหญ่ เพื่อให้ขงเบ้งอาศัยความได้เปรียบทางชัยภูมิ ใช้ไฟเผาซ้ำไปอีกจนแตกทัพยับเยิน แม่ทัพต้องหนีตายกลับไปเมืองหลวง เป็นการตบตาคนทั้งแผ่นดิน ด้วยการสร้างชื่อเสียงให้กับชัยชนะในสงครามครั้งแรกของขงเบ้งแล้ว แต่ที่จริง เป็นผลงานของตันฮก กิเลนพิสดารที่จัดฉากวางแผนประเคนให้แทบทั้งสิ้น
นี่คือแผนการบ่อนทำลายแบบดั้งเดิมของเครือข่ายสุมาโดยแท้ ให้คนแฝงตัวเป็นกุนซือเข้าไปล่อลวง และทำลายกองทัพที่แข็งแกร่ง ด้วยการประสานงานกันของกลุ่มทายาทมังกร เพียงแค่ตันฮก ขงเบ้ง สองคนลงมือ ก็ทำให้ทัพหน้าของโจโฉ สูญเสียกำลังพลไปไม่น้อยแล้วในศึกครั้งนี้
อินทรีหรือสุมาเต๊กโชเฝ้ามองความเคลื่อนไหวของกลุ่มทายาทมังกรด้วยความสนใจ ราวกับหมากสำคัญกลางกระดาน สุมาอี้ ตันฮก อยู่กับสกุลโจ บังทอง ลกซุน อยู่กับสกุลซุน และขงเบ้ง อยู่กับสกุลเล่า เรียบร้อยแล้วตามแผนการตั้งต้นของเครือข่ายสุมา แต่ที่จริง ล้วนถูกหน่วยปักษาสวรรค์ครอบงำไว้อีกชั้นหนึ่ง
บังทองอาศัยอุยกายไปลอบทำร้ายขงเบ้ง “สุมาเต๊กโช” จึงใช้กลยุทธ์ “ตีชิงตามไฟ” สั่งให้ลกซุนเปิดโปงสองจารชนในฝั่งกังตั๋ง อุยกาย บังทอง กระตุ้นความระแวงสงสัยของจิวยี่ สร้างความแตกแยกในขุมกำลังแดนใต้ และสกัดกั้นแผนการไม่คาดหมายของนกเป็ดน้ำคนทรยศไปพร้อมๆกัน
ขงเบ้งพัวพันการลอบสังหารโจโฉกลางเมือง จึงให้กระตั้ว-กาเซี่ยงชักจูงเจ้าเมืองหมันทองทางหนึ่ง ตันก๋ง ตันฮกจัดฉากส่งยีเอ๋งไปตายที่เกงจิ๋วทางหนึ่ง ช่วยกันจุดชนวนสงครามระหว่างโจโฉกับเล่าเปียวและเล่าปี่ให้เกิดขึ้นในเร็ววัน
แล้วล่าสุด ขงเบ้งพิการหมดสิ้นแรงใจ เล่าปี่ไม่เชื่อมั่นฝีมือ จึงส่งศิษย์เอกของนกฮูก-ฮัวโต๋ไปรักษาอาการบาดเจ็บให้ทุเลาลง และนางแอ่น-เตียวหุย ช่วยสนับสนุนให้ขงเบ้งเกิดความเชื่อมั่นอีกครั้ง อาศัยความรู้ด้านบุ๋นเป็นสำคัญ ชักจูงให้กลับมาสู่วงการการเมืองตามเส้นทางดั้งเดิม
สุดท้าย อินทรีจึงส่งนักฆ่าเหยี่ยวดำให้ประกบตัวจูล่ง ประมุขสัตตดารา เพราะอีกไม่นาน ศึกใหญ่ที่สร้างชื่อให้กับยอดขุนพลม้าขาวกำลังจะมาถึงแล้ว เป็นศึกทุ่งสังหารเตียงปัน
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา