Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
15 เม.ย. 2021 เวลา 03:07 • นิยาย เรื่องสั้น
3.13. ลูกเสือลูกจระเข้
สองทายาทเกงจิ๋ว เล่ากี๋ เล่าจ๋อง - เล่าปี่ รัชทายาทพลัดถิ่น
เพียงชั่วอึดใจ เตียวจูล่งควบม้าเซ็กเทากลับเข้ามาอีกทางหนึ่ง พร้อมเด็กทารกในวงแขน พบเห็นเสื้อเกราะ และทวนที่เปื้อนเปรอะไปด้วยโลหิต ก็แปลกใจ แต่ก็หยิบเกราะขึ้นมาใส่อย่างไม่ลังเล หยิบทวนคู่ใจ พร้อมกับเก็บกระบี่สั้นสัตตดารา ของวิเศษพรรคฟ้าเหลือง ที่วางไว้ด้านข้างขึ้นมาสะพายเอวไว้ด้วย
เมื่อออกมาจากจวนเล่าปี่ ก็พอดีพบกันกับพวกกวนเป๋งที่ถอยร่นกลับมา จึงพากันหนีออกจากเมืองไปพร้อมกัน ระหว่างการเดินทาง ได้รับคำยกย่องชมเชยเรื่องการต่อสู้ร่วมครึ่งค่อนวัน ได้ใจพวกกวนเป๋งทั้งหลายอย่างที่สุด
จูล่งมีปัญญาไวจึงนิ่งเงียบ รับฟังจนพอปะติดปะต่อเรื่องราว คาดเดาได้ว่า มีใครคนหนึ่งสวมรอยเอาเกราะ เอาทวนไปรบแทนมันอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพราะยิ่งส่งเสริมชื่อเสียงให้กับตัวมันเสียอีก มันจึงรับสมอ้างไว้เอง พร้อมแสดงทารกในวงแขนให้เห็น "นี่คือทายาทของนายท่าน บิฮูหยินส่งให้เราก่อนตาย เด็กน้อยจึงอยู่ร่วมรบกับเราตลอดเวลา ช่างเป็นเด็กมีบุญมากนัก”
เมื่อเป็นเช่นนี้ จูล่งก็มีพยานบุคคลที่มีน้ำหนัก ยืนยันความเป็นมาของเด็กน้อยขึ้นมาแล้วถึงสองคน
...
เตียวหุย ยืนรออยู่หน้าสะพานหลักเตียงปัน จุดแยกแนวหน้าผา แลเห็นสัญญาณควันไฟในเมือง จึงสั่งให้ทหารเตรียมพร้อมในที่ซุ่ม จนเห็นจูล่งกับพวก เคลื่อนตรงเข้ามา จึงส่งสัญญาณให้รีบผ่านไปโดยเร็ว แล้วมันก็ไปยืนขวางสะพานตามลำพัง เหมือนกันกับ "จูล่ง" เพิ่งทำเมื่อไม่นานนี้ โดยบังเอิญ
โจโฉกับพวกบุกฝ่าเมืองอ้วนเซีย เร่งติดตามมา จึงเห็นเพียงเตียวหุยยืนขวางสะพานคนเดียว “ขงเบ้งคงแนะนำให้ใช้แผนเดิมอีกครั้ง” คราวนี้ โจโฉไม่ลังเล สั่งการให้หยุดกองทัพ ตั้งแถวเตรียมเกาทัณฑ์ยิงออกไปหยั่งเชิง ถึงจะมีกับดักพิสดาร อย่างน้อย เจ้าหน้าดำตัวท้วมก็ไม่รอดพ้นจากความตายแน่ๆ
หากแต่กาเซี่ยง กุนซือเงาปีศาจ คล้ายพบเห็นพิรุธอันใด รีบห้ามปรามไว้ได้ทัน พลางบอกให้รีบล่าถอยโดยเร็ว มองเห็นเตียวหุยกวัดแกว่งทวนเป็นวงกว้าง ส่งเสียงร้องดังสนั่นคล้ายดั่งราชสีห์คำราม เสียงสะท้อนกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ ราวกับฟ้าคำรามกลางสายฝน พร้อมเศษก้อนหินใหญ่น้อยที่ร่วงพรูจากบนผาสูงด้านบน ทำเอาทั้งคนทั้งม้าสะดุ้งตื่นกลัว วุ่นวายไปทั่วทั้งกองทัพ
ทันใดนั้น เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นจากแนวป่าข้างทาง และกระจายไปรอบบริเวณ จนแผ่นดินสั่นสะเทือนไปทั่ว พร้อมกับหมอกควันหนาทึบกลุ่มใหญ่ลอยฟุ้งขึ้น คงเป็นกับดักระเบิดที่ฝ่ายเล่าปี่ตระเตรียมไว้ต้อนรับกองทัพฝ่ายตรงข้าม ทำให้เหล่าทหารที่ล่าถอยไม่ทัน ได้รับบาดเจ็บ เหยียบกันล้มตายไปบางส่วน
โจโฉจึงนึกยกย่องกาเซี่ยงอีกครั้งที่ช่วยชีวิตพวกตนไว้ได้ มองเห็นเตียวหุยร้องเย้ยหยัน พลางขี่ม้าข้ามสะพานไป พร้อมกับให้คนช่วยกันจุดระเบิดเพลิง เผาทำลายสะพานทิ้งไปด้วย ครั้งนี้ คงยากจะตามได้ทันแล้ว
ที่จริง กับดักระเบิดครั้งนี้ เป็นฝีมือล้ำยุคสมัยของอินทรีกับเหล่าปักษาที่เหลือช่วยกันจัดการเตรียมไว้ให้ เพราะรู้กันดีว่าเรื่องเช่นนี้ต้องเกิดขึ้น จึงอาศัยความสามารถของหัวขวาน ยอดนักประดิษฐ์ จัดวางสนามทุ่นระเบิดไว้ล่วงหน้า
ที่จริง บริเวณนั้น เป็นเพียงประทัดเสียงผสมผสานกับระเบิดหมอกควันเท่านั้น ยังไม่ใช่ระเบิดทำลายล้างจริงๆ เพียงเพื่อสร้างวีรกรรมครั้งสำคัญให้กับเตียวหุย หนึ่งเดียวที่ยืนขวางสะพานเตียงปัน ต้านโจโฉได้ทั้งกองทัพ มิได้หวังผลสังหารผู้คน แตกต่างจากระเบิดเพลิงที่เผาทำลายสะพานให้เห็นอย่างเด่นชัด
...
เมื่อเตียวหุย จูล่งเลยผ่านเมืองซงหยงตามไปทันกับพวกเล่าปี่ที่เมืองซินเอี๋ยแล้ว จูล่งจึงรายงานข่าวการตายของบิฮูหยิน และมอบทารกน้อยคืนให้ เล่าปี่ลังเล เพราะรู้อยู่ในใจว่า ทารกตัวจริงถูกตนเองฆ่าตายกับมือ แต่ก็รับขึ้นมาอุ้มไว้ แอบสังเกตกลางอก เห็นไม่มีปานแดง แสดงว่า ต้องมีใครสักคนบังอาจสวมรอยมาแล้ว
เล่าปี่จึงแกล้งประกาศเสียงดังว่า "เด็กน้อย เจ้าทำให้ฮูหยินทั้งสองตาย และ เกือบทำให้ทหารเอกของข้าทิ้งชีวิตในสมรภูมิรบ อย่าเก็บมันเอาไว้เลย" ว่าแล้ว ก็โยนเด็กแรกเกิดไปตรงหน้ากลางที่ประชุม พร้อมจับตาสังเกตความเปลี่ยนแปลงของคนใกล้ตัวทั้งหลาย
กวนอู ขงเบ้ง ใบหน้าถอดสี ต่างขยับตัวออกมารอรับ ส่วนจูล่งที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ก็พุ่งตัวออกไปขวางรับเด็กไว้ได้ก่อน ด้วยสีหน้าซีดเผือดเช่นกัน ในขณะที่คนอื่นๆเพียงตระหนกตกใจในการกระทำของเจ้านายอยู่บ้าง
แต่เล่าปี่เหมือนฟั่นเฟือนไปแล้ว ยังชักกระบี่ออก ตามฟันใส่ทารก จนจูล่งต้องรีบหลบไปทางด้านหลังกวนอู เตียวหุย ส่วนขงเบ้งรีบเคลื่อนมาขวางทาง และปลอบให้เล่าปี่สงบเยือกเย็นลง ทำให้เล่าปี่เริ่มมั่นใจ เป็นขงเบ้ง และจูล่ง ที่น่าจะมีปัญหากว่าคนอื่นๆ อีกทั้งสองคนนี้ก็อยู่ในข่ายที่น่าสงสัยกว่าใครอยู่แล้วด้วย เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับทารกในบางช่วงเวลา คนหนึ่งเพิ่งเสียลูกที่เกิดมาพร้อมกัน อีกคนหนึ่งก็พาเด็กกลับมาจากสนามรบ
เล่าปี่ผ่อนคลายท่าทีลง จากนั้น คล้ายทำใจได้ ค่อยประกาศ "ข้าจะตั้งชื่อทารกว่า เล่าเสี้ยน ชื่อเล่น อาเต๊า (ดาวจระเข้) มันมีบุญมาเกิด จึงรอดพ้นเคราะห์ภัยมาได้ แต่เนื่องจากไม่มีคนให้นม และอยู่ระหว่างการเดินทางไกล จึงขอฝากให้อยู่ในความดูแลของฮองเย่อิง ฮูหยินของท่านขงเบ้งที่เพิ่งสูญเสียบุตรไปในการอพยพครั้งนี้ ดูแลเป็นแม่นมให้ไปพลางๆก่อน"
แต่ที่จริง เล่าปี่ให้เหตุผลว่ามีบุญ ในใจกลับนึกถึงความหมายของลูกเสือลูกจระเข้มาฝากให้เลี้ยง “เอาเถิด ข้าจักเลี้ยงมันให้เสียคน โง่เขลาเบาปัญญาไปเลย”
ซึ่งในจุดนี้ เล่าปี่คงจะสมใจ เพราะภายหลัง พบว่า อาเต๊าโดนกระทบกระเทือนจากการรบพุ่งในสมรภูมิ หรือเดินทางไกลด้วยหลังม้า ก็ไม่ทราบ เด็กน้อยจึงค่อนข้างโง่งม เรียนรู้ได้เชื่องช้ากว่าคนทั่วๆไป
ยิ่งเมื่อโตขึ้น ยังโดนเล่าปี่จงใจส่งเสริมทำให้เป็นเด็กเสียนิสัยซ้ำเข้าไปอีก อาเต๊าจึงเท่ากับกลายเป็นเหยื่อการเมืองของคนที่เลี้ยงดูไปอย่างน่าสงสาร โดยที่ "คนที่นึกว่าตนเองคือบิดาที่แท้จริง" เห็นอยู่ตรงหน้า แต่ก็น้ำท่วมปาก ช่วยอะไรไม่ได้
...
ฝ่ายขงเบ้งที่กลบเกลื่อนการหายไปของลูกว่า สิ้นใจตายหลังจากการคลอด ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนในยุคสมัยนั้น เพื่อใช้ทารกมาสวมรอยเป็นทายาทของเล่าปี่ ใช้เวลาเกลี้ยกล่อมฮองเย่อิงอยู่นาน กว่าจะยอมรับเข้าใจในแผนการพิสดารที่คิดขึ้นในเวลาชั่วพริบตานั้น
ทั้งสองคาดไม่ถึง สุดท้ายเด็กน้อยกลับมาอยู่ในอ้อมอกของมารดาที่แท้จริงอีกครั้งจนได้ จึงรับเด็กกลับมาไว้กับตัวด้วยความยินดี ราวกับเปลี่ยนจากแร่ตะกั่วให้เป็นทองคำ ทั้งไม่ต้องสูญเสีย ทั้งเพิ่มมูลค่าขึ้น
แต่ภายหลัง เย่อิงยืนกรานว่าเด็กน้อยตรงหน้าไม่ใช่ทารกของนางแน่นอน เพราะไม่มีรอยตำหนิปานดำที่แขนซ้าย และกลับมีไฝเล็กๆที่ข้างลำคอแทน ทำเอาขงเบ้งงงงันว่าเกิดเหตุการณ์อันใดกันแน่ แล้วลูกที่แท้จริงของตนหายไปได้อย่างไรกัน
เท่าที่รับฟัง มีเพียงกวนอู บิฮูหยินกับเตียวจูล่งเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราว หรือว่าถูกประมุขพรรคฟ้าเหลืองซ้อนกลเข้าแล้ว
...
ฝ่ายจูล่งกลับนึกโล่งใจที่แผนสลับตัวสำเร็จลุล่วงแล้ว ลูกของขุนศึกสองขั้วถูกเปลี่ยนตัวกัน โดยเป็นมันที่กุมความลับไว้กับน้องสาวบุญธรรมที่เป็นจารชนหญิงแห่งยุค เตียวเสี้ยน หรือนางเปียนสี นั่นเอง
ที่จริง จูล่งที่พบอาเต๊าในจวนเล่าปี่ นึกถึงแผนการสวมรอยสับเปลี่ยนสองชั้นด้วยการเอาอาเต๊าไปเปลี่ยนกับลูกโจโฉกับนางเปียนสี ปล่อยให้เด็กทั้งสองเติบโตในฟากฝั่งของศัตรูคู่อาฆาต ภายหลังค่อยยุยงให้กลับไปสู้รบกัน อาจจะเป็นผลดีต่อพรรคฟ้าเหลืองในการเกาะกุมขั้วอำนาจนี้ได้ เพราะสิ่งที่พรรคขาดหายไปคือทรัพย์สิน กองทัพ และเมืองที่มั่น มันจึงคงต้องรอจังหวะต่อไปอีกสักพักใหญ่
เพียงแต่มันคาดไม่ถึงว่า เด็กทารกที่ส่งไปอยู่เมืองหลวง ไม่ใช่ลูกของเล่าปี่ แต่ดันเป็นของขงเบ้งเสียได้ เรื่องราวในภายหลังจึงวุ่นวายสับสนยิ่งนัก
...
หลังจากเพิ่งพลาดท่าเสียเชิงต่อฝ่ายเล่าปี่ และจับตัวจูล่งกลับมาแก้แค้นไม่ได้ ทางด้านโจโฉที่พักกองทัพไว้ที่เมืองอ้วนเซีย รับทราบข่าวการคลอดลูกชายของนางเปียนสีที่เมืองหลวง จึงมีอารมณ์ขุ่นมัว พาลตั้งชื่ออัปมงคลให้ว่า "โจหิม"
ซึ่งต่อมา เมื่อเด็กน้อยเติบโตขึ้น จึงพบว่าปัญญาทึบ คล้ายโง่งม คงจะเป็นเพราะพิษร้ายที่แทรกซึมผ่านจากมารดาที่แท้จริง หรือเพราะทนแรงกระแทกบนหลังม้าเซ็กเทาไม่ไหว ก็สุดจะคาดเดา แต่ก็เหมาะสมกับชื่อ "หิม" ที่อาจจะหมายถึง หมีใหญ่ที่ดูงุ่มง่ามเทอะทะ หรือ เรื่องไม่ดีไม่งาม ก็ได้
และเป็นที่น่าแปลกใจที่ตั้งแต่โจหิมถือกำเนิดออกมา โจโฉ ยอดนักรักก็พลอยหมดความลุ่มหลงในตัวนางเปียนสีไปอย่างไม่มีเหตุผล และไม่มีเยื่อใยเอ็นดูโจหิมแม้แต่น้อย ถึงกับไม่ได้แต่งตั้งใครมาเป็นอาจารย์ให้เหมือนพี่ชายคนอื่น
จึงกลายเป็นว่านางเปียนสีต้องทนอยู่เลี้ยง "ลูกโจหิม" ที่โง่งม ผ่านวันเวลาไปอย่างเชื่องช้าแล้ว จนบางครั้ง สำนึกเสียใจที่ยอมเชื่อตามความคิดของพี่ชายในแผนการครั้งนี้ แต่ก็ยังดีที่กาเซี่ยงเอ็นดูโจหิม รับอาสาเป็นอาจารย์ให้อย่างไม่เป็นทางการ
นางเปียนสีย่อมประเมินพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของโจโฉว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนรักเก่า ซัวบุ้นกี ไม่มากก็น้อย แม้ว่าตัวเองจะเป็นจารชนไส้ศึก แต่ก็ผูกพันกับโจโฉมานานปี จึงอดมีความรู้สึกน้อยใจตามประสาหญิงงามไม่ได้
ส่วนในใจของโจโฉนั้น ที่จริง กลับนึกระแวงในตัวโจเจียงที่เกิดจากนางเปียนสีตัวปลอม ที่นานวันยิ่งมีลักษณะท่าทางคลับคล้ายลิโป้ คู่ปรับเก่า เข้าไปทุกที เมื่อนึกย้อนทบทวนวันเวลาแล้ว พอมีเค้ารางว่าเป็นลูกติดแม่มาในท้อง จึงเป็นการตอกย้ำความไม่พอใจในตัวเปียนสีมากยิ่งขึ้น
เพียงแต่ยังคงเห็นแก่ความรักที่มีต่อโจสิดที่มีอุปนิสัยคึกคะนอง ชอบกวี เหมือนกับตนเองในวัยเด็กไม่มีผิดเพี้ยน นางเปียนสีจึงยังมีที่ยืนอยู่ได้ถึงทุกวันนี้
หากไม่นับโจผีที่เติบโตเป็นนักการเมืองหนุ่ม นิสัยโหดเหี้ยม อำมหิต ใกล้เคียงกับโจโฉผู้เป็นพ่อแล้ว โจเจียงเริ่มฉายแววนักรบเข้มแข็งที่เลือดร้อน ดุดัน เป็นลูกโปรดของนางเปียนสี ส่วนโจสิดออกแนวนักกวีขี้เมา แต่ถูกใจโจโฉเป็นยิ่งนัก
คงเหลือแต่โจหิม คนเล็กที่โง่งม และโชคร้าย เกิดมาโดยปราศจากความรักจากใครๆเลย จนศักดิ์ศรีในตำหนักยังดูจะด้อยกว่าโจยอย ผู้มีศักดิ์เป็นหลานที่มีอายุใกล้เคียงกันเสียด้วยซ้ำ
...
ฝ่ายเตียวหุย นางแอ่น ปรึกษากันกับอินทรีเรื่องบุตรชายของตนที่เติบใหญ่ขึ้นแล้ว และต้องการเลี้ยงดูด้วยตนเองให้ใกล้ชิดขึ้น จึงตกลงใจอาศัยข้ออ้าง พบเห็นลูกชาวบ้านกำพร้าแล้วเกิดถูกชะตา จึงเก็บมาเลี้ยง ตั้งชื่อให้เป็นเตียวเปา
ต่อมา กวนอูก็เลยเลียนแบบ รับเด็กกำพร้ามาเลี้ยงอีกคนในชื่อ กวนหิน เพื่อรำลึกถึงกำฮูหยิน บิฮูหยินที่ตายไป เพราะกวนอูก็ยังปักใจเชื่อว่า อาเต๊า คือลูกของตนเองที่เกิดจากกำฮูหยิน ดังนั้น การรับเลี้ยงกวนหินขึ้นมา จึงเป็นข้ออ้างให้เข้าไปใกล้ชิดกับกลุ่มเด็กๆ รวมถึงอาเต๊าที่ถูกจับให้ไปเลี้ยงอยู่ด้วยกันได้บ้าง
ในใจของกวนอู นับว่ามีความขัดแย้งกันเองไม่น้อย ทางหนึ่ง ก็นึกเสียใจที่กระทำการผิดพลาดต่ออาซ้อทั้งสอง จนไม่อาจบอกกล่าวแก่ใคร ส่วนอีกทางหนึ่ง กวนอูกลับคิดคำนึงถึงทั้งสองไม่เสื่อมคลาย จนไม่อาจหักใจรักชอบหญิงอื่นใดอีก
จากความรักความแค้นที่ซับซ้อน ในเมื่อมันเห็นว่า สองฮูหยินตายไปพร้อมกับความลับ และเล่าปี่ไม่มีทีท่าสงสัยอันใด เด็กน้อยอาเต๊าจึงไม่มีความจำเป็นต้องถูกมันฆ่าปิดปากเหมือนบิฮูหยิน ผู้ล่วงลับแล้ว อย่างน้อย เด็กคนนี้ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของมันเอง กับกำฮูหยิน ผู้ล่วงลับ
น่าเสียดายที่เมื่อมีจังหวะโอกาสแล้ว มันน่าจะชักจูงให้บิฮูหยินหลบหนีออกจากวังวนนี้ไปด้วยกันได้ แต่ดันเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเปลี่ยนใจลงมือแทน
…
ในค่ำคืนที่มันเฝ้าโยงจวนที่พักตามลำพัง ทำให้เกิดอารมณ์ชั่ววูบ ทำพฤติกรรมเกินเลย จนกระทั่งกำฮูหยินเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เล่าปี่ล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ลับของภรรยา แต่แสร้งทำเป็นสนใจในเรื่องอื่นแทน เพื่อรอจับพิรุธชายชู้ จนเหตุการณ์มาถึงความวุ่นวายในช่วงอพยพทิ้งเมือง
กวนอูอาศัยอยู่ใกล้ชิด ย่อมล่วงรู้ความคิดของเล่าปี่ แต่คิดไม่ตกว่าจะทำการณ์อันใด จนเมื่อเกิดเหตุ ยังคิดว่า กำฮูหยินโชคร้ายถูกฆ่าชิงทรัพย์จริงๆ เหลือรอดแต่ทารกน้อยกับบิฮูหยินที่เป็นเพียงผลพลอยได้มาโดยตลอด
ตอนแรกยังคิดหวังจะพานางหลบหนีกันไปสามคน แต่สุดท้าย บิฮูหยินที่สติเลอะเลือน คิดจะบอกเล่าความจริงต่อเล่าปี่ และยังหลุดปากบอกความลับประการหนึ่งที่กวนอูไม่อาจให้อภัยได้ เพราะเป็นเรื่องที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจยิ่งนัก
เป็นนางเองที่ส่งน้ำแกงผสมตัวยาทำลายครรภ์ของกำฮูหยินในคราก่อน เพราะต้องการทำลายพยานบาปคนแรก และยังคงพยายามทำซ้ำอีกในครั้งนี้ แต่เสียดายที่กำฮูหยินคล้ายรู้ทัน จึงระมัดระวังเรื่องอาหารการกินของตนเองมาโดยตลอด
ดังนั้น ครั้งนี้ นางก็จะยังคงลงมือสังหารอีกเช่นกัน คาดไม่ถึง พอพูดจบสิ้น นางก็หันกายอุ้มทารกพุ่งเข้าสู่กองไฟที่ยังลุกโชนในทันที
กวนอูตกใจ ไม่ทันคาดคิด จึงได้แต่สะบัดง้าวฟันใส่กลางหลังของนาง หวังหยุดยั้งให้เสียจังหวะ แต่ไม่ทันเสียแล้ว บิฮูหยินกับทารกหายลับสายตา จึงต้องปล่อยไปตามแต่โชคชะตากำหนด มันจึงได้แต่กลับออกมาปะปนสั่งการกับพวกทหารที่กำแพงเมือง ก่อนออกไปสมทบกับเล่าปี่ที่นอกเมือง
แต่แล้ว ไม่คาดฝัน จูล่งย้อนรอยกลับไปตามหาเป็นนาน ถึงกับพบเห็นร่องรอยการทำร้าย และสามารถพาตัวเด็กน้อยกลับออกมาจนได้ราวกับปาฏิหาริย์
…
ต่อมา เล่าเสี้ยน กวนหิน เตียวเปา จึงถูกเลี้ยงดูเป็นเหมือนสามพี่น้องรุ่นเล็กตามรอยบิดาของตน โดยที่เรียงตามลำดับอายุจาก เตียวเปา กวนหิน และเล่าเสี้ยน ถูกจัดให้อยู่ในความดูแลอบรมของปราชญ์หญิงแม่นมจำเป็น ฮองเย่อิง
หลายปีให้หลัง ยังมีจูกัดเจี๋ยม บุตรชายของขงเบ้งเข้ามาร่วมกลุ่มด้วยอีกคน โดยคนที่ฉลาดเฉลียว ทั้งบู๊ทั้งบุ๋น จนโดดเด่นที่สุด กลับเป็นเตียวเปา แต่เนื่องจากคนอื่นหลงเชื่อว่า เตียวเปาถูกเก็บมาเลี้ยง ไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของเตียวหุย จึงไม่ได้ติดใจสงสัยกระไร กลับนึกยินดีแทนผู้เป็นบิดา
หากแต่เตียวหุยเท่านั้นที่ทราบว่า เด็กคนนี้ เชื้อไม่ทิ้งแถว เพราะมีบิดาเป็นจูล่ง ขุนพลใหญ่ และ ประมุขพรรคฟ้าเหลือง มารดาเป็นเตียวหุย ขุนพลใหญ่ และ นางแอ่นแห่งหน่วยปักษาสวรรค์
…
สถานการณ์การอพยพผู้คนไปยังเมืองกังแฮยังไม่จบสิ้น แม้ว่ากองทัพโจโฉจะตามมาไม่ทันในเวลาอันสั้น เพราะเตียวหุยทำลายสะพานเตียงปันไปแล้วก็ตาม แต่พวกเล่าปี่ก็ยังไม่หมดความกังวลใจ ยังคงทำตามแผนการเดิมที่วางไว้ต่อไป ถึงกับสั่งการให้พวกกวนเป๋งเผาทำลายเมืองซงหยงไปอีกเมือง เพื่อถ่วงเวลาข้าศึกให้ได้นานที่สุด และเป็นการเร่งอพยพราษฎรตามแผนไปพร้อมกัน
การเคลื่อนพลทหารและชาวบ้านทั้งสามเมืองปะปนกัน ลัดเลาะไปตามแม่น้ำไต้กัง กลับมีกองทัพเรือนับสิบลำมาจากทางเมืองเกงจิ๋วนำโดยชัวมอ เตียวอุ๋น มุ่งหน้าเข้ามาใกล้จากอีกเส้นทางหนึ่งจนมองเห็นธงประจำตัวของแม่ทัพได้ถนัดตา
พวกเล่าปี่คาดเดาได้ว่า ถ้าเป็นชัวมอคุมทัพมา คงหมายจะจับตัวขบถเล่าปี่และพวกไปส่งให้โจโฉ จึงรีบหลบหนีลึกเข้าไปทางบก โดยใช้กำแพงมนุษย์หลายพันคนขวางกั้นบดบังสายตา ทำให้ชัวมอ เตียวอุ๋นไม่กล้าใช้เกาทัณฑ์ยิงด้วยเกรงจะพลาดโดนประชาชน ได้แต่บังคับเรืออ้อมมาทางด้านหน้าแทน เกิดเป็นภาพกองทัพเรือที่พยายามดักสกัดพวกผู้คนที่กำลังอพยพหนีภัยสงครามด้วยทางเท้า
แต่แล้ว กองทัพเรือรบแดนกังตั๋งหลายสิบลำ นำโดย โลซก กำเหลง กลับปรากฎขึ้นจากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ ตรงเข้ายิงเกาทัณฑ์โจมตีใส่ฝ่ายเกงจิ๋ว ทำให้ฝ่ายชัวมอที่มีจำนวนเรือน้อยกว่า ไม่กล้าเปิดศึกกลางน้ำ ต้องยอมล่าถอยกลับไปก่อน
โลซก กำเหลง และชายคลุมหน้า ซึ่งก็คือบังทอง ลงจากเรือ เข้ามาคารวะแนะนำตัวกับพวกเล่าปี่ ที่แท้ ขุนพลจิวยี่ทราบความเคลื่อนไหวของโจโฉ ที่ร่วมมือกันกับชัวมอ หมายสังหารพวกเล่าปี่ จึงสั่งการให้ทั้งสามนำกองทัพเรือมาช่วยเปิดทางให้หลบหนีไปยังเมืองกังแฮได้อย่างปลอดภัย นับว่าจิวยี่เปิดท่าที คาดหวังความร่วมมือจากพวกเล่าปี่อย่างชัดเจนแล้ว เพราะทั้งสามได้รับคำสั่งให้มาเชิญตัวขงเบ้งไปร่วมปรึกษาแผนการรับศึกโจโฉในรายละเอียดด้วย
พวกเล่าปี่ปรึกษากัน หากขงเบ้งไม่ไปตามคำเชิญ พวกกังตั๋งทั้งสามก็คงไม่ปล่อยให้ทั้งหมดเดินทางต่อเป็นแน่ เห็นที กุนซือมังกรซ่อนต้องยอมเสียสละเสียแล้ว จึงได้แต่จ้องมองท่าทีของขงเบ้งผู้เดียว
งานนี้ ขงเบ้งขบคิดสักครู่หนึ่ง จึงเอ่ยปากขอเตียวจูล่งให้ไปด้วยกัน ในใจคิดว่า คนคนนี้มีเบื้องหลังเป็นถึงประมุขพรรคฟ้าเหลือง หากนำจูล่งเดินทางไปด้วย อย่างน้อยคงจะพอช่วยเหลือกันได้มากกว่าขุนพลคนอื่นๆ แล้วกระซิบสั่งความให้พวกเล่าปี่ซื้อใจเล่ากี๋ไว้ให้ได้จึงจะปลอดภัยได้พักใหญ่
ดังนั้น เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย กับคนทั้งหลายจึงเดินทางต่อไปยังเมืองกังแฮตามแผนการเดิม ปล่อยให้ขงเบ้ง กุนซือมังกรซ่อน กับขุนพลม้าขาว จูล่งที่เพิ่งสร้างชื่อสะท้านแผ่นดิน ติดตามพวกโลซก ลงเรือกลับไปเมืองต๋องง่อ เพื่อเข้าพบกับนายใหญ่ ซุนกวน พยัคฆ์น้อยแห่งกังตั๋ง ในฐานะทูตเจรจาความเมือง
ศึกใหญ่ระหว่างโจโฉ กับ พันธมิตรเล่า-ซุน กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า เป็นมหาสงครามเซ็กเพ็กที่ประวัติศาสตร์ต้องจดจำ
...
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 3 - มังกรจ้าวบูรพา
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย