Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
21 เม.ย. 2021 เวลา 02:08 • นิยาย เรื่องสั้น
3.18. ลังเลเพียงชั่ววูบ
สามขุนพลพยัคฆ์ เตียวเลี้ยว เสือโคร่ง - อิกิ๋ม เสือขาว - งักจิ้น เสือดำ
เตียวจูล่งเกิดความรู้สึกขัดแย้งภายในใจอยู่ไม่น้อย สถานการณ์สงครามใหญ่เหนือ-ใต้กำลังใกล้จะถึงจุดเริ่มต้นในไม่ช้า ซึ่งมันไม่ได้ต้องการให้เกิดขึ้นเลย เพราะตัวมันเองมีโอกาสจะเข้าถึงขุมกำลังฝ่ายกังตั๋งผ่านทางไต้เกี้ยว โดยเจ้าพ่อเกียวเห็นดีเห็นงามด้วย ยังคงขาดแต่ด่านใหญ่ จิวยี่ ว่าที่คู่เขย และซุนกวน อดีตน้องสามีว่าจะยอมรับเรื่องนี้ได้หรือไม่เท่านั้น
หากสถานะนายทหารมืออาชีพที่เพิ่งผ่านศึกสร้างชื่อจากทุ่งเตียงปันยังไม่เพียงพอ มันควรจะเปิดเผยฐานะประมุขพรรคฟ้าเหลืองเสียเลยหรือไม่ ความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ มีน้ำหนักทางการเมือง แต่เป็นสายโจรที่ผู้คนรุมประนามไม่น้อย ดังนั้น ทางเลือกนี้จึงเป็นคล้ายดาบสองคม หากไม่เป็นเรื่องน่ายินดี ก็ต้องแตกหักกันไปเลย
แต่แล้ว ไต้เกี้ยวกลับส่งจดหมายลับให้มันช่วยพานางหลบหนีออกจากกองเรือเดินสมุทรด้วยเรือเล็ก เพื่อมุ่งหน้าไปแก้แค้นโจโฉ ฆาตกรผู้ที่สังหารสามีเก่า สมรภูมิรบเช่นนี้อาจจะเป็นโอกาสเดียวที่นางจะสามารถเข้าถึงโจโฉได้อย่างใกล้ชิด และนางต้องการให้จูล่งเป็นส่วนหนึ่งในแผนการลอบสังหาร
การเดินทางเข้าถ้ำเสือตามลำพัง ช่างเป็นเดิมพันที่สูงยิ่งอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่หากทำได้สำเร็จ เขาจะกลายเป็นวีรบุรุษแห่งแผ่นดิน ผู้สงบศึกร้อยหมื่นโดยไม่ต้องเสียทหารเลยสักคนเดียว คู่ควรเหมาะสมต่อฐานะเขยขวัญคนใหม่ของเจ้าสัวเกียวแล้ว
แผนการของนางไม่ได้ซับซ้อน หากแต่ใช้ข้อมูลดั้งเดิมเมื่อครั้งศึกกัวต๋อที่กุนซือปากเปราะ เขาฮิวนำข่าวสำคัญมามอบให้โจโฉในยามเช้า โจโฉถึงกับกุลีกุจอออกมารับหน้า ไม่ตระเตรียมอันใด แม้แต่รองเท้าก็ยังไม่ทันสวมใส่เลยด้วยซ้ำ
ดังนั้น หากคนที่ขอเข้าพบมีน้ำหนักมากพอ และมาพร้อมกับข้อมูลทางทหารชิ้นสำคัญ มีหรือปลาใหญ่จะไม่หลงฮุบเหยื่ออันโอชะชิ้นนั้น
...
ด้วยศักดิ์ฐานะของเจ้าพระยาปราบอุดร และแม่ทัพใหญ่ของกองทัพพยัคฆ์เสือดาวแห่งราชวงศ์ฮั่น คงไม่แยแสต่อการขอเข้าพบของภรรยาอดีตเจ้านครฝ่ายตรงข้าม แต่นี่เป็นโจโฉที่ได้รับคำเชื้อเชิญจากไต้เกี้ยว เป็นคำร้องขอของสหายเก่าให้ออกมาพบที่เนินเขานอกค่ายแบบส่วนตัว มิเช่นนั้น ก็ไม่ต้องเจอกันอีกเลย
เพียงถ้อยคำแค่นี้ ก็ทำเอาโจโฉนั่งไม่ติดที่นั่ง รีบร้อนออกมาจนลืมเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดลำลองแล้ว อย่าว่าแต่นางยังแจ้งอีกว่า นำสิ่งสำคัญติดตัวมาด้วย เป็นแผนที่แสดงภูมิประเทศของดินแดนกังตั๋งโดยละเอียด
ในยุคสมัยโบราณ แผนที่ของแต่ละภูมิภาคนั้น มีความสำคัญใหญ่หลวง และสร้างความได้เปรียบทางทหารได้เป็นอย่างมาก สงครามล้างเผ่าอูหวนเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของพลังแห่งความรู้ทางด้านภูมิประเทศ ดังนั้น การที่ไต้เกี้ยวเอาสิ่งนี้มาล่อ ทำให้โจโฉหักห้ามใจได้ยากยิ่งนัก ช่างสมกับเป็นหญิงที่รู้ใจกันในอดีตโดยแท้
โจโฉจึงได้แต่นำองครักษ์หมีทมิฬเคาทู และขุนพลเสือโคร่งเตียวเลี้ยวตามออกมาคุ้มกัน เพียงแค่สองคนก็น่าจะเพียงพอรับมือ แต่มันก็ยังไม่วางใจเสียทีเดียว จึงฝากให้ตันกุ๋น แฮหัวเอี๋ยน และอิกิ๋มนำกำลังทหารองครักษ์ฝีมือดีสิบกว่าคน ตามไปซุ่มระวังรอฟังสัญญาณไว้อีกชั้นหนึ่ง
มันย้อนนึกถึงศึกกัวต๋อคราก่อน มันกับอ้วนเสี้ยว สหายเก่า ก็ได้พูดคุยกันอย่างเปิดอกก่อนเปิดศึกรบ อาศัยเพียงองครักษ์เคาทูคนเดียว กลับแทบถูกฆ่าตาย ดังนั้น นี่อาจจะเป็นโชคชะตาอีกครั้ง จึงชักนำให้ไต้เกี้ยว อดีตสาวที่หมายปอง ปรากฏตัวขึ้นก่อนศึกเซ็กเพ็กนี้เช่นกัน และมันก็ยังเตรียมพร้อมได้รัดกุมยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
...
บนเนินเขาที่นัดหมาย เป็นทุ่งดอกเบญจมาศสีเหลืองสวยงาม มีลำธารเล็กๆไหลผ่านด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นชายฝั่งแม่น้ำไต้กัง ไต้เกี้ยวนั่งรออยู่ในศาลาพักผ่อน มองไปทางฝั่งกังตั๋งอยู่คนเดียว บนโต๊ะหินมีห่อผ้ายาวคล้ายกล่องใส่ม้วนแผนที่วางไว้ โดยชายสารถีใส่หมวกปีกกว้าง นั่งหลับพิงหลังบนรถม้าห่างออกไปทางด้านข้างของศาลา ไม่มีวี่แววของกองกำลังซุ่มซ่อน
โจโฉในชุดลำลอง จึงสั่งให้สองขุนพลหยุดรออยู่ด้านนอก และเดินตรงเข้าไปพูดคุยกับสาวงามตามลำพังในศาลาแห่งนั้น "น้องไต้เกี้ยว ไม่ได้พบกันนาน เจ้ายังดูสวยงาม ไม่เปลี่ยนเลย ท่านอาเกียวและน้องเสียวเกี้ยว สบายดีหรือไร”
"ท่านไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม ขอถามท่านว่าบุกกังตั๋งด้วยจุดประสงค์ใดกันแน่”
โจโฉชะงักไปเล็กน้อย ค่อยกล่าวอย่างแช่มช้า "เอาเถิด หากเจ้ายอมเป็นตัวประกัน กลับไปเมืองหลวงพร้อมกับข้า ข้าจะยอมยุติศึกใหญ่ครั้งนี้เพื่อเจ้า”
คำพูดของโจโฉกลับสอดคล้องกับบทกลอนที่ขงเบ้งกล่าวไว้ ไต้เกี้ยวจึงยิ่งเชื่อมั่นในท่าทีของโจโฉมากขึ้น นางจึงกล่าวต่อ "ข้ายังไปไหนไม่ได้ จนกว่าจะได้ตัวฆาตกรคนที่ฆ่าสามีของข้า ท่านจะช่วยข้าได้หรือไม่”
“ย่อมได้ ครั้งนั้น ข้าทำศึกอยู่ที่เมืองอ้วนเซีย ได้ยินว่า เล่าเปียวเป็นคนบงการฆ่าซุนเซ็ก แต่ตัวมันก็ตกตายตามกันไปแล้ว ส่วนคนที่ลงมือทำร้ายนั้น ข้าพอจะรู้ว่าเป็นผู้ใดอยู่ เป็นขุนพลเฒ่าอุยกาย" เสียงโจโฉเรียบเฉย คล้ายไม่แยแสว่ากำลังเปิดโปงสายลับของตนเอง
ไต้เกี้ยวอึ้งไปชั่ววูบ คล้ายไม่คาดคิดว่าคนทรยศจะเป็นอุยกาย แต่ก็เชื่อว่า โจโฉกำลังพูดความจริง "หากเป็นเช่นนั้น แผนที่สมควรเป็นของท่านแล้ว"
ไต้เกี้ยวค่อยๆเปิดถุงผ้าตรงหน้า เป็นกล่องใส่แผนที่ขนาดใหญ่จริงๆ นางหยิบม้วนแผนที่มาวางกับพื้นโต๊ะ และค่อยๆคลี่ออกจนสุดภาพ ดึงดูดให้โจโฉต้องทรุดตัวลงนั่ง สำรวจตามสัญลักษณ์ต่างๆในแผนที่ไปด้วย แล้วนางจึงอาศัยจังหวะที่โจโฉกำลังเผลอตัว ดึงกระบี่สั้นออกมาปลายแผนที่ โยนส่งให้ชายสารถีใช้เป็นอาวุธ "ท่านผิดแล้ว สามีข้าตายเพราะกระบี่สั้นสัตตดาราของท่าน ท่านต่างหากคือคนบงการฆ่าตัวจริง จงเตรียมตัวตายเสียเถอะ”
ฉากคลี่แผนที่จนสุดปลาย เลียนแบบจากกลยุทธ์ “สุดแผนที่ พบมีดสั้น” ที่นักฆ่าเก๋งคอเคยใช้ไม่ผิดเพี้ยน หากเพียงเปลี่ยนผู้กางแผนที่เป็นคนส่งมอบอาวุธไปให้มือสังหารตัวจริงลงมือ ทิ้งเวลาต่างกันเพียงชั่ววูบเดียว
ชายสารถีโจนเข้ามารับกระบี่สัตตดารา และฟันใส่โจโฉทันที หวังสังหารให้ตายในกระบี่เดียว แต่โจโฉยังโชคดีที่ตั้งสติได้ทัน และเป็นเพียงกระบี่สั้น จึงเบี่ยงตัวหลบจุดสำคัญได้ แต่ก็ยังโดนกระบี่กรีดผ่านหน้าอกเป็นทางยาว จนเลือดสาดกระจาย ความยาวสั้นเพียงนิ้วเดียว ทำให้โจโฉยังคงรอดชีวิตอยู่ได้
พอขยับจะซ้ำอีกครั้ง เคาทู เตียวเลี้ยวก็มาถึง ชักอาวุธเข้ามาคุ้มกันโจโฉได้ทันแล้ว ชายสารถีจึงกระชากหมวกปีกกว้างออกให้เห็นหน้าถนัดตา เป็นขุนพลเมฆขาว จูล่ง ผู้ที่เพิ่งสร้างชื่อในสมรภูมิทุ่งสังหารเตียงปัน
…
การเคลื่อนไหวของจูล่งครั้งนี้มีนัยยะสำคัญยิ่ง สำหรับโจโฉ จูล่งคือคู่ปรับเก่าที่มีเรื่องราวต่อกันมาหลายครั้ง จึงคล้ายเจอมัจจุราชมาทวงวิญญาณ แต่สำหรับเตียวเลี้ยว เขาคือประมุขพรรคฟ้าเหลือง ผู้นำขุมกำลังสัตตดาราที่มันสังกัดอยู่ด้วย แสดงว่า จูล่งมุ่งเอาชีวิตโจโฉแน่นอนแล้ว จึงได้เปิดหน้ากากให้มันลงมือช่วยอีกทางหนึ่ง แน่นอนว่า โจโฉ และเคาทูคงนึกไม่ถึงไม้ตายครั้งนี้
จังหวะนี้ หากเตียวเลี้ยวเปิดตัวช่วยจูล่งรุมจัดการเคาทูไปก่อนที่จะทันตั้งตัว โจโฉที่บาดเจ็บสาหัสย่อมไม่มีทางรอดพ้นจากความตาย ผลกระทบครั้งนี้จะทำให้กองทัพของโจโฉขาดผู้นำสูงสุด และต้องล่าถอยไปตั้งหลักใหม่
ผลกระทบต่อเนื่องจะรุนแรงยิ่งนัก อำนาจฝ่ายรัฐบาลอาจจะตกไปอยู่กับโจผี ทายาทคนโต หรือพวกขุนพลสี่เทวะ ซึ่งเป็นเครือญาติที่เป็นแม่ทัพสำคัญ หรือจะมีขุมกำลังอื่นมาสอดแทรกอีก แผ่นดินจะปั่นป่วนเพียงใดก็ยากจะคาดเดา แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเตียวเลี้ยวแล้ว
หากเตียวเลี้ยวอยู่ในบทบาทดาวนักรบ หนึ่งในขุมกำลังสัตตดาราเพียงอย่างเดียว มันคงไม่ต้องคิดอะไรมากมาย หากแต่ที่จริง อีกบทบาทหนึ่ง มันคือสายลับของเครือข่ายสุมาที่แฝงตัวอยู่ในพรรคฟ้าเหลือง การเคลื่อนไหวครั้งนี้ มันควรจะทำเช่นไรดี จึงจะเป็นผลดีต่อต้นสังกัดที่แท้จริง ซึ่งมีจุดประสงค์หลักในการทำศึกให้ยืดเยื้อยาวนาน ขัดแย้งกับวิธีการของพรรคฟ้าเหลืองมาโดยตลอด
…
เพียงชั่วขณะที่เตียวเลี้ยวกำลังลังเลอยู่นั่นเอง เสียงฝีเท้าม้าดังกึกก้องมาแต่ไกล เป็นม้าสีแดงฉาน ม้าเซ็กเทาอันเลื่องชื่อ แต่บนหลังม้า กลับเป็นขุนพลร่างท้วม ใบหน้าดำคล้ำในชุดเกราะสีดำสนิท ถือทวนยาว เตียวหุย ผู้มาพร้อมกับเสียงคำรามดังลั่น แบบไม่เกรงใจใคร "โจโฉอยู่ที่ใด ออกมาหาความตายซะดีๆ ท่านจูล่ง นั่นใช่ท่านหรือไม่ เตียวหุยมาช่วยแล้ว”
เนื้อหาวาจาเหมือนจะฆ่าฟันกันให้ตาย แต่เสียงตะโกนเอะอะนั้นกลับกระตุ้นให้ตันกุ๋น แฮหัวเอี๋ยน อิกิ๋มและกองทหารองครักษ์ที่แอบซ่อนอยู่ห่างออกไป รีบออกมาช่วยเหลือโจโฉได้ทันเวลา ดับความฝันของจูล่งที่จะพลิกสถานการณ์ไปในทันที และทำให้เตียวเลี้ยว เคาทู ต้องสวมบทบาทเป็นผู้คุ้มกันแม่ทัพใหญ่ต่อไป จึงเป็นอีกครั้งที่เตียวหุยกลายเป็นตัวมารขัดขวางความสำเร็จของพรรคฟ้าเหลือง
จูล่ง เตียวหุย และไต้เกี้ยว ตกเป็นรองด้วยจำนวนคนที่แตกต่างกันมาก จึงต้องรีบหลบหนีฝ่าทุ่งดอกเบญจมาศ โดยจูล่งประคองไต้เกี้ยวที่ไร้วิทยายุทธ์ ให้ลอยตัวขึ้นไปซ้อนด้านหลังเตียวหุยบนม้าเซ็กเทาพร้อมกันสามคน แล้วอาศัยฝีเท้ายอดอาชาที่รวดเร็ว และทวนยาวของเตียวหุย ฝ่าเหล่าองครักษ์ของกองทัพโจโฉที่รุมล้อมเข้ามาหาเพื่อสกัดกั้นเส้นทางโดยเร็ว
ก่อนที่ทั้งสามคนจะหลุดรอดจากวงล้อม แฮหัวเอี๋ยน ผู้ที่มีความชำนาญทางด้านเกาทัณฑ์สูงส่ง ก็ยิงเข้าใส่เป้าหมายใหญ่ ม้าเซ็กเทาที่กำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ฝ่ายจูล่งก็มีสายตาว่องไวเพียงพอที่จะใช้กระบี่สั้นปัดป้องไว้ได้ทัน
แต่เกาทัณฑ์ของแฮหัวเอี๋ยนไม่ธรรมดา เพราะถูกบังทองดัดแปลงเอาเพลิงทมิฬหรือดินระเบิดมาบรรจุไว้ด้วย การปัดด้วยกระบี่จึงทำให้เกิดประกายไฟ จุดระเบิดขึ้นในระยะใกล้ จนคนทั้งสามโดนไฟลวกท่วมร่าง ได้รับบาดเจ็บสาหัสไปพร้อมกัน
ยังดีที่ม้าเซ็กเทาสมเป็นยอดอาชา แม้จะตื่นกลัวต่อแรงระเบิดและเปลวไฟ ก็ยังพุ่งตัวไปข้างหน้าจนหายลับไปได้ เปลวไฟที่ลุกโชนพลอยถูกแรงลมกรรโชกดับไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทิ้งไว้เพียงแนวต้นไม้ไหม้เกรียม หักโค่นเป็นทางยาว
…
โจโฉที่กุมบาดแผล ยืนพิงเสาอยู่ในศาลาน้อย เหม่อมองภาพสุดท้ายที่เกิดขึ้นกับไต้เกี้ยวด้วยจิตใจที่ปวดร้าว แรงระเบิดเช่นนั้นคงทำร้ายหญิงสาวที่ไร้วิทยายุทธ์สาหัสยิ่งนัก ครั้นจะต่อว่าการกระทำของแฮหัวเอี๋ยนก็ไม่สมควร จึงได้แต่ตัดใจจากสาวคนรักเก่าคนนี้ไป และนำพรรคพวกกลับค่ายไปพร้อมกับแผนที่ชิ้นสำคัญ แต่ไม่อาจปักใจเชื่อว่า จะเป็นแผนที่จริงหรือไม่เสียแล้ว
กลีบดอกเบญจมาศเกลื่อนกลาดกระจายไปตามพื้น ทุ่งดอกไม้ที่เคยสวยงาม ยับเยินจากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นไปแถบใหญ่ ณ เวลานี้ มีแต่เพียงสายลมผ่านเนินเขาที่เหมือนจะพัดพากลีบดอกสีเหลืองลงสู่ลำธารสายเล็กที่ไหลรินไปอย่างแช่มช้า แล้วสายลมนั้นก็จากไปอย่างเงียบงัน ทิ้งร่องรอยสีเหลืองเป็นทางยาวอยู่บนสายน้ำ
...
งานนี้ ต้องนับว่าคับขันนักสำหรับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ตามความทรงจำเดิม เนินดอกเบญจมาศไม่อาจเป็นจุดจบของผู้ใด ยังดีที่สายลับพิเศษทางกังตั๋งส่งข่าวเข้ามาบอกเหยี่ยวดำซึ่งอยู่กับนางแอ่น-เตียวหุยที่เมืองกังแฮได้ทันเวลา ทั้งสองปรึกษากันจึงตัดสินใจให้นางแอ่นใช้ม้าเซ็กเทาที่มีฝีเท้าเป็นเลิศ อาศัยฐานะเตียวหุย ออกมาขัดขวางแผนลอบสังหารของจูล่ง ก่อนทุกอย่างจะผันแปรไปหมดสิ้น หน่วยปักษาสวรรค์จึงจะยังควบคุมสถานการณ์ได้ดังเดิม
แต่อาการบาดเจ็บของทั้งสามยังถือว่าสาหัสไม่น้อย โดยเฉพาะไต้เกี้ยวที่เป็นเพียงสตรีอ่อนแอบอบบาง และไม่มีเกราะป้องกันกาย เตียวหุยจึงรีบบังคับม้าตรงไปหาหมอฮัวโต๋- นกฮูกที่กระท่อมรังนกใกล้เมืองอ้วนเซียโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม ระยะทางไม่ใช่ปัญหา เมื่อทั้งสามอยู่บนหลังอาชาพันลี้ ม้าเซ็กเทา
จูล่งเองในชุดสารถีก็ไร้เกราะป้องกันกาย และโดนแรงระเบิดมากที่สุด จึงสะลึมสะลือ กึ่งรู้ตัวกึ่งหมดสติไปตลอดเส้นทาง กลับฝันเห็นเป็นหญิงสาวปริศนาคนนั้นอีกครั้ง นางอยู่ในชุดเกราะนักรบ และมาช่วยชีวิตตนไว้ แต่เมื่อสังเกตดู หญิงงามกลับมีใบหน้าดำคล้ำ แปรเปลี่ยนเป็นดาวโชคร้ายขาประจำ เตียวหุยไปเสียได้
…
ที่กระท่อมรังนก หลังจากที่จัดแจงพร้อมสรรพแล้ว โจหยินและพวกแฮหัวป๋าทั้งสี่ นำพาโจซุนพร้อมกองทหารส่วนใหญ่ เดินทางกลับไปหาโจโฉที่เมืองเกงจิ๋ว หลงเหลือเพียงนายทหารรองและพลทหารไม่มากนัก ที่ยังคงควบคุมโรงเรียนการแพทย์เอาไว้ให้คงสถานะเขตหวงห้ามทางทหารตามที่ได้รับคำสั่งมา
โงโพ้ ฮ่วมอากับลูกศิษย์คนอื่นๆเป็นเพียงคนสายแพทย์ ย่อมไม่มีวิทยายุทธ์สูงส่งอันใด แต่กลับยังคงอยู่ในความสงบนิ่ง และคอยห้ามปรามคนเจ็บป่วยที่เป็นกลุ่มนักสู้นักรบทั้งหลายไม่ให้แสดงท่าทีต่อต้านขัดขืน คล้ายจะยอมรับชะตากรรม หรือมีแผนฉุกเฉินอันใดตระเตรียมอยู่ก่อนแล้ว
สุดท้าย เป็นฮ่วมอาที่ทนแรงกดดันไม่ไหว จำต้องยอมเฉลยว่า อาจารย์เคยสั่งความเอาไว้ให้คล้อยตามศัตรูไปก่อน แล้วท่านจะกลับมาหาทางช่วยเหลือให้เอง”
…
เช้าวันหนึ่ง ภายนอกเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นต่อเนื่องมาแต่ไกลไล่เรียงมาเรื่อยๆจนถึงแนวชายป่า พร้อมกับมีหมอกควันสีขาวบางเบาลอยเคลื่อนมาครอบคลุมทั่วพื้นที่ เมื่อเพ่งดูที่ป่าโปร่ง มองเห็นคล้ายเงาร่างจำนวนมากยืนเรียงรายรอรับคำสั่งจู่โจม ทำให้เหล่าทหารที่มีหลายร้อยนายเกิดความตื่นตัว ต่างหยิบฉวยอาวุธออกมาดูเหตุการณ์ และเตรียมพร้อมต่อสู้กันอย่างพร้อมเพรียง รวมทั้งกวดขันเข้มงวดไม่ให้พวกคนของกระท่อมรังนกออกมาจากที่พัก
พอกลุ่มควันเบาบางจางหาย ค่อยพบเห็นเงาร่างจำนวนมากที่ว่านั้น เป็นเพียงหุ่นฟางหญ้า แต่กองทหารที่สูดดมควันขาวไปไม่น้อย เร่ิมรู้สึกผิดปกติ สะลึมสะลือหมดสติ ล้มกลิ้งกันไปจนแทบหมดสิ้น ส่วนพวกที่ฝีมือกล้าแข็งก็ไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกาย คล้ายเป็นอัมพาตชั่วคราว ได้แต่นอนรอความตายแล้ว
โงโพ้ ฮ่วมอา เข้าใจว่ามีคนมาช่วยแล้ว จึงออกมายืนดูทางด้านหน้ากระท่อม มองไปที่แนวชายป่า ค่อยปรากฏคนจริงๆเพียงแค่เจ็ดคน เป็นหมอฮัวโต๋กับสหายนักประดิษฐ์ร่างเล็กที่คุ้นเคยกันดี ก้าวออกมาพร้อมกับชายคลุมหน้าในชุดพ่อค้าเร่ร่อน และชุดนักสู้รัดกุมอีกสามคน คงเป็นองครักษ์ประจำตัวของมัน
การจู่โจมด้วยควันพิษนับเป็นเรื่องแปลกใหม่ของยุคสมัยโบราณ แต่พอเป็นฝีมือของหมอเทพยดาฮัวโต๋ก็พอเป็นที่คาดเดาได้ว่า คงดัดแปลงมาจากสมุนไพรที่ใช้วางยาสลบ ทำให้เครื่องมือทางการแพทย์กลายเป็นอาวุธสงครามทำร้ายผู้คนแทน
คนกระท่อมรังนกย่อมรู้สึกยินดีที่เป็นอาจารย์ใหญ่พาคนกลับมาช่วยเหลือจริงๆตามที่ฮ่วมอาเคยบอก แต่ยังไม่กล้าออกมาชุมนุมต้อนรับด้วยเกรงกลัวควันพิษอยู่ คงมีแต่โงโพ้ ฮ่วมอาที่ไม่กลัวพิษควัน หาญกล้าออกมารับหน้า
นกฮูก-ฮัวโต๋หยิบตัวยาแจกจ่ายให้ศิษย์เอกป้ายจมูกระงับพิษควันขาว แล้วรีบสั่งความ “เจ้าสองคนจัดหาคนที่ไว้วางใจได้ ช่วยกันเก็บอุปกรณ์การแพทย์ และตัวยาสมุนไพรที่สำคัญให้เสร็จภายในครึ่งวัน แล้วเตรียมอพยพไปยังที่ปลอดภัยแห่งใหม่ด้วยกัน ส่วนคนอื่นที่เหลือให้แยกย้ายกลับถิ่นฐานไปให้หมดสิ้น บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเผาทำลายกระท่อมรังนกทิ้ง ไม่อาจปล่อยให้โรงเรียนแห่งนี้มัวหมอง ถูกผู้อื่นนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ต่อไป”
อีกทางหนึ่ง ชายคลุมหน้าในชุดพ่อค้าเร่ร่อนก็กระซิบสั่งความกับสามองครักษ์ข้างกาย “เมื่อทุกคนเดินทางไปกันแล้ว จงสังหารปิดปากพวกทหารให้หมดสิ้น”
ผู้คนทั่วไปเดินทางล่วงหน้าไปก่อนแล้วพร้อมสิ่งของอุปกรณ์สำคัญ เปลวไฟเพิ่งถูกจุดลุกลามทั่วทั้งพื้นที่ เพื่อเผาทำลายหลักฐานซากศพเหล่าทหาร เสียงฝีเท้าม้าก็ดังเข้ามาถึงด้านหน้าอย่างรวดเร็ว “ท่านหมอฮัวโต๋ ข้าน้อยเตียวหุย ขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน”
นกฮูก หัวขวาน และคนคลุมหน้าในชุดพ่อค้าเร่ร่อน ใจหายวาบ ปัญหาแรกเพิ่งคลี่คลายจบสิ้น ปัญหาใหม่ก็เข้ามาอีกเรื่องเสียแล้ว
…
โจโฉปิดข่าวอาการบาดเจ็บของตนเองไว้เป็นความลับสุดยอด เพราะเกรงว่าจะกระทบขวัญกำลังใจของทหาร และกำหนดการโจมตีเมืองชีสองในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จึงต้องเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในกระโจมแม่ทัพ สั่งการผ่านบังทองที่คล้ายได้เลื่อนความสำคัญมาเป็นกุนซือใหญ่ในศึกผาแดงครั้งนี้
โจหยินกับพวกนำตัวโจซุนผู้น่าสงสารมาถึงแล้ว โจโฉพบเห็นน้องเล็กอาการดีขึ้นกว่าเดิมมากนัก จึงนึกชมเชยกาเซี่ยงอยู่ในใจ และจัดงานต้อนรับเล็กๆขึ้นภายในกลุ่มคนสำคัญ อาทิ กลุ่มกุนซือหลัก สี่เทวะ ห้าพยัคฆ์ และญาติพี่น้องสกุลโจ แฮหัว เท่านั้น เว้นเพียงบางคนที่ยังคงต้องประจำการณ์ในพื้นที่
เสียงดื่มกินสรวลเสเฮฮา สังสรรค์รื่นเริงด้วยการพนันและนารี ถูกจัดขึ้นอย่างเต็มที่ เพราะงานเลี้ยงนี้เปรียบเสมือนงานเลี้ยงใหญ่ก่อนทำศึกครั้งสำคัญ สงครามไม่ปรานีใคร และอาจเป็นงานเลี้ยงสุดท้ายของใครบางคน โจโฉจึงมักจัดงานเช่นนี้เป็นขวัญกำลังใจให้กับสมุนระดับสูงทั้งหลายอยู่แล้ว
โจซุนยังคงตาบอดสนิททั้งสองข้าง แต่ได้มือเท้าและสติสัมปชัญญะกลับคืนมาหลายส่วนแล้ว จึงนั่งเอนกายดื่มด่ำกับรสชาติของสุราชั้นดีที่ห่างเหินมานาน พลันได้ยินเสียงที่ไม่อาจลืมเลือนสอดแทรกขึ้นมา เป็นเสียงหัวเราะที่เคยเสียดแทงหัวใจในยามที่ตนเองเจ็บปวดที่สุดในชีวิต “หรือว่า โจรชั่วเตียวคีแฝงตัวอยู่ในคนกลุ่มนี้”
ยังไม่ทันได้เอ่ยปากบอกกับผู้ใด สายข่าวก้าวเข้ามาแจ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเขตหวงห้ามทางทหารใกล้เมืองอ้วนเซีย โรงเรียนการแพทย์ถูกเพลิงเผาวอดวาย ผู้คนบ้างตกตาย บ้างหลบหนี สิ้นชื่อกระท่อมรังนกแล้ว โจซุนยกสุราขึ้นดื่มพรวด พลันรู้สึกรสชาติที่เพิ่งผ่านลิ้นนั้น ผิดเพี้ยนไปจากขวดอื่นๆที่ผ่านมา
กาเซี่ยงสังเกตพบว่า โจซุนเกิดอาการชักหมดสติ จนต้องรีบพาตัวไปให้หมอประจำทัพตรวจสอบ พอคาดเดาได้ว่า อาการของโจซุนยังไม่หายดี เมื่อกลับมาดื่มกินสุราอันเป็นของแสลงกัน และได้รับข่าวสะเทือนจิตใจ อาการดั้งเดิมจึงกำเริบขึ้น
ภายหลังเมื่อโจโฉจึงได้แต่สำนึกเสียใจที่ลืมเลือนข้อห้ามเช่นนี้ไปได้ น้องชายเพิ่งทุเลาไม่นาน กลับต้องมาทรุดหนักไปอีกรอบ แต่ด้วยความเชื่อเช่นนี้ จึงไม่ตระหนักว่า ที่จริง โจซุนโดนวางยาจากกุนซือในสังกัดตัวเอง
…
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 3 - มังกรจ้าวบูรพา
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย