19 เม.ย. 2021 เวลา 01:52 • นิยาย เรื่องสั้น
3.16. นงคราญในบทกลอน
สำนักหุบเขาปีศาจ - บังเต๊กกง ซุนแจ้ง โจวจู๋
ประมุขพรรคฟ้าเหลือง จูล่งแอบไปพบกับเตียวเจียว ดาวนักปราชญ์แห่งขุมกำลังสัตตดาราที่บ้านพักขุนนางผู้ใหญ่ในยามค่ำคืน ยังคงได้รับการต้อนรับอย่างดี จึงค่อยคลายใจลงบ้าง และรีบให้กุนซืออาวุโสวิเคราะห์สถานการณ์เมืองกังตั๋งให้ฟัง
ตั้งแต่ศึกกัวต๋อเริ่มต้นขึ้นทางด้านเหนือ ซุนกวนคล้ายได้รับคำชี้แนะจากแหล่งใดไม่ทราบ ปรับเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่ของขุนนางภายในมากมาย แบ่งแยกระบบราชการออกเป็นสี่สายงานหลัก
ให้จิวยี่ดูแลการทหารทั้งหมด อุยกายดูแลเรื่องเสบียง อาวุธ และยุทโธปกรณ์ต่างๆ โลซกดูแลการปกครอง และการคัดเลือกขุนนางใหม่ ส่วนตัวมันไปดูแลงานเกษตร งานฝีมือและงานพัฒนาบ้านเมือง โดยซุนกวนดูแลการคลังและการค้า ร่วมกันกับเจ้าสัวเกียวที่ทรงอิทธิพลทางการค้า จนได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสแห่งรัฐ (ก๊กโล)
การจัดสรรโครงสร้างใหม่เช่นนี้ ทำให้อำนาจทางการเมืองขึ้นอยู่กับซุนกวน ขุนนางรุ่นใหม่อย่างจิวยี่ โลซก และเจ้าพ่อวงการค้าเกียวชวนไปโดยปริยาย เขี่ยขุนนางเก่าอย่างตัวมันกับอุยกายออกไปนอกวงจรสำคัญแล้ว
สำหรับการศึกกับโจโฉในครั้งนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่ข่าวใหม่ที่คาดไม่ถึง แต่เมื่อมาถึงเวลาจริงๆ ก็สร้างความกังวลใจให้กับพวกขุนนางอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะกองทัพขนาดร้อยหมื่น ซุนกวนจึงต้องเดินทางไปปรึกษากับจิวยี่ และสำรวจกำลังทหารด้วยตนเอง ที่ค่ายทหารใหญ่เมืองชีสอง เพื่อประเมินสถานการณ์และสร้างความเชื่อมั่นในการตัดสินใจครั้งสำคัญว่า จะสู้สุดกำลัง หรือ จะยอมแพ้
จูล่งจึงฝากให้เตียวเจียวช่วยหาทางยับยั้งสงครามในครั้งนี้ มันอยากจะรักษากองทหารกังตั๋งเอาไว้ทั้งหมด รอเวลาให้มันแทรกซึมเข้ามาให้ได้ระดับหนึ่งเสียก่อน ค่อยว่ากันใหม่ การยอมแพ้ให้กับทัพร้อยหมื่นของโจโฉ น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดของพรรคฟ้าเหลืองที่รอคอยจังหวะเวลา
ก่อนลาจากกัน เตียวเจียวผู้เฒ่าไม่ลืมที่จะย้ำเตือนว่า เป็นเตียวจูล่งนี่เองที่ลอบสังหารซุนเกี๋ยน บิดาของซุนเซ็ก ซุนกวน ป้ายความผิดให้กับเล่าเปียว จนเกิดเรื่องราวเปลี่ยนแปลงไปตั้งมากมายในดินแดนแห่งนี้ “ท่านประมุขต้องระวังตัวไว้ด้วย หากฝ่ายตรงข้ามล่วงรู้ความจริงขึ้นมา คงจะหลบหนีได้ยากเป็นแน่”
...
ห่างไกลออกไปอีกฟากฝั่งของเมืองเดียวกัน คนของเครือข่ายสุมา อันมี ขงเบ้ง บังทอง ลกซุน สามในห้าทายาทมังกร ร่วมกับ จูกัดกิ๋น และอุยกาย กำลังประชุมลับในประเด็นร้อนแรงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
สถานะทางการเมืองของขุนนางอาวุโสอุยกายที่เคยคุมกำลังทหารหลัก ถูกปรับเปลี่ยนลดทอนไปแล้ว ในขณะที่ลกซุนยังคงเป็นเพียงกุนซือข้างกายจิวยี่เท่านั้น ไม่มีตำแหน่งราชการใดๆ
ส่วนบังทองได้เป็นคนสนิทภายในจวนของโลซก โดยจูกัดกิ๋นที่ผ่านการสอบคัดเลือกใหญ่กลับได้ตำแหน่งขุนนางด้านพัฒนาบ้านเมือง ทำงานขึ้นตรงอยู่กับเตียวเจียวโดยตรง
การประชุมครั้งนี้ ซับซ้อนด้วยตำแหน่งการงานในกังตั๋งทั้งสี่สาย และสถานะแท้จริงในเครือข่ายที่กลับตาลปัตร อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่ขงเบ้งต้องเป็นคนออกหน้า ประสานงานกับขุนพลสำอาง จิวยี่โดยตรง จึงรับหน้าที่เป็นตัวหลักในการดำเนินการวางแผนในครั้งนี้
ขงเบ้งคล้ายลืมเลือนไปว่า บังทอง และอุยกายเป็นต้นเหตุทำให้ตนเองขาพิการ กลับกลบเกลื่อนว่าขาพิการเพราะพิษร้ายจากแดนใต้กำเริบ ซึ่งหลอกได้แค่อุยกายคนซื่อ ส่วนคนอื่นๆกลับล่วงรู้ความนัยด้วยมุมมองที่แตกต่างกันไป บังทองเป็นคนบงการโดยตรง ลกซุนแอบเห็นเหตุการณ์จากด้านข้าง และจูกัดกิ๋นรับรู้ความจริงจากปากคำของขงเบ้งเอง
"ศึกครั้งนี้ ต้องให้ท่านอาอุยกาย และพี่สามออกโรง ผลักดันให้จิวยี่ โจโฉร่วมทำศึกในรูปแบบที่เราต้องการให้ได้ และมีเพียงพวกท่านที่จะสามารถยึดกุมหัวใจของแผนการได้ทั้งหมด เพราะคนอื่นๆยังไม่อยู่ในตำแหน่งสำคัญพอที่จะผลักดันให้เกิดการเคลื่อนไหว" ขงเบ้งกล่าว
"ขอให้ท่านอาเสนอตัวทำแผนไส้ศึกต่อจิวยี่ มันต้องยินดีจัดการให้อย่างแน่นอน ส่วนพี่สามอาจจะต้องรับอาสาโลซก เดินทางข้ามน้ำไปประสานกับพี่ใหญ่ พี่รอง เพื่อหลอกล่อปั่นหัวโจโฉอีกทางหนึ่ง เพราะหากให้ศิษย์พี่ทั้งสองทำเอง อาจจะทำให้แฝงตัวอยู่กับโจโฉต่อไปไม่ได้ ซึ่งพวกเรายังไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น สำหรับน้องห้ากับพี่ใหญ่ คอยเคลื่อนไหวสอดรับในมุมมองที่เหมาะสมแล้วกันเถิด"
เปลือกนอก คล้ายขงเบ้งวางตัวคนให้เหมาะสมกับงาน แต่ที่จริงแล้ว กลับเป็นการวางหมากร้ายให้เป็นเหยื่อล่อ หวังให้โดนกินจากฝ่ายตรงข้ามทั้งสิ้น ถึงแม้นบังทอง อุยกาย ไม่ตายในการศึก ก็สุ่มเสี่ยงเป็นภัยแก่ตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แสดงว่า ขงเบ้งเริ่มตอบโต้กำจัดศัตรูบ้างแล้ว
...
เหยี่ยวดำลอบเข้าเมืองต๋องง่อ พบปะกับบุตรชายกำพร้าของลิแปะเฉีย สายลับคนสำคัญที่แฝงตัวอยู่ในขุมกำลังนี้ พลางถ่ายทอดเรื่องราวที่ควรรู้ให้ทราบ
ถึงแม้จะเป็นพรรคพวกเดียวกัน แต่ความแตกต่างของยุคสมัย และเรื่องราวที่ซับซ้อน อาจยากเกินกว่าจะอธิบายได้ทั้งหมด เหยี่ยวดำจึงจงใจสร้างเป็นเรื่องราวง่ายๆ ให้คนในยุคโบราณพอเข้าใจได้ก็พอ และรับฟังข้อมูลความเคลื่อนไหวฝ่ายกังตั๋งกลับมาด้วยเช่นกัน
“คุ้มครองคนของเล่าปี่ ช่วยกันจัดการโจโฉก่อน แต่ต้องระวังจูล่ง เตียวเจียว บังทอง และขงเบ้งไว้ให้ดี ความคิดของพวกมันซับซ้อนยิ่งนัก” เหยี่ยวดำสรุปให้กับสายลับพิเศษของตนก่อนจากไป
...
หลายวันต่อมา ผู้นำซุนกวนเดินทางกลับมาในเมืองต๋องง่อพร้อมกับขุนพลใหญ่ จิวยี่ ยังไม่มีข่าวแพร่งพรายออกมาว่า ทั้งสองคนตัดสินใจเช่นไรต่อการศึกครั้งนี้
เหล่าขุนนางนายทหารคนสนิทจึงได้แต่รอคอยฟังคำประกาศในที่ประชุม พร้อมกันกับอาคันตุกะแปลกหน้าสองคน เป็นขงเบ้งบนเก้าอี้ล้อหมุน และจูล่งซึ่งสร้างความแปลกใจกับเหล่าขุนนางหลายคนที่ยังไม่รู้จักสถานะของคนทั้งสอง
เมื่อเริ่มต้นการประชุม ขุนพลอาวุโส อุยกาย ซึ่งพร้อมที่จะเป็นฝ่ายเสนอ จึงเปิดประเด็นขึ้นก่อนทันที "กองทัพโจโฉบุกลงใต้ในครั้งนี้ จุดมุ่งหมายอยู่ที่กังตั๋งอย่างชัดเจน ขืนตั้งรับยืดเยื้อไป มีแต่จะเสียการ สมควรรีบรุกโจมตีก่อนพวกมันจะตั้งหลักได้มั่นคง"
เตียวเจียว ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ รีบค้านตามคำสั่งที่ได้รับมาจากประมุขพรรคฟ้าเหลือง "ช้าก่อน คำโบราณกล่าวว่า ใช้การทูตนำการทหาร พวกเราควรส่งคนไปเจรจาระงับศึก แบ่งปันพื้นที่กัน รักษาเขตแดนไว้โดยไม่มีการสูญเสีย จึงจะดีกว่า"
เสียงขุนนางนายทหารสนับสนุนมีทั้งสองฝ่ายจนอื้ออึงเซ็งแซ่ไปทั้งห้อง ก่อนที่โลซก ในฐานะขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายปกครองจะยกมือห้าม และกล่าวขึ้นบ้าง "หากประเมินกำลังแล้ว ทัพร้อยหมื่นย่อมไม่อาจจักดูแคลนได้ ฝ่ายเราระดมเต็มที่ ยังได้แค่สามสี่สิบหมื่นเท่านั้นเอง จึงสมควรทบทวนให้ดีก่อน"
โลซกหยุดมองรอบๆห้องประชุม แล้วค่อยกล่าวแนะนำต่อ “โชคดีที่ครานี้ พวกเราได้รับเกียรติจากท่านกุนซือมังกรซ่อน ขงเบ้ง ผู้โด่งดังจากการเผาทัพแฮหัวตุ้นที่ทุ่งพกบ๋อง และท่านขุนพลเมฆขาว จูล่ง นักสู้ผู้สร้างชื่อในวีรกรรมเตียงปันโห เข้ามาร่วมปรึกษาหารือ ขอเชิญท่านกุนซือช่วยชี้แนะด้วยเถิด”
โลซกสมกับเป็นนักการเมืองอาชีพ ตัวมันไม่สนับสนุนสงคราม และยังร่วมกับเจ้าสัวเกียว เกลี้ยกล่อมขงเบ้งให้ช่วยเจรจา แต่กลับไม่แสดงท่าทีชัดเจน โยนหน้าที่ให้ขงเบ้งเป็นฝ่ายเปิดประเด็นเสียเอง มิหนำซ้ำ ยังปรับเปลี่ยนชื่อขุนพลม้าขาวให้เป็นขุนพลเมฆขาว ล้อกันกับชื่อจริงโดยบังเอิญ
หากแต่สมญานาม “เมฆขาว” ที่โลซกนำมาใช้ ที่จริง หมายถึงวีรกรรมทุ่งสังหารเตียงปัน หนึ่งขุนพลต่อกรกับกองทัพนับหมื่น เปรียบจูล่งเป็นเหมือนก้อนเมฆสีขาวที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าอย่างมีสีสันโดดเด่น ยามนี้ น้อยคนที่ล่วงรู้ชื่อจริงของเตียวหยุน-จูล่ง แม้แต่โลซกก็คงไม่มีเบาะแสในเรื่องนี้
ขงเบ้งเลื่อนเก้าอี้ล้อหมุนออกมากลางที่ชุมนุม พลางโบกพัดขนนกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ขอแสดงความยินดีต่อท่านทั้งหลายที่ได้เจ้านายที่กล้าหาญ มีขุนพลที่องอาจ ไม่กลัวตาย วันนี้ กองทัพร้อยหมื่น ฟังดูเป็นตัวเลขที่มากมาย แต่จำนวนทหารที่มากเกินไป ย่อมสร้างภาระหนักทั้งอาหารการกิน ที่พักอาศัย และเครื่องนุ่งห่มใช้สอย แต่ละวันย่อมเกิดความตึงเครียดภายในกองทัพไม่หยุดหย่อน”
ขงเบ้งหยุดเล็กน้อย ประเมินว่า ตนเองสามารถกระตุ้นความสนใจได้แล้ว จึงค่อยกล่าวต่อ “ส่วนการสู้รบทางน้ำ ต้องวัดกันที่จำนวนเรือรบ และยุทธวิธีทางน้ำเป็นสำคัญ มิได้ดูที่กำลังพลทั้งจำนวน และในเมื่อฝั่งศัตรูไม่ชำนาญทางเรือมาก่อนเลย หากกองทัพโจโฉลงน้ำ ก็เป็นเพียงเป็ดดอน รอวันถูกสังหารเท่านั้น ซึ่งท่านเจ้าเมือง และท่านขุนพลใหญ่ทราบดีอยู่แล้ว จึงได้เรียกประชุมวันนี้ เพื่อสร้างขวัญ กำลังใจในการศึกครั้งนี้ เมืองกังตั๋งกำลังจะมีชื่อเสียงเกรียงไกร ในฐานะผู้ปราบกองทัพร้อยหมื่นในเร็ววันนี้ ถูกต้องหรือไม่ ท่านจิวยี่”
จิวยี่ ขุนพลใหญ่ที่ถูกพาดพิง ตีสีหน้านิ่งเฉยจริงจัง จึงก้าวออกมากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผิดแล้ว พวกเราไม่ได้คิดที่จะเปิดศึกกับโจโฉ วันนี้ เพียงเรียกเข้ามาให้รับทราบโดยพร้อมเพรียง พวกเราจะใช้วิธีการแบบบุ๋นตามที่ท่านเตียวเจียวแนะนำ ท่านโจโฉส่งสารเข้ามาแล้วเมื่อคืน ต่างฝ่ายต่างอยู่อย่างพันธมิตรต่อกัน เพียงต้องการแลกเปลี่ยนตัวประกันตามธรรมเนียมทูตแต่โบราณเท่านั้น”
เมื่อเสาหลักทางการทหารเอ่ยปากเช่นนี้ ขุนนางนายทหารทั้งหลายจึงหันหน้าปรึกษากันอย่างสับสนอลหม่าน แต่คำประกาศได้สร้างความพอใจให้กับคนที่ไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามจนออกนอกหน้าไปหลายคน ทำให้เห็นได้ชัดว่าใครสนับสนุนฝั่งไหน คงเหลือแต่โลซก โกะหยง และฝั่งนายทหารบางคน เช่นอุยกาย กำเหลง จิวท่าย และเล่งทอง ที่ยังนิ่งเฉย รั้งรอ ไม่แสดงท่าทีใดๆ
ส่วนขงเบ้งเหมือนงุนงงไปชั่ววูบ เพราะคาดไม่ถึงว่าจิวยี่จะเปลี่ยนใจจากข้อตกลงเดิม หรือขุนพลรูปงามคิดจะก่อกวนเล่นแง่ขึ้นมาจริงๆ แต่พอสังเกตเห็นซุนกวนที่ยังนั่งเงียบอยู่ คล้ายรั้งรอสัญญาณอันใด จึงนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ขงเบ้งรีบประสานมือกล่าว “หากเป็นเช่นนั้น กลับทำให้ข้าน้อยนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ข้าน้อยขอร่ายบทกลอนจากปราสาทนกยูงทองแดงของโจโฉที่ได้เคยรับฟังมา ให้กับท่านขุนพลฟังสักครา”
ว่าแล้ว ขงเบ้งก็ใช้พัดขนนกเคาะจังหวะ พลางท่องบทกวีบทหนึ่ง “มองปักษาบนยอดปราสาทสูง คือนกยูงที่เจ้าเคยถวิลหา ยังคะนึงถึงสองเกี้ยวทุกเวลา จักนำพานวลน้องกลับแดนเดิม"
ที่ประชุมปั่นป่วนไปในทันที ใครฟังก็เข้าใจว่า "สองเกี้ยว" หมายถึงผู้ใด ฉับพลัน ใบหน้าจิวยี่ก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด นัยน์ตาแดงฉาน หันไปสบสายตากับซุนกวน เจ้าเมืองหนุ่มรุ่นน้อง เหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้แก่กัน ซุนกวนจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง หลังจากนิ่งเงียบมานาน
"สงครามครั้งนี้คงมิอาจหลีกเลี่ยงได้ด้วยโจโฉมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่ในใจ ถึงยอมพ่ายแพ้ สุดท้ายก็มิอาจจะยุติความสูญเสียของแดนใต้ได้ ดังนั้น ข้าเลือกที่จะทำศึกในน่านน้ำ ร่วมมือกับท่านเล่าปี่ ปราบจอมทรราชย์ของแผ่นดิน ขอให้ขุนพลใหญ่ จิวยี่เป็นแม่ทัพ มีอำนาจสั่งการสูงสุด และขุนพลอุยกายเป็นรองแม่ทัพ ตำแหน่งอื่นๆให้ท่านจิวยี่จัดสรรเองตามความเหมาะสม ใครไม่ทำตามคำสั่ง ให้ใช้กระบี่อาญาสิทธิ์ประหารได้ทันที"
ว่าแล้ว ซุนกวนก็ชักกระบี่ประจำตัวออกมาฟันมุมโต๊ะเป็นสัญลักษณ์ตอกย้ำถึงความตั้งใจเด็ดเดี่ยวของผู้นำขุมกำลังแดนใต้
ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวบรัดชัดเจน ทำให้ฝ่ายที่คัดค้านการรบ เปิดเผยตัวตนไปแล้ว จิวยี่จึงสามารถคัดเลือกคนที่ตั้งใจรบจริงๆ เข้าร่วมในการศึกอย่างง่ายดาย กำลังคนที่น้อยกว่า ย่อมต้องการผู้นำทัพที่มุ่งมั่น หลายคนเริ่มคาดเดาแล้วว่า ที่แท้ ก็เป็นแผนการของจิวยี่ที่ต้องการกวนน้ำให้ขุ่น แบ่งแยกเฉพาะฝ่ายสนับสนุน ให้เข้าร่วมทำศึกนั่นเอง ซุนกวนกับจิวยี่คงมีการตกลงใจมาก่อนแล้ว
จิวยี่จ้องมองประสานสายตา ทำหน้าเครียดใส่ขงเบ้งที่ยังคงโบกพัดขนนกด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม ทั้งสองต่างรู้อยู่แก่ใจว่า บทกลอนนั้นเป็นเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ เพียงแต่ขงเบ้งนำเสนอในจังหวะที่พอดี แล้วจิวยี่ก็น้อมรับไปใช้ต่อเป็นข้ออ้างในการเปลี่ยนท่าทีเท่านั้น จึงคล้ายขงเบ้งฉวยโอกาสหลอกด่าจิวยี่ไปหนึ่งคราแล้ว
บทกลอนบทนี้เป็นโจโฉแต่งขึ้น และถูกจารึกไว้ที่ปราสาทนกยูงจริงๆ แต่ของจริงใช้คำว่า "ยังคะนึงถึงนงคราญทุกเวลา" โดย"นงคราญ"นั้นหมายถึง นางซัวบุ้นกี หญิงคนรักที่พรากจากกันไปถึงแดนไกลต่างหาก
แต่ขงเบ้งใช้กลยุทธ์ "แต่งใบเสริมดอก" นำบทกลอนที่รับฟังมาจากเด็กน้อยโจสิดท่องขานบนรถม้า มาดัดแปลง เพื่อยั่วยุจิวยี่โดยตรง แต่ไม่ว่าประวัติศาสตร์จะจารึกไว้เช่นไร บัดนี้ ฝ่ายกังตั๋งก็พร้อมจะทำศึกกับกองทัพรัฐบาลแล้ว
ใกล้ยามสนธยาแล้ว ซุนกวนกับสี่เสาหลักกังตั๋ง อันได้แก่ จิวยี่ โลซก เตียวเจียว อุยกาย จัดงานเลี้ยงรับรองเป็นการส่วนตัวให้กับขงเบ้ง จูล่ง ซึ่งเป็นตัวแทนพันธมิตร ในสวนดอกไม้ เพื่อปรึกษาการศึกในเชิงลึก
หากแต่ไม่คาดคิดว่า จะมีอาคันตุกะพิเศษที่มาเป็นครอบครัวใหญ่ เข้ามาขัดจังหวะการพูดคุยได้ นั่นคือ เจ้าสัวเกียวชวน ไต้เกี้ยว เสียวเกี้ยว และเด็กหญิงเด็กชายในวัยเกือบสิบปีจูงมือตามกันมาด้านหลัง
ผู้อาวุโสอ้างว่า พาไต้เกี้ยวกับบุตรี แวะมาเยี่ยมเยียนซุนไท่ไถ้ ผู้เป็นย่าแล้ว ทราบเรื่อง จึงชักชวนกันมาพบปะทักทายกับผู้กล้าเลื่องชื่อ พร้อมกล่าวแนะนำลูกหลานตามประสาคนช่างเจรจา “หลานสาว ซุนซีเป็นลูกสาวของซุนเซ็กกับไต้เกี้ยว หลานชาย จิวหุนเป็นลูกชายของจิวยี่กับเสียวเกี้ยว อายุห่างกันเพียงหนึ่งปี”
ทั้งหมดงงงันวูบ ปกติ คนนอกไม่ควรนำผู้หญิงและเด็กเข้ามายุ่งเกี่ยววุ่นวายเช่นนี้ คนฝ่ายกังตั๋งจึงทั้งขุ่นเคืองทั้งอับอายต่อเจ้าพ่อการค้า หากแต่ขงเบ้งพอรู้เท่าทันความคิด จึงชิงกล่าวเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดลง
“ยังต้องยินดีกับท่านจิวด้วยที่มีทายาทเพิ่มอีกคนหนึ่งแล้ว” ขงเบ้งประสานมือแย้มยิ้ม สบตากับขุนพลสำอางอีกครา
จิวยี่เงยหน้า หัวเราะเสียงดังฮาฮา “มังกรซ่อนเก่งกาจสมชื่อ คนอื่นพบเห็นแทบทุกวันยังไม่ทันล่วงรู้ ท่านเพิ่งเจอแค่วูบเดียวกลับบอกได้ถูกต้องแล้ว ถูกต้อง ภรรยาเราเพิ่งตั้งครรภ์ครั้งที่สองได้สามเดือนเท่านั้นเอง”
“ดีแล้ว อีกไม่นาน ข่าวมงคลย่อมทะยอยมาอีกมากมาย” ขงเบ้งพูดเย้าแหย่ต่อ แต่สายตากลับทิ้งผ่านไปทางไต้เกี้ยวและจูล่งที่แอบส่งสายตาหากัน จนทั้งสองหน้าแดงวูบ เมื่อถูกคนจับพิรุธออก
เสียงกระแอมดังขึ้นก่อนที่ซุนซ่างเซียงประคองนางซุนไท่ไถ้เข้ามาพร้อมกล่าว “เป็นท่านแม่ให้เกียรติมาร่วมวงกับพวกท่านแล้ว”
คนกังตั๋งรีบลุกขึ้นต้อนรับอย่างสำรวม บรรยากาศเปลี่ยนไปจากการประชุมปรึกษาการงาน เป็นคล้ายครอบครัวใหญ่พบปะสังสรรค์ไปเสียแล้ว ขงเบ้งบนเก้าอี้ล้อหมุน รีบค้อมกายเก็บอาการดีใจ คล้ายพลันพบเห็นเรื่องราวอันใดสำคัญให้เกาะกุม
ริมหน้าผา ณ หุบเขาละทิ้งอดีต อันเป็นที่ตั้งสำนักหุบเขาปีศาจที่เป็นขุมกำลังอันเร้นลับ คนเล่นพิณและบังเต๊กกง ผู้นำหุบเขา รับฟังรายงานจากซุนแจ้ง ผู้นำตระกูลซุน กล่าวถึงการมาเยือนกังตั๋งของสองอาคันตุกะ ขงเบ้งกับจูล่ง
“ซุนฮกพลาดท่าสิ้นชีพ พวกเราคล้ายขาดห่วงโซ่เชื่อมประสาน หรือว่า ท่านคิดจะใช้งานเจ้ามังกรซ่อนขึ้นมาทดแทนกุนซือค้างคาว” บังเต๊กกงไต่ถาม
คนเล่นพิณปรายตามองท้องฟ้า ขบคิดครู่หนึ่งก่อนเฉลยความในใจ “ไม่จำเป็นดอก ถัดจากซุนฮก เรายังมีห่วงข้ออื่นๆที่เหมาะสมพอให้ใช้สอยได้อยู่ บางที ดวงดาวบนท้องฟ้าอาจจะสุกสกาวอยู่ตลอดเวลา แต่ถูกบดบังด้วยแสงจันทร์ที่เจิดจ้ากว่าเท่านั้น แน่ะ พูดถึงดวงดาว คนดูดาวก็มาพอดี” คนเล่นพิณกล่าวหยอกล้อกับสองสมุนคู่ใจที่ก้าวเข้ามาในบริเวณ พร้อมกับนักพรตชราพิการแขนขา ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแผลเป็นคล้ายถูกเผาไหม้ ท่าทางเย็นชา ไม่ใคร่เป็นมิตรนัก
“ขออภัยที่มาช้า พวกข้าไปรับตัวผู้ช่วยมาให้กับท่านบังเต๊กกงแล้ว ต่อไป เขาจะทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านใหญ่ให้กับหุบเขาแห่งนี้ รองจากท่านบังเต๊กกง” นักทำนายอธิบาย สร้างประเด็นกระแทกใส่บังเต๊กกงจนใบหน้าเปลี่ยนสี
“เราไม่เคยร้องขอผู้ช่วย เหตุใดจึงต้องมีมันมาอีกคน” บังเต๊กกงทักท้วงตรงๆ คว้าจอกสุรามาดื่มพรวด ปิดบังความไม่พอใจที่ปรากฏบนใบหน้า
“ชุมชนในหุบเขาเติบใหญ่ ไม่มีผู้นำรักษาการณ์ย่อมไม่เหมาะสม เราจึงคัดเลือกคนมีฝีมือมาช่วยเหลือกัน คิดว่า เจ้าจะได้แบ่งเบาภารกิจวุ่นวายไปบ้าง พอมีเวลาไปจัดการเรื่องราวอื่น ไม่ต้องจับเจ่าอยู่ในหุบเขานานๆ” คนเล่นพิณเกลี้ยกล่อม
บังเต๊กกงรับฟัง ค่อยคลายความตึงเครียดลง พลางมองพิจารณานักพรตชรา กลับรู้สึกคุ้นหน้าอยู่บ้าง จึงสอบถามชื่อเสียงเรียกหา นักพรตชราลังเลใจไปวูบหนึ่ง ค่อยตอบ “เรียกข้าว่า โจวจู๋ ก็แล้วกัน”
บังเต๊กกงนิ่งอึ้งไปชั่ววูบ หรือเป็นโชคชะตาที่บันดาลให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ได้
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา