Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
26 เม.ย. 2021 เวลา 03:36 • นิยาย เรื่องสั้น
3.22. สัจจะลูกผู้ชาย
กองกำลังใต้ดิน - ฮูฉูเฉียน ซงหนู - ทัวปาลี่เวย เซียนเปย - กองซุนอวด เหลียวตง
เมืองกังแฮที่มีเล่ากี๋ ลูกคนโตของเล่าเปียวเป็นเจ้าเมืองอยู่ แต่ด้วยบุคลิกที่่อ่อนไหว และสุขภาพที่ทรุดโทรมอันเกิดจากความหมกมุ่นในกาม จึงกลายเป็นเล่าปี่และพวกที่นำชาวบ้านหลายหมื่นคนเข้ามาพึงพิงอาศัย เริ่มแทรกซึมได้ง่าย จนมีอำนาจอิทธิพลเหนือกว่า และครอบงำการบริหารงานในเมืองไปแทน ทำให้บางคนข้อสังเกตว่า เหตุการณ์ช่างเหมือนครั้งที่ลิโป้หนีศึกโจโฉ มาขออาศัยกับเล่าปี่ที่เมืองชีจิ๋วเสียเหลือเกิน เพียงแต่เปลี่ยนตัวละคร เปลี่ยนบทบาทไปตามกาลเวลาเท่านั้น
คุณชายเล่ากี๋เลยกลายเป็นหุ่นเชิด ไร้บทบาทใดๆ ยิ่งใช้ชีวิตเพลิดเพลินกับความชอบส่วนตนต่อไป ราวกับไม่รู้สึกกดดันตึงเครียดต่อสถานการณ์การศึกแม้แต่น้อย จนล่าสุด เตียวหุยถึงกับหมดความอดทน ลอบใช้ม้าเซ็กเทาหายตัวไปหลายวัน เพื่อไปนำตัวหมอฮัวโต๋กลับมาช่วยดูแลสุขภาพให้เป็นกรณีพิเศษอีกด้วย
ยามนี้ เรื่องราวภัยพิบัติของโรงเรียนกระท่อมรังนกเป็นที่แพร่หลายไปทั่วแล้ว การที่เตียวหุยไปพบตัวหมอใหญ่ในช่วงเวลาคับขัน จึงเป็นการยืนยันได้ว่า ทั้งสองคนอาจจะมีความสัมพันธ์ฉันท์มิตรสหายแนบแน่นกว่าที่คนอื่นล่วงรู้ แต่เล่าปี่ก็สงวนท่าที ไม่ไปยุ่งเกี่ยวยุ่มย่ามให้อาคันตุกะต้องอึดอัดลำบากใจ
ยังคงมีเพียงแต่ขงเบ้งที่ขอเบียดเบียนเวลาเล็กน้อยให้ช่วยตรวจดูอาการเรื้อรังที่หัวเข่าและข้อเท้าด้านซ้ายเพิ่มเติม ซึ่งหมอเอกก็ให้การต้อนรับอย่างดี และจ่ายใบยาสมุนไพรให้ตามสมควร สมกับเป็นคนสายแพทย์
หากแต่อาการหนักหนาสาหัสเกินไป ต้องอาศัยตัวยาพิสดาร ระยะเวลาอีกช่วงใหญ่ และการฝังเข็มสกัดจุดต่อเนื่อง จึงจะกลับมาเดินเหินเป็นปกติได้ดังเดิม ฮองเย่อิงพอมีความรู้ด้านการแพทย์อยู่บ้าง จึงรับอาสาเรียนรู้แบบเร่งรัด เฉพาะส่วนจำเป็นในการรักษาพยาบาลให้กับสามีได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับตัวยาสำคัญนั้น หากเอ่ยถึงพวกบัวหิมะเทียนซานอายุพันปี อาจจะเป็นสิ่งเพ้อฝันเกินเลยสำหรับคนธรรมดาทั่วไป หากแต่นั่นกลับเป็นเป้าหมายที่ทำให้จูกัดกุ๋ย ผู้เป็นบิดา ต้องถ่อสังขารเดินทางไกลไปนอกด่านตะวันตกด้วยตนเองตั้งแต่หลายปีก่อน จนข่าวคราวขาดหาย สาบสูญไปนาน ซึ่งขงเบ้งสองสามีภรรยา แม้รู้อยู่แก่ใจ แต่มิอาจบอกให้หมอเทพยดาได้รับรู้ความลับเช่นนี้
…
พอข่าวงานการศึกมาถึงเมืองกังแฮ เล่ากี๋ไม่เคยเผชิญความยากลำบาก ได้แต่หน้าซีดตัวสั่น ทำอะไรไม่ถูก จึงเป็นทางฝ่ายเล่าปี่อาสาจัดการให้โดยเบ็ดเสร็จ แล้วค่อยให้เล่ากี๋พยักหน้ารับรองต่อคำสั่งการ
แต่ปัญหาคือ จูล่งที่ยังหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นับตั้งแต่จากกันที่ดินแดนกังตั๋ง สำหรับเล่าปี่และคนอื่นๆ คือ การขาดแคลนผู้ช่วยสำคัญไปคนหนึ่ง แต่มุมมองของขงเบ้ง คือ ประมุขพรรคสัตตดาราอาจมีนัยยะซ่อนเร้น อาจหลบหนีไปวางแผนการแทรกแซงอันใดในช่วงวิกฤติเช่นนี้
ขงเบ้งจึงต้องวางแผนอย่างเข้มงวดรัดกุม ป้องกันภัยแจ้งและภัยมืด โดยวางกำลังให้กวนอู และขุนพลรองที่เหลืออยู่ ไปตั้งรับที่เมืองแฮเค้า หน้าด่านของกังแฮ ส่วนทางด่านนี้ ให้เล่าปี่ เตียวหุย รวมทั้งเล่ากี๋ เตรียมพร้อมอพยพทางน้ำ หากฉุกเฉินจำเป็น ก็จำเป็นต้องหนีเข้าแดนกังตั๋งแล้ว
ยามนี้ เล่ากี๋แม้จะไม่มีความเก่งกาจอันใด หากแต่ยังคงสถานะเป็นหมากสำคัญทางการเมือง เพราะเป็นทายาทคนสุดท้ายของเชื้อพระวงศ์อาวุโสเล่าเปียว มีสิทธิ์สูงสุดในการสืบทอดการปกครองเขตแดนแทนบิดา หากไม่คำนึงถึงคำสั่งการของรัฐบาลกลาง พวกเล่าปี่จึงยังต้องเก็บผู้นำหุ่นเชิดเอาไว้ก่อน
…
เมื่อกองทัพโจโฉยกมาถึงเมืองแฮเค้า จึงตั้งค่ายเตรียมรบครั้งใหญ่ แสดงแสนยานุภาพ หวังยึดเมืองแฮเค้า กังแฮให้หมดสิ้นอิทธิพลของอดีตเล่าเปียวในคราวเดียว แต่แล้ว กลับเกิดเหตุประหลาดสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในกองทัพแทรกซ้อนขึ้นมาเกินความคาดหมาย
ทหารกองทัพเก่าของอ้วนเสี้ยวที่ถูกเรียกว่า กองทัพผีดิบ ที่เคยเพียงแค่เซื่องซึม ไร้สติ เป็นครั้งคราว แต่ไม่เคยเป็นพิษเป็นภัยต่อผู้คน จนเริ่มเคยชินกับพฤติกรรมผิดเพี้ยนมานานนั้น กลับมีอาการคล้ายคลุ้มคลั่งเสียสติ หยิบอาวุธออกมาไล่ฆ่าฟันผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงในยามค่ำคืน ราวกับเกิดเป็นสงครามย่อยๆภายในกองทัพ
กว่าเหล่าขุนพลของโจโฉจะนำกองกำลังเข้าปราบปรามได้หมดสิ้น ก็สูญเสียทหารหลักไปอีกหลายหมื่นคนโดยเปล่าประโยชน์ โดยเฉพาะกองทัพชนเผ่าทางเหนือถูกสังหารแทบหมดสิ้น แม้แต่ขุนพลเอกแห่งซงหนู ฮูฉูเฉียน ผู้เฒ่าเนินทรายที่โด่งดังมานาน ก็พลอยหายสาบสูญไปในเหตุการณ์ครั้งนี้
นี่คือวิธีการใช้พิษกระตุ้นพิษอย่างบังเอิญตามที่หมอฮัวโต๋ นกฮูก แห่งหน่วยปักษาสวรรค์คาดการณ์ไว้ แต่เดิมที่บังทองขโมยตัวยาเซื่องซึมไปใช้ในศึกกัวต๋อ ทำลายสติสัมปชัญญะของกองทหารกิจิ๋วไปหลายหมื่นคน ที่จริง เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ฤทธิ์ยาเจือจางลง นานไปก็จะหายเป็นปกติได้เอง
หากแต่นกฮูกพบเห็นกลีบดอกเบญจมาศมากมายที่ล่องลอยมาตามลำธารดื่มกินสายหลักของเมืองเกงจิ๋ว จึงนึกขอบคุณฟ้าที่ส่งมอบไม้ตายครั้งนี้มาให้ เพราะดอกเบญจมาศธรรมดาๆเหล่านี้ กลับเป็นตัวกระตุ้นพิษร้ายที่ยังแทรกซึมอยู่ภายในร่างกายของคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ เมื่อเหล่าทหารใช้ดื่มกินลงไป ก็เพียงแค่นับเวลาถอยหลังได้เลย และมันก็เกิดขึ้นตามคาดคิดโดยไม่ต้องมีผู้ใดเผยโฉมลงมือเลย
ยามนี้ อินทรีเพิ่งประสพเภทภัยสาหัส นกฮูก-ฮัวโต๋ จึงถือว่า มีอาวุโสลำดับสูงสุด ต้องตัดสินใจลงมือให้กับหน่วยงาน ปรึกษากันกับนางแอ่น-เตียวหุย ต้องพยายามลดทอนความห้าวหาญของการศึกนอกบันทึกพงศาวดารในครั้งนี้ เพื่อรักษาผู้คนสำคัญให้รอดพ้นจากหายนะครั้งใหญ่ และเบี่ยงเบนผลการรบไปในทิศทางที่ควรจะเป็น อันเป็นหลักการพื้นฐานของหน่วยปักษาสวรรค์มาโดยตลอด
โจโฉชนะมหาศึกครั้งแรก-ศึกกัวต๋อ โค่นล้มกลุ่มตระกูลขุนนางเก่าแก่ ก่อเกิดเป็นขุมกำลังหลักใจกลางแผ่นดิน แต่มิอาจได้ชัยในมหาศึกครั้งที่สอง-ศึกเซ็กเพ็ก ที่สมควรต้องส่งผลให้ก่อเกิดกลุ่มการเมืองแบบกระถางสามขา โจ-ซุน-เล่า อันมีชื่อปรากฏในช่วงเวลาสามก๊ก
หากแต่พวกปักษาสวรรค์มิอาจล่วงรู้ได้เลยว่า การลงมือใช้พิษกระตุ้นพิษในครั้งนี้ กลับทำลายแผนการของขุมกำลังลับกลุ่มหนึ่ง จนทำให้ประวัติศาสตร์สามก๊กผิดเพี้ยนไปเฉกเช่นกัน และในเมื่อแผนการบ่อนทำลายรัฐบาลด้วยการแทรกซึมปะปนเข้ามาในกองทัพผสม จนฝ่ายโจโฉพ่ายแพ้ล่าถอยในศึกเซ็กเพ็กช่วงท้ายมิได้เกิดขึ้นตามกำหนดเวลาที่ควรจะเป็น กลุ่มวีรบุรุษสงครามและความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรแห่งหนึ่งจึงถูกเลื่อนเวลาออกไปอีกหลายสิบปีเลยทีเดียว
…
อย่างไรก็ตาม ข่าวร้ายของโจโฉยังไม่หมดสิ้น ศัตรูตัวแสบฝ่ายกังตั๋งที่ตามข่าวกรองแจ้งว่า ไม่มีทีท่าจะเคลื่อนไหวอันใด เพราะมัวแต่จัดงานศพสดุดีวีรชนจากศึกเซ็กเพ็กอยู่อย่างใหญ่โตนั้น ถึงกับอาศัยความมืดยามราตรี ใช้กองทัพเรือนำทหารหลายสิบหมื่นคนแยกย้ายกันบุกเข้ายึดเมืองเกงจิ๋ว และหัวเมืองใหญ่ใกล้เคียงไปได้แล้ว กลายเป็นการยึดกุมจุดยุทธศาสตร์สำคัญ สร้างพื้นที่ปลอดภัยทางด้านบนของแม่น้ำไต้กังไว้สำหรับยกพลขึ้นบก สามารถเลือกที่จะรุกไล่ทัพโจโฉที่รุกล้ำไปทางตะวันออก หรือเคลื่อนพลขึ้นเหนือ ยึดเมืองอ้วนเซีย จ่อบุกตรงเข้าเมืองหลวงฮูโต๋ได้แล้ว
ยังดีที่โจหยินเอาตัวรอดได้ทัน นำกองทัพที่หลงเหลืออยู่ ถอยกลับไปตั้งรับอยู่ที่เมืองอ้วนเซียแทน และขอความช่วยเหลือไปทางเมืองหลวง ได้กองทัพเสริม เตียวคับ ตันฮก แยกลงมาช่วยสนับสนุนแล้ว ทำให้ฝ่ายกังตั๋งไม่กล้าขยายผลชิงดินแดนเพิ่มเติมต่อไปอีก
งานนี้ นับว่า ซุนกวน จิวยี่ เล่นละครตบตาทั้งโจโฉและขงเบ้งได้อย่างแนบเนียนยิ่งนัก ตลอดเวลาที่ผ่านมา สองผู้นำฝ่ายกังตั๋งแสดงความอ่อนแอ หรือกังวลใจ ออกมาหลายครั้ง ถึงขนาดที่ซุนกวนส่งเครือญาติให้หนีออกทะเลไปกับเจ้าสัวเกียว และจิวยี่แสร้งป่วยไข้เพราะขาดลมบูรพา เป็นต้น ทำให้ฝ่ายอื่นล้วนประเมินความสามารถต่ำลง และลดความหวั่นเกรงในท่าทีการตอบโต้ของคนทั้งสองไปมาก
ดังนั้น พอถึงจังหวะเวลาที่สุกงอม ฝ่ายกังตั๋งจึงรุกฆาตขึ้นมาได้แบบไม่มีใครคาดคิดได้ทันเสียแล้ว ตามกลศึก "แสร้งทำบอแต่ไม่บ้า" ทำให้ดูอ่อนแอถึงที่สุด แล้วค่อยโจมตีอย่างรวดเร็ว ยึดเอาเมืองสำคัญริมแม่น้ำไปหลายเมืองในคราวเดียว นี่จึงเป็นความน่ากลัวที่แท้จริงของพวกแดนใต้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า กองทัพโจโฉจะสูญเสียทหารเลวเมืองเหนือไปในสงครามผาแดง และสังเวยความคลุ้มคลั่งของกองทัพผีดิบไปร่วมสิบหมื่นคน แต่ก็ยังคงมีจำนวนมากกว่ากองทัพพันธมิตรของจิวยี่ เล่าปี่อยู่สองสามเท่าตัว หากจะดึงดันบุกเข้าตีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็ยังสามารถทำได้อย่างมีเปรียบกว่าอยู่ดี ทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของโจโฉคนเดียวเท่านั้นว่า จะเลือกทำสงครามประจัญบานกับใครก่อน ซึ่งฝ่ายนั้นคงไม่อาจหลีกเลี่ยงความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
ฝ่ายเล่าปี่ เมืองกังแฮ มีจำนวนทหารเพียงไม่กี่หมื่นคน หากแบ่งคนให้ขุนพลที่วางใจได้ไปบดขยี้ให้จบสิ้น แล้วค่อยกลับมาสมทบกับกองกำลังส่วนใหญ่ ย้อนกลับไปปะทะชิงพื้นที่คืนจากฝ่ายจิวยี่ที่เมืองเกงจิ๋ว น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมตามสายตาของนักกลยุทธ์
หากแต่โจโฉกลับสั่งการให้ถอยทัพกลับไปจัดการกับพวกจิวยี่อย่างเร่งรีบ ราวกับลืมเลือนบทเรียนครั้งก่อนที่เมืองชีจิ๋วในอดีตที่เล่นศึกสองด้าน มัวแต่ล่าถอยจนถูกตีกระหนาบในวงล้อม ทำให้กวนอูเห็นเป็นโอกาส รีบนำกองทัพเมืองแฮเค้าออกตามทัพหลังของฝ่ายโจโฉ พร้อมส่งข่าวถึงฝ่ายกังตั๋ง หวังจะฉวยโอกาสรุมโจมตีกองทัพโจโฉที่สมรภูมิเมืองเกงจิ๋ว
แต่แล้ว กลับกลายเป็นการศึกไม่หน่ายเล่ห์กล ครั้งนี้เป็นกับดักที่โจโฉได้เตรียมการวางทัพซุ่มซ่อนไว้ระหว่างทาง เพื่อจัดการกับกวนอู สหายเก่าโดยเฉพาะ ทำให้กองทัพของกวนอูแทบจะต้านทานไม่ได้เลย เพราะจำนวนคนน้อยกว่ามาก และยังโดนถล่มด้วยอุปกรณ์สงครามล้ำยุคอย่างกองทัพรถฟ้าลั่น หรือเครื่องยิงก้อนหินระยะไกลด้วย
กวนอูนับว่ามีน้ำใจนักเลง ยอมรับในชะตากรรมความผิดพลาดของตนเอง ตัดสินใจควบม้าเซ็กเทาออกมาเบื้องหน้า ท้าดวลกับขุนพลฝ่ายโจโฉ หวังจะหยุดยั้งความสูญเสียของเหล่าทหาร และนำพาขุนพลมีชื่อฝ่ายตรงข้ามให้ตายตามกันให้ได้มากที่สุด อย่างน้อย ก็ได้ทิ้งชื่อจารึกไว้ในประวัติศาสตร์แล้ว
โจโฉนึกชื่นชมในท่าที จึงสั่งการให้หยุดการโจมตีไว้ก่อน และปล่อยให้แฮหัวตุ้น คู่แค้นเก่า นำ อิกิ๋ม งักจิ้น เคาทู ออกไปล้อมวงต่อสู้แบบฉาบฉวยยืดเยื้อ ตามข้อสังเกตเดิมของตนเองเมื่อครั้งก่อนที่สรุปไว้ว่า กวนอู หรือเผิงเสียน สหายเก่าของตนนั้น จะเก่งกาจในการต่อสู้ช่วงแรกๆ พอนานไป กำลังลดทอนลง ก็จะหมดพิษสงลงไปเอง
ซึ่งก็เป็นไปตามการคาดเดา เพราะกวนอูโดนล้อมกรอบเช่นนี้ ก็ไม่อาจเอาชัยได้ต่อขุนพลทั้งสี่โดยง่าย ถึงกับได้รับบาดเจ็บจนเลือดโทรมกาย ใกล้หมดสติล้มฟุบลงบนหลังม้าคู่ใจ แม้แต่เตียวเลี้ยว สหายเก่าที่ยืนคุมเชิงอยู่ด้วยในระยะไกล ก็คาดเดาว่า กวนอูคงไม่รอดชีวิตแล้ว
ทันใดนั้น รถม้าโดยสารคันหนึ่งเคลื่อนที่เข้ามากลางวงล้อมอย่างเร่งร้อน ชายหนุ่ม รูปร่างสูงใหญ่ ในชุดรัดกุม สวมหมวกปีกกว้าง คล้ายกับการปรากฎกายที่หน้ากองทัพเมื่อคราก่อน แต่มีผ้าคลุมใบหน้าเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ฝ่ายโจโฉคาดเดาได้ทันทีว่า มันคือจูล่ง ขุนพลเมฆขาวที่โด่งดังแน่นอน เพราะจดจำได้จากกระบี่สั้นที่สะพายไว้ข้างเอว เป็นกระบี่สั้นสัตตดาราที่แย่งชิงไปจากแฮหัวอิ๋นผู้โชคร้ายในศึกเตียงปันคราวก่อนนั่นเอง
งักจิ้น อิกิ๋ม รู้อยู่แก่ใจว่า นักรบผู้นี้คือศัตรูอันดับต้นๆของเจ้านายตน จึงผละจากกวนอูควบม้าพุ่งเข้าใส่รถม้าแทน แต่เหมือนจูล่งจะรู้ทัน จึงกระโดดลอยตัวสวนทางเข้ามา พร้อมใช้พลังฝ่ามือกระแทกใส่ทั้งสองจนตกจากหลังม้า บาดเจ็บไปทันทีในกระบวนท่าเดียว
"เรามีเรื่องพูดคุยกับโจโฉ" จูล่งหยุดยืน และตะโกนก้อง ในขณะที่ทั้งหมดยังตกตะลึงในพลังฝีมือที่สยบสองขุนพลพยัคฆ์ได้ในคราเดียว ขนาดกวนอูที่ร่ำลือกันว่าเก่งกาจ ยังไม่อาจจัดการได้รวบรัดเช่นนี้
"เราอยู่ที่นี่" โจโฉในชุดนักรบก้าวออกมายืนอย่างองอาจ ท่ามกลางการป้องกันอารักขาของขุนพลนายทหารจำนวนหนึ่ง
"เป็นท่านที่กล่าวไว้ว่า หากไต้เกี้ยวยินยอมกลับไปกับท่านแล้ว จะยอมยุติสงครามแดนใต้ ใช่หรือไม่”
โจโฉงงงันวูบ นึกทบทวนก่อนตอบ “ถูกต้อง"
"ถ้าเช่นนั้นแล้ว จงรับสิ่งนี้ไปเถิด" จูล่งหยิบม้วนไม้ไผ่โยนให้ตรงหน้า ทหารองครักษ์เก็บเอาไปส่งต่อให้โจโฉเปิดอ่าน
"พี่เมิ่งเต๋อ (ชื่อรองของโจโฉ คนสองคนนี้รู้จักกันมานานหลายสิบปีแล้ว จึงเรียกหาอย่างสนิทสนมกัน-ผู้เขียน)
ดินแดนกังตั๋งเป็นของรักของหวงที่สุดของซุนเซ็ก สามีผู้ล่วงลับของผู้น้อง หากท่านยินยอมละเว้น ไม่ทำร้ายผู้คนทั้งหลาย ถอนทัพกลับไปแต่โดยดี ก็จงนำพาตัวข้ากลับไปด้วยกันเถิด --- ไต้เกี้ยว”
โจโฉมองเลยไปยังรถม้าที่ยังสงบนิ่งอยู่ ภายในคงจะเป็นไต้เกี้ยวนั่งรอคำตอบอยู่ มันขบคิดชั่ววูบ จึงกล่าวด้วยเสียงดังฟังชัด “ในเมื่อข้าออกปากไว้เช่นนั้น มันคือสัจจะของลูกผู้ชายชาติทหาร หากน้องไต้เกี้ยวยอมไปกับข้าแล้ว ข้าก็ยินยอมยกทัพกลับไปในครั้งนี้อย่างไม่มีเงื่อนไข อีกสามปีข้างหน้า ค่อยว่ากล่าวกันใหม่”
จูล่งที่ยังปกปิดใบหน้าอยู่ เดินถอยหลังกลับไปยืนเคียงข้างกวนอูที่จวนเจียนหมดสติอยู่บนม้าเซ็กเทาแสนรู้ พอได้จังหวะ จึงคว้าตัวกวนอู และพลิกกายขึ้นนั่งซ้อนหลังม้าด้วยกัน พลางกล่าวตอบ “อีกสามปีเจอกันใหม่ ขออำลา” แล้วจึงควบม้าจากไปทางเมืองแฮเค้า พร้อมกองทหารที่ยังหลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่ร้อยคน
โจโฉส่งสัญญาณให้เคาทูเดินเข้าไปสำรวจภายในรถม้าที่ยังจอดนิ่ง เคาทูเปิดประตู มองเข้าไป แล้วหันกลับมาอย่างตื่นตกใจ พลางร้องตะโกน “นายท่าน เราถูกจูล่งหลอก นางไต้เกี้ยวตายไปแล้ว”
โจโฉหน้าซีดขาว รีบวิ่งเข้ามาดู เป็นไต้เกี้ยวที่นอนสงบนิ่ง หมดลมหายใจไปแล้วจริงๆ เมื่อสังเกตดูโดยรอบ จึงพบร่องรอยบาดแผลที่ถูกไฟลวกไหม้ทั่วร่างกายจากการหลบหนีเมื่อคราก่อน นางคงใช้เวลารักษาตัวอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว สุดท้ายก่อนตาย ยังคิดอ่านช่วยบ้านเมืองอันเป็นที่รัก จึงยอมเสียสละร่างกายเพื่อยุติศึกใหญ่
“ฮูหยินไต้เกี้ยว เป็นภรรยาของขุนพลซุนเซ็กที่ล่วงลับ เป็นทั้งสหายเก่าของข้า และยังเป็นลูกสะใภ้คนโตของซุนเกี๋ยน สหายสนิทของเราด้วยอีกชั้นหนึ่ง จงจัดเตรียมโลงศพอย่างดี ทำพิธีส่งวิญญาณผู้ตายให้สมเกียรติ แล้วให้คนส่งคืนแก่ซุนกวน นางจะได้กลบฝังเคียงคู่กับชายคนรัก และได้อยู่ในดินแดนที่นางใช้ชีวิตรักษาเอาไว้” โจโฉประกาศก้อง
นอกจากร่างของไต้เกี้ยว โจโฉยังให้ส่งหัวของเจียวก้าน จารชนรักเพื่อน กลับไปให้ขุนพลสำอางด้วย เป็นการปรามจิวยี่ว่า ตนเองก็รู้เท่าทันกลศึกเซ็กเพ็ก และสั่งเดินทัพเลี่ยงเมืองเกงจิ๋ว อ้อมเส้นทางกลับไปเมืองหลวงฮูโต๋ ยุติสงครามแดนใต้ไปจริงๆตามคำสัญญา
จอมทรราชย์โจโฉ แม้จะผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน ไขว่คว้าโหยหาหญิงคนรักอย่างไต้เกี้ยว เสียวเกี้ยวอยู่ก็จริง แต่เมื่อพบเห็นเหตุการณ์สะเทือนใจเช่นนี้ จึงยอมถอย ละเว้นเสียวเกี้ยวคนน้อง และดินแดนทางใต้ เปิดทางให้กับความรักที่แท้จริงของไต้เกี้ยวคนพี่ ได้เป็นที่ประจักษ์ ไม่ถือสาเรื่องการหลอกลวงเล่นคำ นับว่า ยังเป็นชายชาตรี จิตใจห้าวหาญคนหนึ่ง
เรื่องราวครั้งนี้ ภายหลัง ได้รับการเผยแพร่ในแวดวงวิชาการไปในทางที่ยกย่องชมเชย แม้ว่า พื้นเพโจโฉที่พัวพันกับขันที และมิใช่ชนชั้นปัญญาชนโดยกำเนิด จะเป็นที่รังเกียจชิงชังในสายตาเหล่าบัณฑิต แต่คำมั่นสัญญา และความงมงายในรักกลับกระตุ้นให้เลือดลมพลุ่งพล่านด้วยความซาบซึ้งกินใจ จนกลายเป็นตำนานเล่าขานของจอมทัพนักรักผู้กล้าหาญนาม โจโฉ และวีรสตรีผู้เสียสละชีวิตเพื่อสงบศึกใหญ่ นาม ไต้เกี้ยว
…
ค่ำคืนภายหลังพันธะสัญญาล่าทัพ ภายในกองทัพชนเผ่าทางเหนือ ได้มีการประชุมลับของสองแกนนำคนสำคัญ เป็นทัวปาลี่เวย อดีตผู้นำเผ่าเซียนเปยซึ่งเป็นพ่อตาของโจผี และ ฮูฉูเฉียน ผู้เฒ่าเนินทราย ขุนพลเอกแห่งซงหนูที่มีข่าวร่ำลือกันว่า หายสาบสูญไประหว่างสงครามย่อยจากกองทัพผีดิบ
เป็นฮูฉูเฉียนที่กระชากเสียงขึ้นก่อน “นี่เป็นเรื่องราวอันใด แผนการแทรกซึมที่พวกเรายอมอดทนอดสูมานานหลายปี กลับถูกกองทัพผีดิบก่อกวนทำลายจนยับเยินในค่ำคืนเดียวเช่นนี้ได้”
“ข่าวกรองของทางเราก็ทำงานอย่างหนักหน่วงมาโดยตลอด แข่งกับแผนการซับซ้อนของฝ่ายโจโฉ สู้อุตส่าห์นำกองทัพชนเผ่าหลุดรอดจากแผนแดนประหารกลางน้ำได้สำเร็จ ยอมตัดใจเสียสละกองทัพพันธมิตรเมืองเหนือให้ถูกเผาตายโดยไร้หนทางต่อสู้ไปหลายหมื่น หวังใช้กลุ่มชนเผ่าพลิกฟื้นสถานการณ์ในแดนกังแฮ แต่กลับชักช้าไปก้าวเดียว เรื่องนี้ เราก็มิใคร่เข้าใจจริงๆ หรือฟ้าดินจะกลั่นแกล้งพวกเรา” ทัวปาผู้เฒ่า ส่ายหน้าตอบคำ
ทัวปาลี่เวย ถึงกับเชื่อมโยง เซียนเปย ซงหนู และทหารเชลยทางเหนือ คิดก่อการขบถแทรกซ้อนท่ามกลางสงครามเซ็กเพ็กในสถานการณ์สุกงอม หวังฉุดลากให้โจโฉเสียหายอย่างหนัก เพื่อพลิกฟื้นสถานการณ์ชายแดนทางเหนือกลับคืน ซึ่งเป็นไปได้อย่างสูงว่า จะทำให้สถานะของชนเผ่ากลับไปสู่ความเป็นอิสระเช่นเดิม
“ยังดีที่กองกำลังกองซุนมิได้ร่วมเคลื่อนไหวในครั้งนี้ด้วยระยะทางที่ห่างไกล แต่อย่างน้อย คนอิจิ๋วก็ยังคงสะสมกำลัง รอคอยก่อการระลอกใหม่ได้ในเร็ววัน รอบหน้า คงต้องพึ่งพิงพวกมันเป็นหลัก หากนับรวมถึงกองทัพภูตมรณะด้วยแล้ว ยังสามารถโจมตีกระทันหันได้อีกสักรอบหนึ่ง” ฮูฉูเฉียนเสนอความเห็น
“ถ้าเช่นนั้น ก็เอาตามนี้เถิด ท่านย้อนกลับไปประสานงานกับพวกกองซุน ทำความเข้าใจในเรื่องราว และรอคอยสัญญาณรอบใหม่จากเรา ยามนี้ เรายังคงมีสถานะมั่นคงกับคนสกุลโจ พวกมันมิได้ระแวงในตัวเรา และเหตุการณ์ครั้งนี้ ถึงจะสร้างความเสียหายอย่างหนักทางกองทัพ แต่มิได้เปิดโปงความสัมพันธ์ของพวกเราออกไป อย่างน้อย ความหวังของพวกเราก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม” ทัวปาเฒ่า กล่าวสรุป
...
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 3 - มังกรจ้าวบูรพา
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย