Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
24 เม.ย. 2021 เวลา 03:54 • นิยาย เรื่องสั้น
3.21. วีรชนหรือคนบาป
อุยกาย เสาหลักแห่งกังตั๋ง - เล่งทอง หนึ่งบู๊แห่งกังตั๋ง - รถฟ้าลั่น
กลับมาที่น่านน้ำไต้กัง ใกล้กับหน้าผาสีแดงอีกครั้ง ขุนพลเฒ่าอุยกายในฐานะรองแม่ทัพยังคงสั่งการให้ยิงทำลายขบวนเรือฝ่ายศัตรูต่อไป โดยมีกองทัพเรือของขุนพลใหญ่จิวยี่ กำเหลง และไทสูจู้ เป็นสามทัพประสานรุกคืบใช้ไฟโจมตีต่อไปจนทั้งน่านน้ำกลายเป็นทะเลเพลิง เรือรบทั้งสองฝ่ายจมลงไปทีละลำๆ ซากศพสิ่งของล่องลอยเต็มไปหมด และกองไฟเหนือน้ำลุกโชนไปจนถึงรุ่งสาง
เมื่อฟ้าสว่างขึ้นจนพอเห็นหน้ากันได้ถนัด กองทัพใหญ่อีกสามสิบหมื่นนำโดยแฮหัวตุ้น อิกิ๋ม งักจิ้น ที่จอดพักออมแรงมาตลอดทั้งคืน จึงค่อยแล่นเข้ามาฝ่าซากเรือกองหน้าที่เสียหาย และเปิดฉากโจมตีใส่กองเรือของแม่ทัพเรือทั้งสี่ของฝ่ายกังตั๋งที่เริ่มอ่อนล้าจากการสู้รบยาวนาน ด้วยทัพ “รถฟ้าลั่น” ซึ่งก็คือเครื่องยิงก้อนหิน และเครื่องยิงแท่งไม้ อาวุธทรงประสิทธิภาพระยะไกลรุ่นใหม่ที่ถูกติดตรึงไว้แน่นหนาบนดาดฟ้าเรือ
จึงกลายเป็นที่เข้าใจว่า ขบวนเรือทัพหน้าร่วมสามสิบหมื่นนั้น หวังผลเพียงให้พวกแดนใต้เปิดเผยยุทธวิธี ทำการสู้รบจนหมดแรง และใช้อาวุธจนร่อยหรอ หรืออีกนัยหนึ่ง ก็กลายเป็นการวางหมากกำจัดกลุ่มกองทัพเมืองเหนือที่มีปัญหาทางการเมืองออกไปจากสารบบด้วยอย่างแยบยล
การโจมตีระลอกสอง ทำให้ฝ่ายรัฐบาลพลิกสถานการณ์ขึ้น กลายเป็นฝ่ายรุกขึ้นมาอีกครั้ง ทัพรถฟ้าลั่นทำงานได้ดีแม้เป็นการรบทางน้ำ ถล่มใส่ลำเรือและทหารฝ่ายใต้อย่างหนัก กองทหารเองก็มีความพร้อมเพรียงเข้มแข็งมากกว่าชุดแรกอย่างเห็นได้ชัด คล้ายเป็นหมากเด็ดที่โจโฉปกปิดเอาไว้ ทำเอากองทัพฝ่ายกังตั๋งออกอาการเสียขวัญ พลาดพลั้งไปมากขึ้นเรื่อยๆ จนจิวยี่ขุนพลใหญ่ ต้องเปลี่ยนกระบวนรบ และล่าถอยกลับออกมาตั้งหลักใหม่ทางฝั่งกังตั๋งก่อน
...
ท่ามกลางความสับสนอลหม่านนั้น เรือเร็วของจิวท่าย เล่งทอง ก็เข้าเทียบเรือของอุยกายอย่างเงียบงัน โดยสองขุนพลหนุ่มรีบตรงเข้าไปพบอุยกาย เพื่อส่งหนังสือลับจากจิวยี่ ถึงกับเป็นคำสั่งปลดอุยกาย รองแม่ทัพออกจากผู้นำกองเรือชุดแรก และให้จิวท่ายเป็นผู้ดูแลกองเรือนี้แทน เพื่อปฏิบัติตามแผนการของท่านขุนพลใหญ่ในขั้นตอนต่อไป โดยให้อุยกายรีบลงเรือเร็วไปสมทบกับจิวยี่ พร้อมกับองครักษ์ เล่งทองอย่างเงียบๆในทันที
แต่อาจจะเป็นโชคร้าย หรือความผิดพลาดก็ตาม เรือเร็วลำที่สองขุนพลโดยสารออกมานั้น กลับเกิดระเบิดขึ้นเองอย่างรุนแรง จนตัวเรือจมหายไปอย่างรวดเร็ว คงเห็นแต่เล่งทองที่คล้ายได้รับบาดเจ็บ ลอยคอเกาะซากเรือรอความช่วยเหลืออยู่ พร้อมกับทหารอีกไม่กี่คนเท่านั้นเอง ส่วนอุยกายคงสิ้นชีพไปด้วยแรงระเบิดแล้ว
น่าประหลาดที่บาดแผลตามร่างกายบางส่วนของเล่งทอง มิใช่เกิดจากแรงระเบิด แต่กลับเป็นรอยอาวุธมีคมชัดๆ หากมีใครสังเกตจากมุมอับ อาจจะเห็นรอยยิ้มสะใจของเล่งทองที่ได้สังหารอุยกาย หนึ่งในสามตัวการที่ทำให้เล่งโฉ บิดาตายเปล่าในการบุกเมืองหลวงฮูโต๋ครั้งนั้น
ที่แท้ เมื่ออุยกายคลายความกังวล พักผ่อนอยู่บนเรือเร็วนั้น เล่งทองพลันใช้อาวุธแทงใส่ขุนพลชราจนสาหัส ค่อยประกาศความผิดเรื่องจารชนไส้ศึก จิวยี่สืบทราบมาแล้วว่า อุยกายเป็นสายข่าวให้กับโจโฉ ตันกุ๋น และนำพาทูตแห่งความตายมาสู่ซุนเซ็กถึงถิ่นที่มั่น มิใช่ฝีมือของพวกเล่าเปียวตามที่กล่าวอ้าง
หากแต่ขุนพลอุยกายช่างทรหดยิ่งนัก รวบรวมพละกำลังตอบโต้เป็นครั้งสุดท้าย หมายลากชีวิตองครักษ์หนุ่มให้ตายตามไปด้วย เล่งทองไม่ยอมแพ้ ถึงกับปักหลักปะทะแบบเสี่ยงชีวิตแลกกัน จนคนสนิทต้องมาช่วยดึงตัวให้ถอยห่างนักรบชราที่ยืนตายคาที่ไปแล้ว สุดท้าย เล่งทองจึงสั่งการให้จุดชนวนระเบิดทำลายซากร่างหลักฐานที่เต็มไปด้วยรอยอาวุธเป็นการทำลายหลักฐาน
เนื่องจากคนระดับเสาหลักมิอาจถูกเปิดโปงสถานะไส้ศึก โทษตายจึงต้องกระทำเป็นการลับ หนึ่งบู๊ เล่งทองจึงต้องสำนึกขอบคุณที่จิวยี่เป็นผู้มอบหมายงานลอบสังหารอุยกายครั้งนี้ให้มันเป็นคนจัดการ "เกียวชวนและกำเหลงคือรายต่อไป รอคอย รอคอย ลูกผู้ชายแก้แค้น สิบปีไม่สาย"
...
กองเรือฝ่ายโจโฉระลอกสองยังคงรุกคืบเข้ามาด้วยความย่ามใจ จนมองเห็นชายฝั่งเมืองชีสอง กองเรือชุดของจิวท่ายที่อยู่ใกล้ที่สุดก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอีกครั้งด้วยการทิ้งสมอถ่วง หันเรือขวางเส้นทางไว้ และวางสะพานเรือต่อเชื่อมกันคล้ายที่บังทองออกแบบให้กับทัพโจโฉ จนเกิดเป็นแนวกำแพงเรือลอยน้ำ ปล่อยให้ทหารทั้งหมดสละเรือว่ายน้ำไปขึ้นกับกองเรือจิวยี่ที่จอดรับอยู่ถัดไปอย่างชำนาญ ราวกับมีการฝึกซ้อมไว้ก่อนแล้ว
ส่วนกองเรือซ้ายขวาของกำเหลง ไทสูจู้ก็หันเปลี่ยนทิศทางไปอ้อมปิดทางด้านข้างไว้เช่นกัน ทำให้กองเรือสามขุนพลไม่อาจเคลื่อนที่ต่อไป ทั้งเดินหน้าหรือหันหลังกลับ ต้องหยุดนิ่งอยู่กลางลำน้ำใหญ่ ถูกฝ่ายกังตั๋งรายล้อมไว้ทั้งสามด้านเสียแล้ว
จากนั้น กองเรือของกำเหลง ไทสูจู้ กลับแล่นฉีกออกไปซ้ายขวา ลากดึงเอาโซ่เหล็กเส้นใหญ่พร้อมขวากหนามที่ซุกซ่อนไว้ขึ้นมาจากใต้ท้องน้ำ กระแทกทำลายใส่เข้าที่ใต้ท้องเรือของฝ่ายรัฐบาล ทำลายลำเรือไปได้มากมาย และเศษซากเหล่านั้นก็กลายเป็นอุปสรรคกีดขวางเส้นทางการล่าถอยไปพร้อมกัน
ส่วนกองเรือของจิวยี่เอง ก็หันกลับมาโจมตีด้วยอาวุธพิสดาร “ทัพรถฟ้าลั่น” เช่นกัน แต่เป็นเครื่องยิงระยะไกลที่ใช้ภาชนะบรรจุเพลิงทมิฬหรือดินระเบิดแทนก้อนหินแท่งไม้ตามปกติ อำนาจการทำลายล้างจึงเพิ่มมากขึ้นเป็นวงกว้าง
แต่แทนที่จะยิงโจมตีใส่กองทัพเรือของข้าศึก กลับยิงทำลายใส่แนวกำแพงที่เกิดจากกองเรือของอุยกายเดิมที่ยังมีวัตถุไวไฟ และประทัดมากมายในท้องเรือ ก่อให้เกิดแนวกองไฟระเบิด และเผาทำลายต่อเนื่อง ค่อยลุกลามไปถึงกองเรือฝ่ายโจโฉ สร้างความวุ่นวายปั่นป่วน แต่ก็ล่าถอยได้ลำบาก เพราะติดกำแพงเรือโซ่ขวากเหล็ก และถูกล่อมาไกลจากฝั่งของตัวเองมาก จนเกินกว่าจะสละเรือว่ายกลับฝั่งได้แล้ว พวกมันเสียรู้ให้กับฝ่ายจิวยี่ในกลศึก “ปิดประตูจับโจร” แล้ว
กองทัพเรือของโจโฉพยายามล่าถอยหนีตายอย่างไม่เป็นขบวน กองเรือของฝ่ายกังตั๋งยังมีลูกเล่นพิสดารไม่หมดสิ้น บางส่วนถึงกับปรับเปลี่ยนหัวเรือจากรูปหล่อโลหะที่สวยงาม เป็นเหล็กตันแข็งแกร่งทรงแหลม พุ่งเข้าชนปะทะตรงๆเข้าที่ตัวเรือฝ่ายข้าศึกที่กำลังเสียที จนแตกทะลุ เสียหายหนักยิ่งขึ้น พร้อมทั้งใช้การตะลุมบอนด้วยกองทหารในระยะใกล้ จนสับสนอลหม่านไปทั่วทั้งน่านน้ำใหญ่
สุดท้าย ฝ่ายกังตั๋งจึงเป็นฝ่ายได้ชัยชนะในยุทธนาวีผาแดงครั้งนี้ สังหารทหารฝ่ายเหนือไปได้ถึงหลายสิบหมื่นคนในคราวเดียว แต่ฝ่ายตนเองก็สูญเสียทหารและลำเรือไปไม่ต่ำกว่าสิบหมื่นคนเช่นกัน นี่คือสัจธรรมของสงครามที่ต้องเกิดความสูญเสียกันทั้งสองฝ่าย ตอกย้ำความไม่ปรานีต่อผู้ใด
ถึงแม้ว่าฝ่ายแฮหัวตุ้นทั้งสามจะสูญเสียกองเรือและทหารไปในน่านน้ำเลือดมากมาย แต่ก็หลบหนีรอดชีวิตกลับไปได้ และยังมีกองทัพบกที่ตั้งกระจายอยู่ตามจุดยุทธศาสตร์สำคัญอยู่อีกหลายสิบหมื่นคน อาจจะนับว่า พ่ายศึกทางน้ำ แต่ยังพร้อมรบทางบกได้อีกในเร็ววัน
…
โจโฉนำแผนที่ที่ไต้เกี้ยวนำมาล่อลวงตนนั้นมาพิจารณาร่วมกับกลุ่มกุนซือหลัก ช่วยกันตัดทอนข้อมูลรายละเอียดที่ดูไม่น่าเชื่อถือออก แล้วจึงตัดสินใจให้โจหยินคุมกองเรือที่เหลืออยู่ตั้งรับทางด้านเมืองเกงจิ๋ว และตัวเองเปลี่ยนแนวรบไปเป็นทางบก รุกอ้อมไปทางเมืองกังแฮ มุ่งสู่เมืองยี่สูแทน ความเคลื่อนไหวรวดเร็วคล้ายต้องการสยบข่าวความพ่ายแพ้ในศึกยุทธนาวีเซ็กเพ็ก
เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่ร้อนใจย่อมจะเป็นขงเบ้ง มังกรซ่อน เพราะการศึกพลิกผัน มุ่งหน้าไปทางเจ้านายของตนแล้ว แต่ดูเหมือนซุนกวน จิวยี่ โลซก จะไม่สนใจในการทำศึกต่อไปแล้ว เพราะเกิดปัญหาทางด้านสาธารณสุขเข้ามาแทรกซ้อนต่อเนื่อง แทนที่การศึกสงครามที่ประกาศชัยไปแล้ว
ผลพวงของสงครามทางน้ำ ทำให้เกิดซากศพที่เริ่มส่งกลิ่นเน่าเหม็น และเศษเพลิงทมิฬ-ดินระเบิด คราบน้ำมันที่ตกค้างอยู่ ก่อให้เกิดเป็นโรคระบาดในระบบน้ำดื่มน้ำกินจากแม่น้ำสายหลักที่เป็นแหล่งน้ำดื่มน้ำใช้ของดินแดนกังตั๋ง ทำให้พวกซุนกวนทั้งบู๊บุ๋นต้องวุ่นวายกับการปรับสภาพแม่น้ำไต้กังให้คืนสู่สภาพเดิม ด้วยการผลักดันสิ่งแปลกปลอมตกค้างให้ออกสู่ท้องทะเลใหญ่โดยเร็วที่สุด
อีกทั้ง คนสายทหารก็มัวแต่ยุ่งกับงานศพของวีรชนคนสำคัญ อุยกาย ขุนพลชรา หนึ่งในสี่เสาหลักแห่งกังตั๋ง ที่ถูกระเบิดตาย พร้อมกับเหล่าทหารร่วมสิบหมื่นคนที่ พลีชีพอยู่กลางน่านน้ำ ไปในศึกผาแดงครั้งนี้
ในขณะที่บังทอง กุนซือหงส์ผงาด คนทรยศ ยิ่งโดนป้ายสีให้กลับกลายเป็นคนบาปที่ทรยศหักหลังต่อฝ่ายกังตั๋ง ถึงกับอาจจะเป็นผู้วางแผนลอบสังหารขุนพลอุยกาย และหายสาบสูญไปแล้ว
นี่เป็นผลงานความคิดที่ลกซุนนำเสนอต่อขุนพลใหญ่จิวยี่ เพื่อกลบเกลื่อนความตายปริศนาของอุยกายอย่างลงตัวที่สุด แม้ว่าอุยกายจะเป็นไส้ศึกของขุมกำลังลึกลับ แต่ก็มีอิทธิพลทางทหารไม่น้อย ทั้งสองจึงยินยอมปกปิดความลับไปกับการศึกในครั้งนี้ เพื่อรักษาความสมดุลย์ในกองทัพ
ส่วนการใส่ความบังทองให้ไม่มีทางถอยกลับนั้น นับเป็นผลพลอยได้ของลกซุนเองที่จิวยี่ไม่ได้แยแสใส่ใจมากนัก เพราะยิ่งทำให้คนกังตั๋งเคืองแค้นต่อฝ่ายตรงข้ามมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีต่อการควบคุมจิตใจของมวลชนที่กำลังเดือดดาลจากผลพวงของศึกสงครามเซ็กเพ็กครั้งนี้
สิ่งที่ขงเบ้งกังวลยิ่งไปกว่านั้นคือ จูล่ง ผู้นำขุมกำลังสัตตดาราที่เลือกมาเป็นองครักษ์ ก็พลอยหายตัวไปตั้งแต่ก่อนเปิดศึกเซ็กเพ็ก ทำให้ขงเบ้งรู้สึกถึงความเปราะบางของตนเองที่ติดกับ ต้องอยู่โดดเดี่ยวในค่ายทหารฝ่ายอื่น
ยังดีที่มีน้องเล็ก ลกซุน และพี่ชายร่วมสายเลือด จูกัดกิ๋น แฝงตัว พร้อมให้ความช่วยเหลือได้ตลอดเวลา ส่วนโลซกก็ยังคงให้ความสำคัญในฐานะทูตสันถวไมตรีกับขุมกำลังกังแฮอยู่เช่นเดิม แต่ก็มิอาจประมาทความคิดของขุนพลสำอางจิวยี่ ผู้ที่แสดงให้เห็นประจักษ์แล้วว่า มีกลอุบายลึกซึ้ง เหนือความคาดหมายทั้งสิ้น
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ขงเบ้งจึงคิดหลบหนีไปเมืองกังแฮ โดยออกอุบายชักชวนให้โลซกและจูกัดกิ๋นไปล่องเรือสำรวจความเสียหายในลำน้ำไต้กัง อ้างว่ามีหนทางแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย แล้วแอบวางยาสลบใส่คนทั้งสอง เพื่อใช้โลซกจอมเจ้าเล่ห์เป็นตัวประกัน และหวังจะถอนจูกัดกิ๋นออกจากจุดเปราะบาง
การที่ขงเบ้งวางยาจูกัดกิ๋นไปด้วย เพื่อทำให้โลซกไม่ทันระวังตัว เพราะถึงแม้จูกัดกิ๋นมีสติปัญญา แต่ก็เป็นเพียงขุนนางบุ๋น ไร้ความสามารถในการต่อสู้แต่อย่างใด จึงปล่อยให้เป็นเหยื่อล่อจะดีกว่า
ขงเบ้งใช้ป้ายประกาศิตของจิวยี่ที่ได้มาจากการรบเซ็กเพ็กเป็นใบเบิกทางผ่านด่านน้ำทั้งหลาย แต่สายข่าวของกังตั๋งไม่ได้หย่อนยาน พอจิวยี่ทราบเรื่อง ก็รีบส่งหนึ่งบู๊หนึ่งบุ๋น เล่งทอง ลกซุน พร้อมกับกำเหลง จิวท่าย ใช้เรือเร็วมาดักสกัดไว้ทันที ไม่อาจปล่อยให้ขงเบ้งลักพาขุนนางสำคัญไปถึงสองคนได้โดยง่าย
ทั้งสี่โดดขึ้นเรือสำราญได้ก็จริง แต่ติดขัดที่ขงเบ้งมีตัวประกันอยู่ในมือถึงสองคน จึงได้แต่มองหน้ากัน ลังเลที่จะลงมือ ลกซุนจึงออกโรงต่อรอง "ท่านก็เป็นฝ่ายพันธมิตรกับพวกเรา ไม่น่าต้องทำให้ลำบากใจเช่นนี้ จงแจ้งเจตนาแท้จริงของท่านออกมาเถิด”
"เราเพียงต้องการเดินทางกลับไปหานายเรา ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายมิตรสหายดอก”
"เช่นนั้น ขอเชิญท่านกลับไปร่ำลากับท่านซุนกวน จิวยี่ให้ถูกต้องตามธรรมเนียมก่อนเถิด พวกท่านคงไม่คิดรั้งตัวท่านไว้ดอก”
กำเหลง จิวท่าย ที่ใจร้อนกว่าตามประสานักรบ และเคยเสียเชิงให้กับขงเบ้งเมื่อคราวก่อน จึงอาศัยจังหวะที่ทั้งสองเจรจากันอยู่ รีบลงมือตรงเข้าจับกุมขงเบ้ง คนพิการที่นั่งบนเก้าอี้ล้อหมุน ไม่คาดคิดว่า จะมีพิษสงมากมายกระไรนัก
ขงเบ้งคล้ายคาดหมายเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงมีแผนตอบโต้ทันควัน เห็นมันโยนระเบิดหมอกควันใส่พื้น เกิดเป็นหมอกสีดำหนาทึบ บดบังสายตา และหมุนตัวตบใส่เก้าอี้ ปล่อยล้อทั้งสองข้างดีดกระแทกใส่สองขุนพลจนหมดสติไปทั้งคู่
เล่งทองรีบลอยตัวสูงให้พ้นหมอกควัน หมายจะสะบัดอาวุธลับใส่ขงเบ้ง แต่ลกซุนกลับเซถลาตามกระแสคลื่นลม เข้าไปใกล้ขงเบ้งก่อน จนไม่อาจลงมือได้ถนัด เมื่อร่างเล่งทองถึงจังหวะตกลง กลับโดนใยตาข่ายจากกลไกในเก้าอี้ห่อหุ้มตัวไว้เสียแล้ว จึงเหลือแค่ลกซุนที่พอเป็นความหวังสุดท้าย เสียดายที่มันมิใช่นักรบ มันเป็นเพียงหนึ่งบุ๋น กุนซือผู้ไร้วิทยายุทธเท่านั้น
แม้ว่าขงเบ้งจะคล้ายคนพิการบนเก้าอี้ แต่ยังสามารถปราบสามขุนพลได้ในเวลาอันสั้น ลกซุนที่เป็นเพียงกุนซือ ตามเหตุผลจึงไม่มีหนทางยับยั้งได้ หากแต่มันยังพยายามอ้อมไปทางด้านหลังของเก้าอี้ ราวกับค้นพบจุดอ่อนช่องว่างของกลไก และกำลังใช้สายรัดเอวตัวเองคล้องรัดคอของขงเบ้งไว้ได้ด้วย
แต่แล้ว กลับมีมีดสั้นพุ่งเข้ามาตัดสายรัดเอวนั้นขาดสะบั้น แล้วชายคลุมหน้า รูปร่างสูงใหญ่ที่ดูคล้ายกับขุนพลเมฆขาว จูล่ง ที่หายหน้าไปก่อน ก็ลอยตัวขึ้นมาจากเรือเร็วที่แล่นเข้ามาเทียบลำกับเรือสำราญนั้น ยื่นมือเป็นกรงเล็บกดเข้าที่ลำคอลกซุนทันที จนเล่งทองที่ถูกจับด้วยใยตาข่าย แต่ยังพอมีสติ เห็นเหตุการณ์โดยตลอด ต้องรีบร้องห้ามไว้ "ท่านจูล่ง โปรดยั้งมือไว้ไมตรี”
“จูล่ง” ใต้ผ้าคลุม มองหน้าลกซุนแน่นิ่ง ก่อนจะคลายมือออก แล้วผายมือเชื้อเชิญให้ขงเบ้งย้ายไปลงเรือเร็วแทน โดยคนบังคับเรือนำแผ่นกระดานไม้มาวางพาดให้เก้าอี้ล้อหมุนเลื่อนผ่านได้สะดวก ราวกับเตรียมการมาเป็นอย่างดี
จังหวะนั้น กำเหลง จิวท่าย เริ่มฟื้นคืนสติ งัวเงียลุกขึ้น “จูล่ง” จึงกระแทกศอกให้ขุนพลทั้งสองสลบไปอีกครั้ง แล้วค่อยพริ้วกายลงเรือเร็วจากไป ปล่อยให้ลกซุนที่ใจเด็ดแต่เปราะบาง อยู่แก้ไขพรรคพวกไปตามลำพัง
ส่วนขงเบ้งเองก็จำต้องปล่อยจูกัดกิ๋นไว้ เพื่อไม่ให้คนอื่นๆล่วงรู้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกมันทั้งสอง เพราะแม้แต่จูล่ง คนในฝ่ายเดียวกัน ก็ไม่ควรล่วงรู้ความลับนี้เช่นกัน
เมื่อทั้งหมดกลับไปรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อซุนกวน จิวยี่ ทำให้ลกซุนได้รับการยกย่องชมเชยในความกล้าหาญ จนสามารถช่วยเอาคนทั้งหมดกลับมาได้ นับเป็นการสร้างชื่อเสียงให้แก่กุนซือพยัคฆ์คะนองไม่น้อย
...
ขงเบ้งนั่งเหม่อลอยบนเรือเร็วที่กำลังมุ่งไปเมืองกังแฮ ไม่พูดจาอะไรกับจูล่ง คล้ายกับมีความในใจหนักอึ้งอยู่ จนเลื่อนเก้าอี้ล้อหมุนกลับขึ้นถึงฝั่งเรียบร้อย ค่อยหันมาไต่ถาม "เจ้าเป็นผู้ใด จึงปลอมตัวมาเป็นจูล่ง ช่วยเราในครั้งนี้”
"จูล่ง" จนบัดนี้ เท่ากับยังไม่ส่งเสียงใดๆให้เล็ดรอดจากผ้าคลุมหน้าออกมาเลยด้วยซ้ำ และยังคงยืนนิ่งอยู่บนเรือเร็วที่กำลังแล่นถอยห่างออกไป ขงเบ้งจึงได้แต่ลอบจดจำรายละเอียดของบุรุษลึกลับที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้น เท่าที่สามารถทำได้
เมื่อออกมาห่างไกลมากแล้ว คนบังคับเรือจึงกล่าวขึ้นเบาๆ "ขงเบ้งนี่สำคัญนัก สังเกตพวกเราออกแต่แรก กลับไม่กล่าวเปิดโปงใดๆ ดีที่พวกเราก็สงบนิ่งมากด้วย”
"ถูกแล้ว พี่สิบสอง คนผู้นี้ตึงมือยิ่งนัก มิน่าเล่า พี่สิบเอ็ดจึงได้พลาดท่าสิ้นชีวิตให้กับมัน" จูล่งซึ่งก็คือเหยี่ยวดำปลอมตัวมากล่าวตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองใจไม่หายที่จูกัดเหลียงเคยใช้กับดักสังหารสมาชิกหน่วยเดียวกัน
นี่เป็นอีกครั้งที่เหยี่ยวดำและหัวขวาน จากหน่วยปักษาสวรรค์ออกโรง ปลอมเป็นจูล่งและคนเรือ ช่วยชีวิตขงเบ้งให้กลับคืนเมืองกังแฮได้โดยปลอดภัย มิเช่นนั้น เห็นทีว่า มังกรซ่อนคงสิ้นลายอยู่ในถ้ำเสือแดนพยัคฆ์ไปแล้ว
…
หลังจากติดตามคนคลุมหน้ากับสุมาเต๊กโชตัวปลอมไม่ทัน สุมาอี้กับตันฮกก็แยกทางขึ้นเหนือ กลับไปร่วมกองทัพรักษาการตามคำสั่งที่ได้รับมาจากโจโฉผู้เป็นนาย ปล่อยให้บังทองอยู่ประเมินข่าวการรบหลังศึกเซ็กเพ็กตามลำพัง ซึ่งล้วนเป็นข่าวไม่ดีต่อกุนซือหงส์ผงาดทั้งสิ้น
ฝ่ายโจโฉเห็นว่า มันคือผู้ที่นำพาทัพเรือกองหน้าไปสู่ความตาย จนเป็นต้นเหตุในการพ่ายศึกทางน้ำ ฝ่ายจิวยี่ก็หาว่า มันคือมือสังหารวีรชนอุยกาย แม่ทัพเฒ่าในสนามรบ กลับกลายเป็นตัวเลวร้ายของขุมกำลังใหญ่ทั้งสองไปแล้ว ยังมีสุมาเต๊กโชปลอมที่แทรกซึมเข้ามา ถูกมันเปิดโปงไปแล้วก็จริง แต่ถึงกับบิดเบือนข่าวทำลายล้างสำนักนักปราชญ์เป็นการทะเลาะกันระหว่างลัทธิไปได้อย่างรวดเร็ว นับว่า ต้องมีขุมกำลังลับอยู่เบื้องหลังไม่ใช่ย่อย พร้อมจะลงมือล้างแค้นกับมันได้ทุกเมื่อ
ส่วนสหายผู้ลึกลับนั้น ก็เหมือนจะรับเคราะห์แทนมัน จึงถูกลกซุนฆ่าตายไปในสมรภูมิรบ ซึ่งทำให้มันคาดคิดต่อได้ว่า ฐานะของมันในกลุ่มทายาทมังกรเริ่มมีปัญหาแล้วเช่นกัน ยังดีที่มันแยกทางจากสุมาอี้ ตันฮกมาก่อน มิเช่นนั้น หากทั้งสองทราบข่าว ก็อาจจะหันอาวุธมารุมสังหารมันไปอีกคนก็เป็นได้
ในเมื่อสถานะของมันไม่ปลอดภัย มีแต่ศัตรูอยู่รอบด้าน มันจึงตัดสินใจ ออกเดินทางไปอาศัยอยู่กับ อุยเอี๋ยน ลูกศิษย์ของมันที่เมืองเตียงสา หลบซ่อนตัวยุติบทบาทชั่วคราว และได้ทำความรู้จักคุ้นเคยกับฮองตง ขุนพลมือธนูสูงวัย
นับว่า บังเอิญยิ่งนัก บังเต๊ก ลูกผู้น้องซึ่งเป็นลูกชายของอาตนเองที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี ถึงกับเป็นสหายร่วมสำนัก เพื่อนสนิทของอุยเอี๋ยน ในฐานะศิษย์สายนอกที่โดดเด่นที่สุดจากสำนักยุทธ์ของฮองตง บังทองจึงรับหนุ่มน้อยญาติสนิทเข้ามาเป็นลูกศิษย์อันดับสองของมันด้วย จะได้เป็นคู่ซ้อมฝึกฝีมือร่วมกันกับอุยเอี๋ยน
อุยเอี๋ยนมีปัญญาสูง เรียนบู๊จากฮองตง เรียนบุ๋นจากบังทอง พัฒนาตนเองไปมาก แต่บังเต๊กผู้นี้ เท่ากับได้ปรับพื้นฐานจากฮองตงจนเชี่ยวชาญ และต่อยอดเพิ่มเติมจากบังทอง ทำให้มีวิทยายุทธ์ก้าวล้ำได้อย่างรวดเร็ว จนบังทองทึ่งในความเป็นอัจฉริยะเชิงวิทยายุทธ์ เสียดายเพียงแต่ญาติผู้น้องกลับเป็นคนใจร้อน โผงผาง ไม่อาจเปิดรับความรู้ด้านบุ๋นได้เลย คงใช้ได้เพียงแค่ขุนพลหาญกล้าคนหนึ่ง
หมายเหตุ พงศาวดารบันทึกว่า บังทอง มีอาชื่อบังเต๊กกง ผู้เขียนจึงนำมาเชื่อมโยง ให้อาของบังทอง มาเป็น พ่อของบังเต๊ก ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญกับเนื้อเรื่องในลำดับต่อไป
…
1 บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 3 - มังกรจ้าวบูรพา
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย