14 เม.ย. 2021 เวลา 00:55 • นิยาย เรื่องสั้น
3.12. สวมรอยเปลี่ยนชะตา
สามองครักษ์ลูกเลี้ยง - เล่าฮอง กวนเป๋ง จิวฉอง
ถึงแม้ว่าทัพหน้าจะเสียทียับเยินก็จริง แต่โจโฉไม่ยอมรีรอให้เนิ่นนาน รีบสั่งการให้จัดกองทัพใหญ่ลงมาทางใต้ กะเกณฑ์ขุนพลกุนซือมาเต็มอัตรารบ หวังเผด็จศึกกลุ่มเล่าปี่โดยเร็ว เพราะจารชนไส้ศึกฝั่งเกงจิ๋วเริ่มทำงานให้เห็นผล
ชัวมอที่แอบสวามิภักดิ์นายใหม่มานาน นัดหมายลงมือกำจัดเล่าเปียวผู้เฒ่า และตั้งเล่าจ๋อง ผู้เป็นหลานชายขึ้นเป็นใหญ่ ยึดครองเมืองเกงจิ๋วไว้รอท่า พร้อมจะจัดการกับเล่าปี่โดยไม่ให้ตั้งตัวได้ ซึ่งหากผ่านด่านเล่าปี่ เล่าเปียวได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ น่านน้ำของแดนกังตั๋งน่าจะกลายเป็นสมรภูมิรบที่แท้จริงในครั้งนี้
เมื่อสายสืบนำข่าวกองทัพโจโฉมาบอกในที่ประชุมทัพ ณ เมืองอ้วนเซีย เล่าปี่สามพี่น้องถึงกับหน้าถอดสี เพราะลำพังทหารประจำเมืองอ้วนเซียไม่ถึงสองหมื่นคงต้านทานทัพร้อยหมื่นไม่ไหวเป็นแน่ และกองทัพเมืองเกงจิ๋วที่ขอไปเนิ่นนานแล้ว ก็ไม่เห็นจะได้มาสักที ตอนนี้ จึงได้แต่หวังพึ่งมันสมองของขงเบ้งแล้ว
ขงเบ้งไม่ต้องหยุดคิด ก็กล่าวตอบในทันที "หากเกงจิ๋วจริงใจส่งคนมาสักหลายหมื่นก็ยังพอทำอะไรได้บ้าง แต่ท่าทีของเล่าเปียวครานี้ชอบกลนัก เกรงว่ามันจะถูกชัวมอสังหารไปแล้ว พวกเราสมควรจะหนีไปสมทบกับเล่ากี๋ ลูกชายคนโตของเล่าเปียวที่เมืองกังแฮ ซึ่งตั้งอยู่ห่างเส้นทางเสียก่อน อย่างน้อย ก็พอจะหลบหลีกได้ง่ายดายกว่าที่นี่ และการที่โจโฉเคลื่อนทัพร้อยหมื่น เห็นทีว่า เป้าหมายที่แท้จริงไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นเมืองอ้วนเซีย เมืองเกงจิ๋ว และเมืองชีสอง หัวเมืองสำคัญทั้งสามที่เป็นสมรภูมิหลัก คงไม่เสียเวลาตามพวกเราไปนอกเส้นทาง”
เส้นทางเชื่อมโยงจากเมืองหลวงฮูโต๋ อ้วนเซีย ผ่านทาง ซงหยง เกงจิ๋ว มุ่งสู่ กังเหลง ชีสอง ถือเป็นสมรภูมิยุทธศาสตร์ที่ตัดตรงไปสู่ขุมกำลังกังตั๋งที่สุด การที่โจโฉสามารถก้าวข้ามเกงจิ๋วทั้งสองมณฑลเหนือใต้ได้อย่างรวดเร็ว ย่อมทำให้พวกพยัคฆ์หนุ่มไม่มีเวลาตั้งรับได้ทันเวลา
เล่าปี่ไม่เห็นหนทางอื่นใดที่ดีกว่า จึงตกลงใจ "จะหนีก็รีบหนีเถิด เกรงว่าช้าไป จะถูกตามทันเพราะกองทัพเกลียวคลื่นของโจโฉขึ้นชื่อว่า เคลื่อนไหวได้รวดเร็วนัก"
"เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ข้าเตรียมแผนการไว้แล้ว" ขงเบ้งกระซิบบอกแผนให้รู้กันเฉพาะสามพี่น้อง "ใช้กำแพงมนุษย์เป็นโล่กำบัง ท่านจงชักชวนชาวบ้านทั้งหลายให้อพยพตามไปด้วย ทั้งอ้วนเซีย ซงหยง ซินเอี๋ย ยิ่งมากก็ยิ่งดี พวกท่านไปได้เร็ว ชาวบ้านไปได้ช้า ก็จักเป็นกำแพงขวางกั้นทัพฝ่ายตรงข้ามไว้ได้เอง"
ดังนั้น แผนการอพยพทิ้งเมืองอ้วนเซียทั้งสามไปยังเมืองกังแฮ จึงเกิดขึ้นอย่างเร่งร้อนตามคำสั่งของขงเบ้ง ทำเอาเกิดความสับสนวุ่นวายไปทั่วทั้งเมือง แม้แต่กระท่อมรังนกกลางป่าเขาที่ไม่เคยต้องยุ่งเกี่ยวด้านการเมือง ยังพลอยรู้สึกถึงปัญหาการศึกที่กำลังลุกลามเข้ามาใกล้พื้นที่เหลือเกิน
...
ท่ามกลางความโกลาหลของการอพยพครั้งใหญ่ภายในเมือง นอกจากกวนเป๋งทั้งสามที่ตั้งมั่นบนกำแพงเมืองแล้ว ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปเก็บข้าวของสัมภาระที่จำเป็น เล่าปี่เข้าไปในบริเวณห้องพักของตนเอง จนถึงห้องนอนชั่วคราวของกำฮูหยินซึ่งถูกโยกย้ายมาตั้งแต่ใกล้จะถึงกำหนดคลอดตามคำสั่งของเล่าปี่หัวหน้าใหญ่ คล้ายต้องการจะอยู่ใกล้ชิดในฤกษ์ยามที่สำคัญของทารกน้อย
เห็นนางกำลังนอนหลับพักฟื้นจากการคลอดลูกชายคนแรกเมื่อคืนที่ผ่านมา ทารกน้อยนอนนิ่งในเบาะข้างกายผู้เป็นมารดา เหล่าสาวใช้คงออกไปเตรียมการหลบหนีกันอยู่ ค่อยกลับมาพาตัวเจ้านายไปในภายหลัง
มันจึงเปิดผ้าคลุมตัวออกพิจารณาปานแดงที่กลางอกอีกครั้ง เพื่อดูร่องรอยที่สาวใช้คนสนิทรายงาน ช่างเหมือนตำหนิของใครคนหนึ่ง...ที่ไม่ใช่มัน สิ่งที่มันหวาดระแวงมาหลายเดือนกลายเป็นเรื่องจริง และนี่คือสาเหตุที่มันหมดสิ้นความยินดีที่ได้พบเห็นลูกชายครั้งแรก พร้อมกับคาดเดาเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด "ชายชั่วหญิงโฉดคงแอบเสพสุขกันตอนที่ข้าไม่อยู่ในเมือง จึงได้กำเนิดพยานบาปขึ้นมาในเวลานี้ ช่างน่าแค้นใจยิ่งนัก”
ช่วงเวลาที่ผ่านมา บิต๊กบิฮองพยายามพูดถึงเรื่องราวอื้อฉาวหลายครั้งโดยไร้หลักฐานยืนยัน หากแต่ตนเองยังต้องพึ่งพาฝีมือน้องรอง มิอาจแตกหักซึ่งหน้า จึงอดทนใจเย็นมานาน แสร้งทำเป็นไม่เชื่อคำนินทาใส่ร้าย แต่ยามนี้ เกิดเหตุการณ์เฉพาะหน้า ทำให้มันสามารถปิดฉากปัญหายุ่งยากใจด้วยวิถีทางที่สมควร
เสียงผ้าคลุมทารกร่วงหล่นกระทบพื้นห้อง ติดตามมาด้วยเสียงโลหะเสียดสีกันอย่างเชื่องช้า กำฮูหยินรู้สึกตัวขึ้น เห็นเล่าปี่ยืนจ้องมองทารกอยู่ตามลำพัง โดยถือกระบี่ในมือ กลับเกิดความหวาดกลัวอย่างแปลกประหลาด สายตาของเล่าปี่ดูไม่น่าไว้วางใจนัก พอนางแอบมองตามสายตา จึงเห็นรอยตำหนิของทารกน้อยเช่นกัน
"เป็นมัน ใช่หรือไม่" เล่าปี่เสียงเข้ม แต่ไม่เหลือบตากลับมามองแม้แต่น้อย
กำฮูหยินจำนนต่อหลักฐาน ได้แต่ผงกหัวรับคำ ขณะที่กำลังจะอธิบายเหตุการณ์เบื้องหลังที่เกิดขึ้นแทนคู่รักกวนอู เล่าปี่ก็ใช้กระบี่ฟ้าสังหารแทงทะลุอกของนางไปแล้ว และอีกหนึ่งกระบี่ปักใส่ที่รอยปานแดงกลางอกของทารกน้อยเช่นกัน เป็นการปิดฉากเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นอย่างรวบรัดที่สุด
"ถึงแม้จะต้องเสียลูกเมียไป แต่ก็ยังรักษาขุนพลที่มีฝีมือไว้ได้อยู่ เสร็จงานใหญ่ค่อยล้างแค้นเรียกคืนศักดิ์ศรีในภายหลัง" เล่าปี่คิดพลางกวาดโยนสิ่งของมีค่าให้กระจายไปทั่วห้อง ทำให้เหมือนเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ แล้วกระชากผ้าม่านเครื่องนอนมาจุดไฟเผาสถานที่ซ้ำ ค่อยออกไปสมทบกับคนอื่น
ท่ามกลางความวุ่นวายเช่นนี้ คงไม่มีใครมาพบสองศพนี้อีก หรืออย่างน้อย ก็ไม่คาดคิดว่าเป็นมันที่ลงมือฆ่าลูกเมียตัวเอง
...
ขงเบ้งบนเก้าอี้ล้อหมุนกำลังสั่งการให้สาวใช้ช่วยประคองฮองเย่อิงออกไปขึ้นรถม้า ในมือยังโอบอุ้มลูกน้อยคนแรกที่เพิ่งคลอดเมื่อคืนเช่นเดียวกัน หางตาเหลือบเห็นควันไฟเกิดขึ้นทางห้องพักฝั่งเล่าปี่ จึงรีบตรงไปสำรวจ จนถึงห้องนอนชั้นใน เพียงทันเห็นซากร่างของกำฮูหยินกับทารกน้อยที่ถูกเผาไหม้ และโดนเพดานถล่มทับหายไปกับตา ในใจขบคิดว่า ใครกันที่หาญกล้าเข้ามาฆ่าคนถึงภายในเช่นนี้
ขณะที่หยิบผ้าห่มคลุมตัวที่ตกหล่นอยู่กับพื้น ขึ้นมาพิจารณาหาร่องรอยหลักฐาน พอดี บิฮูหยินวิ่งกลับเข้ามาตามหากำฮูหยินและทารก กวนอูก็โผล่เข้าจากอีกทางหนึ่งด้วยสีหน้ากังวลใจเช่นกัน กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด
ขงเบ้งรีบใช้ผ้าห่มนั้นห่อตัวลูกชายของตน และส่งทารกน้อยในมือให้กับบิฮูหยิน พลางกล่าวอย่างเร่งร้อน "ลูกของนายท่านอยู่ที่นี่ แต่ท่านฮูหยินใหญ่สิ้นใจในกองเพลิงแล้ว พวกท่านจงรีบพาทายาทน้อยหนีไปก่อนเถิด"
บิฮูหยินรับเด็กน้อยแบเบาะมาแนบอกด้วยความเชื่ออย่างสนิทใจ แล้วหันกายจากไปโดยเร็ว พร้อมกับกวนอูที่ตรงเข้าประกบคุ้มกัน ขงเบ้งส่งสายตาตามในขณะที่ออกไปรวมกลุ่มกับพวกอีกทางหนึ่ง "หวังว่า แผนการนี้จะสำเร็จ เล่าปี่คงคาดไม่ถึงว่าคนทั้งสองจะหลอกลวงมัน"
ในยามศึกสงครามที่ยังไม่มีผู้ใดได้เห็นใบหน้าของทารกแรกเกิดถนัดตา ขงเบ้งอาศัยเบาะแสที่เข้าใจว่า เล่าปี่ยังไม่เคยเห็นเด็กทารก ถึงกับส่งลูกตัวเองสวมรอยเป็นทายาทของเล่าปี่โดยอาศัยคนในครอบครัวช่วยยืนยันตัวตนไปแล้ว
...
ข่าวกองทัพพยัคฆ์เสือดาวกลุ่มแรกของโจโฉ นำทัพมาโดยเตียวเลี้ยว เตียวคับ กาเซี่ยง ใกล้จะถึงนอกเมืองอ้วนเซียแล้ว ทำเอาพวกผู้คนที่อพยพแตกตื่น รีบเร่งเดินทางออกประตูเมืองฝั่งตรงข้ามอย่างกังวลใจ
เตียวหุย จูล่ง คุมกองกำลังเท่าที่มี ตั้งสกัดทางไว้ที่กลางถนนสายหลักที่ตัดผ่านทุ่งเตียงปันที่รายล้อมเมืองอ้วนเซีย ซินเอี๋ย ไปจนถึงสะพานเชื่อมหน้าผามุ่งสู่เมืองซงหยง เมื่อกลุ่มของเล่าปี่ ขงเบ้งออกมาถึง เล่าปี่จึงแสร้งตะโกนสั่งความให้ทั้งสองช่วยตามหาลูกเมียของตนให้ด้วยอีกแรงหนึ่ง
พอดี กวนอูตามมาสมทบ หลังจากที่ใช้เวลาไปสั่งการกำชับให้กวนเป๋ง จิวฉอง นำทหารตั้งรับศึก ถ่วงเวลาไว้ที่ประตูเมืองด้านเหนือให้ได้นานที่สุด พร้อมแจ้งให้เล่าปี่ทราบว่า กำฮูหยินตายแล้ว ส่วนบิฮูหยินกับทารกเกิดพลัดหลงกันระหว่างทางที่ย้อนกลับไปสั่งการที่กำแพงเมืองนั่นเอง
เล่าปี่ฟังแล้วยังพอทำเนา หากแต่ขงเบ้งกลับตื่นตระหนก เพราะตัวเองเพิ่งส่งทารกในมือให้บิฮูหยิน และกวนอูไปดูแลเมื่อครู่ เหตุใดจึงเกิดเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้ จังหวะนั้น จูล่งได้ยิน จึงอาสากลับเข้าไปค้นหาในเมืองอ้วนเซียให้อีกรอบ
สถานการณ์กำลังคับขัน ขงเบ้งจึงสั่งการให้กวนอูนำทหารคุ้มกันเล่าปี่ ตนเอง และชาวบ้านทั้งหลายหลบหนีไปก่อน และให้เตียวหุยเคลื่อนทัพย้ายไปซุ่มสกัดเส้นทางที่สะพานเตียงปันแทน รอให้จูล่งและพวกกวนเป๋งหนีออกมาหมดค่อยทำลายสะพานทิ้ง ตัดขาดเส้นทางอ้วนเซีย-ซินเอี๋ย ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามติดตามมาโดยง่าย
จังหวะนั้น กวนอูจึงแสดงความจริงใจด้วยการเปลี่ยนม้าเซ็กเทา สุดยอดอาชาทิ้งให้ไว้กับจูล่ง เพื่อใช้ในการติดตามหาบุคคลทั้งสอง
...
เตียวจูล่งขี่ม้าเซ็กเทาวนเวียนตามหาอยู่นานจนฉุกใจคิด ย้อนกลับไปที่จวนของเล่าปี่ จึงพบบิฮูหยินในสภาพบอบช้ำ ผมเผ้ารุงรัง เนื้อตัวไหม้เกรียมจนพุพอง และได้รับบาดเจ็บสาหัสที่กลางหลังจนแทบไม่อาจเคลื่อนกายแล้ว
จูล่งสังเกตบาดแผลกลางหลัง เห็นเป็นรอยฟันด้วยอาวุธง้าว แต่น่าสงสัยเพราะฝ่ายตรงข้ามก็ยังไม่ทันเข้ามาในเมือง หรือว่าจะเป็นคนกันเองลอบทำร้ายเสียแล้ว
บิฮูหยินซึ่งปกติก็คุ้มดีคุ้มร้ายอยู่ก่อน คล้ายมีความในใจซุกซ่อน ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตา เหม่อมองทารกในมือ ไม่รับรู้ถึงการมาของจูล่ง และแล้ว นางกลับยกมีดสั้นขึ้น เหมือนจะแทงลงที่หว่างอกเด็กน้อย หมายจะปลิดชีวิตอย่างแน่นอน
จูล่งตกใจ คาดเดาว่า บิฮูหยินฟั่นเฟือน อาจคลุ้มคลั่งคิดสังหารผู้คน จึงได้แต่รีบกระชากตัวเด็กทารกออกมาก่อน และผลักบิฮูหยินให้ถอยห่างออกไป แต่นึกไม่ถึง บิฮูหยินกลับสะดุดเสียหลัก ตกลงไปในบ่อน้ำลึก เสียชีวิตไปพร้อมกับปริศนาคนที่ลอบทำร้ายนาง และสาเหตุที่ต้องการสังหารเด็กน้อย
จูล่งมองดูทารกแรกเกิดของ "เล่าปี่" ที่อยู่ในอ้อมอก พลางนึกถึงแผนการที่จะเกิดประโยชน์ต่อขุมกำลังสัตตดารา และพรรคฟ้าเหลือง หากทารกถูกสลับเปลี่ยนไปซ่อนที่อื่น อาจจะสามารถควบคุมเล่าปี่ได้
ฉับพลัน จูล่งนึกถึงข่าวของทารกแรกเกิดอีกคนหนึ่งขึ้นมาได้ หากสำเร็จ ก็เท่ากับควบคุมผู้นำขุมกำลังได้ถึงสองกลุ่ม และหากผิดพลาด มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรในการก่อกวนครั้งนี้
แม้ระยะทางจะห่างไกลไม่น้อย แต่ยามนี้มีม้าเซ็กเทา อาชาพันลี้อยู่ด้วย มันจึงรีบถอดเกราะนักรบ วางทวนประจำกายซ่อนไว้ใต้พุ่มไม้ แล้วนำทารกขึ้นม้าขี่อ้อมเส้นทาง ไม่ให้พวกกวนเป๋งที่กำแพงเมืองสังเกตเห็น แล้วตรงไปทางทิศเหนือ เส้นทางมุ่งสู่เมืองหลวงฮูโต๋อย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจเสียงร่ำร้องของเด็กน้อยเลย
...
เหยี่ยวดำได้รับคำสั่งให้ลอบติดตามจูล่งมาตั้งแต่ต้น จึงเห็นการกระทำที่แปลกประหลาด แต่ก็ไม่อาจคาดเดาความคิดของคนอื่น นอกจากต้องเป็นการปลอมตัวเดินทางไกลแน่ๆ เพราะม้าที่ใช้เป็นม้าเซ็กเทา ยังถูกควบออกไปอย่างเร่งรีบ
มันจึงไม่รอช้า ช่วงเวลานี้ คงต้องสวมรอยเป็นขุนพลม้าขาว เตียวจูล่งด้วยเสื้อเกราะ และทวนคู่มือก็หยิบฉวยมาใช้ได้พอดีกับเวลา เพราะทั้งเล่าปี่และจูล่งต่างต้องการเวลาสักครึ่งค่อนวัน มิอาจให้กองทัพโจโฉล่วงผ่านเมืองอ้วนเซียได้ก่อน
ดังนั้น มันจึงเอาเศษดินผสมน้ำทากลบเกลื่อนหน้าตากลายเป็นหน้ากากโคลนเปื้อนสี สัดส่วนของมันพอเหมาะกันกับจูล่งอยู่แล้ว ดูไกลๆไม่น่าจะมีใครจับพิรุธได้ พลางยัดเศษใบไม้เศษฟางเข้าไปเต็มอก ให้ดูเหมือนมีทารกซ่อนอยู่
เหยี่ยวดำในชุดเกราะขาว จึงควบม้าออกไปยืนรอคอยทัพแรกของโจโฉอยู่นอกกำแพงเมืองฝั่งเหนือกลางทุ่งเตียงปันตามลำพัง โดยกำชับมิให้พวกกวนเป๋งร่วมลงมือให้เสียแผน ทำให้เหล่าทหารรักษาการณ์ได้แต่ส่งกำลังใจให้ในความห้าวหาญของขุนพลม้าขาว ถึงกับเสี่ยงตายรับศึกเพียงคนเดียว
ทัพแรกของโจโฉที่นำมาโดยเตียวเลี้ยว เตียวคับ และกาเซี่ยง พบเห็นขุนพลเกราะขาว หน้าตาเปรอะเปื้อน ยืนขวางทางคนเดียว ก็ให้นึกแปลกใจ และตกใจระคนกัน ด้วยต่างก็มีวาระซ่อนเร้นแอบแฝงในใจ
เตียวเลี้ยว เตียวคับ ซึ่งที่จริงเป็นพวกสัตตดารา ย่อมแปลกใจในท่าทีของประมุขพรรคฟ้าเหลือง ในขณะที่กาเซี่ยง กระตั้วแห่งหน่วยปักษาสวรรค์ ดูออกว่าเป็นเหยี่ยวดำแฝงตัวมา ทั้งสามจึงต้องการประวิงเวลาด้วยการให้รั้งรออยู่ตรงนั้น จนกว่าโจโฉจะมาถึง แต่มิอาจปล่อยให้หลุดรอดไปด้วยผิดวิสัยการศึกจนเกินไป
หนึ่งกองทัพกับหนึ่งขุนพลจ้องมองดูเชิงกันอย่างเงียบงัน ทางหนึ่ง เปิดทางให้ขบวนเล่าปี่หลบหนี ทางหนึ่ง จูล่งยังคงควบม้าไปสู่ที่หมาย จนเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม โจโฉกับทัพใหญ่ก็ตามมาถึง เมื่อสอบถามทราบความว่าเป็นเตียวจูล่ง ใจหนึ่งก็นึกกริ่งเกรงว่ามีเลศนัยแอบแฝง ใจหนึ่งก็เห็นเป็นโอกาสสะสางปมแค้นเมื่อครั้งศึกเมืองอ้วนเซีย ฟ้าจึงเป็นใจให้ศัตรูเก่ามาหยุดอยู่ตรงสมรภูมิเดิมอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ เป็นฝ่ายมันที่ได้เปรียบกว่า จึงสั่งความให้ตั้งวงล้อมกว้างใหญ่ แล้วให้กองทหารระดับนายกอง เข้าไปจัดการให้อ่อนแรง เพื่อต้องการจับเป็น และสั่งกำชับห้ามใช้เกาทัณฑ์ยิงอย่างเด็ดขาด หวังแก้แค้นให้สาสมใจ
ตามธรรมชาติของอาวุธ ทวนคือจ้าวแห่งอาวุธยาว เพราะมีความยืดหยุ่นสูง สามารถแทง ฟัน หรือกวาดได้ทุกอย่าง หากแต่เหมาะต่อการต่อสู้แบบเดี่ยว เพราะต้องมีจังหวะในการรั้งแทง และเปิดบาดแผลได้ไม่กว้างเท่าใดนัก เมื่อตกอยู่ในสภาพการต่อสู้แบบหมู่ จะเสียเปรียบมากกว่าอาวุธกวาดล้างแบบง้าว หรือลูกตุ้ม
เมื่อประเมินสภาพอาวุธเช่นนี้ โจโฉจึงมั่นใจว่า การใช้คนจำนวนมากกลุ้มรุมเข้าไป จะสามารถจัดการกับยอดขุนพลม้าขาว คู่ปรับเก่าให้ได้ในที่สุด
หากแต่เหยี่ยวดำแสดงฝีมือเชิงทวน ต่อสู้กับเหล่าทหารกองแล้วกองเล่าด้วยท่าสยบมังกรที่ดัดแปลงมาจากกระบวนท่ากวาดฟันแบบง้าวที่เตียวหุย-นางแอ่น ถ่ายทอดให้กวนอู ทำให้มันสามารถสังหารเหล่าทหารได้ทีละมากๆ จนเลือดท่วมกาย ก้าวผ่านขีดจำกัดของอาวุธทวนไปได้
ที่จริง เหยี่ยวดำถูกฝึกฝนมาในแนวทางของมือสังหาร ไม่ได้โดดเด่นในการต่อสู้ที่แจ้ง หรือปะทะเป็นเวลานานๆ หากแต่วันเวลาในยุคอดีตไร้สีสัน รอฟื้นฟูวิทยายุทธ์อยู่ในกระท่อมรังนกเนิ่นนาน อีกทั้งสมาชิกก็ร่อยหรอไปหลายคนผิดจากแผนการดั้งเดิม มันจึงขอฝึกฝนเพิ่มเติมจากเตียวหุย ผู้เป็นเหมือนคลังวิชาบู๊ของหน่วยถัดจากกระสา-อ้วนเสี้ยว ค่อยๆเพิ่มพูนวิชาความสามารถให้ตัวเอง จนยามนี้ กลายเป็นสุดยอดฝีมือแห่งแผ่นดินทั้งสายมืด และสายสว่างได้อย่างเต็มภาคภูมิ
และที่สำคัญ ก่อนออกมานอกเมืองเข้าสนามรบครั้งยิ่งใหญ่นี้ มันยังตัดสินใจใช้ยากระตุ้นพลังชีวิตฉุกเฉินที่ได้มาจากหมอฮัวโต๋-นกฮูก เร่งพลังขึ้นสูงขึ้นเป็นสิบเท่ากว่าปกติ ซึ่งข้อเสียคือ จะทำให้มันสูญเสียอายุขัย และมีผลข้างเคียงในยามสูงวัย ไม่ถึงคราวอับจนหนทางจริงๆก็ไม่ควรใช้ตัวยาที่เปรียบเสมือนพิษร้าย
ระยะแรกเริ่มต้น จูล่งยังดูสดชื่นแข็งแรง กวาดสังหารเหล่าทหารได้อย่างกับบดขยี้มดปลวก แต่พอนานเข้า ตัวยาและเรี่ยวแรงเริ่มเสื่อมถอย มีบาดแผลเปรอะเปื้อนเลือดให้เห็นตามผิวกายแล้ว
กาเซี่ยงเกรงว่าจะเป็นเภทภัยให้จูล่งตัวปลอมถูกจับได้ จึงเสนอโจโฉให้ส่งขุนพลเตียวเลี้ยว เตียวคับ ออกไปจัดการเผด็จศึกได้แล้ว เพราะกาเซี่ยงรู้อยู่ว่าทั้งสองต้องยั้งมือหาทางช่วยคนที่ทั้งสองคิดว่าเป็นประมุขพรรคฟ้าเหลือง
หมากครั้งนี้ตรงตามที่คาดเดา สองขุนพลตรงเข้าต่อสู้ แต่ลอบส่งสัญญาณให้"จูล่ง"รู้ว่าจุดเปราะบางของวงล้อมอยู่ที่ตำแหน่งใด เหยี่ยวดำจึงฉวยโอกาสควบม้าฝ่าไปทิศทางนั้น ซึ่งเป็นหนุ่มน้อยวัยเยาว์ที่ถือกระบี่สั้นคุมเชิงอยู่ด้วยสีหน้ากังวลใจ
เป็นแฮหัวอิ๋น ลูกชายคนรองของแฮหัวเอี๋ยน ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของโจโฉ กับกระบี่สั้นสัตตดารา อาวุธประจำกายของโจโฉนั่นเอง เนื่องจากเป็นการศึกครั้งแรกในชีวิต โจโฉจึงมอบกระบี่คู่กายไว้ให้เป็นกำลังใจ แต่เมื่อแฮหัวอิ๋นพบเห็นการตะลุยเดี่ยวอย่างห้าวหาญของ "จูล่ง" ก็เริ่มอึดอัดใจ หวาดกลัวอยู่ไม่น้อย
เหยี่ยวดำขยับทวนแทงเป็นท่าหลอก แล้วใช้ฝ่ามือกวาดฟันแทน เป็นการพลิกแพลงใช้กระบวนท่าสยบมังกรด้วยมือเปล่าแทน แต่ก็เปี่ยมด้วยพลังสังหารในระยะประชิดตัว ท่วงท่าสวยงามแต่เปี่ยมด้วยความอำมหิตในกระบวนท่า
แฮหัวอิ๋นซึ่งที่จริงมิได้ด้อยฝีมือ เพียงแต่อ่อนประสบการณ์ จึงคอหักตายไปในกระบวนท่าเดียว แล้วเหยี่ยวดำจึงชิงกระบี่สั้นสัตตดารามาใช้แทนทวน เพื่อลดการใช้แรงหักโหมจากการใช้อาวุธยาว และเป็นอาวุธที่ถนัดมือมากกว่า รีบฝ่าวงล้อมหนีกลับเข้าเมืองอ้วนเซียทันทีก่อนจะหมดสิ้นเรี่ยวแรง
ทางด้านพวกกวนเป๋ง จิวฉอง ติดตามดูการต่อสู้อยู่นานภายในประตูเมืองที่ถูกปิดผนึกไปนานแล้ว เหมือนเป็นสักขีพยานให้กับจูล่งในการต่อสู้อย่างกล้าหาญภายในวงล้อมใหญ่เป็นครึ่งค่อนวัน และเมื่อจูล่งควบม้าถอยกลับมาได้แล้ว จึงใช้กระเช้าขนาดใหญ่ ดึงรั้งทั้งคนทั้งม้า ขึ้นสู่กำแพงเมืองในแนวตั้ง คล้ายกับการชักรอก แล้วทั้งหมดก็รีบแยกย้ายกัน จุดไฟเผาบ้านเรือนเป็นการส่งสัญญาณล่าทัพทิ้งเมืองหนีไปทางสะพานหลักที่กำหนดไว้
เหยี่ยวดำก็อาศัยช่วงชุลมุนวุ่นวาย ปลีกตัวไปถอดเกราะวางทวนที่เต็มไปด้วยเลือด ไว้ยังที่ซ่อนเดิม พร้อมกับกระบี่สั้นสัตตดาราที่เพิ่งได้มาด้วย แล้วค่อยเร้นกายจากไปตามวิถีแห่งมือสังหาร
“จูล่งฝ่าทัพรับอาเต๊า” การรบ ณ ทุ่งเตียงปัน ที่สร้างชื่อเสียงให้เตียวจูล่ง จึงเป็นอีกผลงานหนึ่งของหน่วยปักษาสวรรค์ที่ฝากให้กับหน้าประวัติศาสตร์ ฉงนฉงายไปกับสีสันของหนึ่งขุนพลที่อาจหาญต้านกองทัพนับหมื่นได้เป็นเวลาหลายชั่วยาม แถมยังชิงได้กระบี่วิเศษติดมือไปด้วยอีกหนึ่งชิ้น
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา