27 เม.ย. 2021 เวลา 01:41 • นิยาย เรื่องสั้น
3.23. มิตรสหายหรือศัตรู
ซิหลง เสือสมิง - เตียวคับ เสือดาว - โจซุน ฟ้าประทาน
ที่จริงนั้น หมอฮัวโต๋ที่หลบหนีมาจากสำนักนักปราชญ์พร้อมกับจูล่ง ไต้เกี้ยวครั้งนั้น ภายหลัง ได้มาสมทบกันกับเตียวหุย และอินทรีที่ได้รับบาดเจ็บแขนพิการ เห็นว่า สถานการณ์ทั้งส่วนตัวและส่วนรวมล้วนคับขัน ไม่อาจปลีกตัวเร้นกาย จึงอาศัยบารมีของเตียวหุยเดินทางผ่านด่านต่างๆ ทำทีเป็นได้รับการเชื้อเชิญให้มารักษาตัวเล่ากี๋ นำคนทั้งหลายมาหลบซ่อนตัวอยู่ที่กังแฮนี่เอง
การรักษาบาดแผลไฟไหม้ตามร่างกายของไต้เกี้ยวนั้น ที่จริง ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเกินไปสำหรับหมอเทวดา หากแต่พวกมันเหล่าปักษาสวรรค์ต้องหาทางผลักดันให้โจโฉกลับคืนเมืองหลวงไปให้ได้ตามบันทึกประวัติศาสตร์ ขืนปล่อยให้โจโฉนำทัพรุกไล่พวกเล่าปี่ที่เมืองกังแฮ หรือปะทะทัพจิวยี่ที่เมืองเกงจิ๋ว ก็คงทำให้อดีตผิดเพี้ยนไปมากมายทั้งสองเหตุการณ์
ตามแผนเดิมนั้น พวกมันมีทั้งกระเรียน กระสา และอีกาที่มีพลังอำนาจพอจะระดมกำลังมาช่วยได้ แต่ในเมื่อเกิดการล้มตายไปแล้ว จึงต้องอาศัยผู้คนในอดีตมาสานต่อแผนงาน รักษาเค้าโครงประวัติศาสตร์เอาไว้ให้ได้
ช่างบังเอิญที่ไต้เกี้ยวเล่าเรื่องความรักกับจูล่ง และข้อเสนอของโจโฉให้หมอฮัวโต๋ฟัง ทำให้อินทรี ผู้เป็นหัวหน้าหน่วย ต้องตัดสินใจสั่งการให้เสี่ยงดวง ยอมเสียสละไต้เกี้ยวไปเพื่อส่วนรวม ทางหนึ่ง หวังให้โจโฉรักษาสัจจะยอมถอยทัพกลับไป และอีกทางหนึ่ง คือการตัดเส้นทางสู่อำนาจของผู้นำพรรคฟ้าเหลือง โดยที่จูล่งตัวจริงยังไม่ทันฟื้นคืนสติขึ้นมารับรู้เรื่องราวนี้
ถูกต้องแล้ว “จูล่ง" คลุมหน้าที่ปรากฎตัวมาช่วยกวนอูในครั้งนี้ ก็คือเหยี่ยวดำปลอมตัวมานั่นเอง จึงได้มีฝีมือปราบสองขุนพลพยัคฆ์ อิกิ๋ม งักจิ้น ด้วยมือเปล่าในกระบวนท่าเดียว
เป็นฝ่ามือสยบมังกรที่ดัดแปลงมาจากท่าง้าวสยบมังกรของกวนอูอีกทอดหนึ่ง คราก่อนที่ทุ่งเตียงปัน มันใช้ออกด้วยเชิงทวน ฝ่าวงล้อมทั้งกองทัพ ครั้งนี้ มันปรับเปลี่ยนเป็นมือเปล่า ชิงสยบสองขุนพลพยัคฆ์ในกระบวนท่าเดียว นับว่า ทั่วทั้งแผ่นดินในยามนี้ ยากนักที่จะมีใครมาเทียมทานนักฆ่าเหยี่ยวดำได้แล้วจริงๆ
...
หลายวันต่อมา จูล่งที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ลอบสังหารที่เนินเบญจมาศ และกวนอูที่ได้รับบาดเจ็บจากศึกนอกเมืองกังแฮ จึงค่อยฟื้นคืนสติขึ้นมาพร้อมกันในกระท่อมชาวนานอกเมือง เรือนที่พักชั่วคราวของหมอฮัวโต๋และศิษย์บางส่วน โดยมีเตียวหุยเป็นตัวแทนเฝ้าดูแลความปลอดภัย
ช่วงแรก ฮัวโต๋ได้รับเชิญให้มารักษาสุขภาพของเจ้าเมืองเล่ากี๋ ย่อมได้รับการต้อนรับอย่างดี มีที่พักเลิศหรูสุขสบาย หากแต่หมอใหญ่อ้างว่า ในขบวนยังมีลูกศิษย์แพทย์และคนไข้ต่อเนื่องติดตามมาด้วยหลายคน ต้องใช้สถานที่โปร่งกว้าง ใกล้ชิดแหล่งสมุนไพรในป่าเขา ไม่สะดวกในการอยู่อย่างอุดอู้ภายในตัวเมืองใหญ่ จึงขอตัวเลี่ยงออกมาอยู่เสียนอกเมืองแทน โดยเตียวหุยยังคงออกหน้าเป็นธุระจัดการให้ตามสมควร
เมื่อคนทั้งสามแข็งแรงเพียงพอแล้ว เห็นว่า ปลีกตัวมานาน เกรงว่าเล่าปี่จะเป็นกังวล จึงอำลาจากพวกหมอเทพยดา กลับมายังเมืองกังแฮ ส่งข่าวรายงานตัวต่อเล่าปี่ให้คลายใจ
จูล่งได้รับทราบเรื่องราวการเสียสละของไต้เกี้ยวอย่างละเอียด ได้แต่ลอบเสียดายที่พลาดตำแหน่งคู่เขยกับขุนพลจิวยี่ไปอย่างเฉียดฉิว มิอาจสานต่อแผนการเชื่อมความสัมพันธ์ และประหลาดใจที่มีคนแอบอ้างตัวมาเป็นตัวมันอีกครั้งหนึ่งแล้ว
จูล่งนึกย้อนถึงข้อมูลที่เคยได้รับฟังมาจากเตียวคับเมื่อครั้งที่แฝงตัวอยู่กับขุนศึกอ้วนเสี้ยว เกี่ยวกับขุมกำลังลับที่ชื่อ หน่วยปักษาสวรรค์ ตลอดเวลาที่ผ่านมา มันก็สงสัยว่าเตียวหุยตัวปลอมที่มาแทนที่ดาวร่ำรวย ก็เป็นคนของกลุ่มนี้ และอาจครอบครองขุมทรัพย์พรรคฟ้าเหลืองอยู่ มันจึงยังรีรอ ไม่ลงมือแก้แค้นให้ท่านพ่อเตียวก๊กสักที เพื่อสืบดูให้รู้ถึงขุมกำลังลับก่อน หรือว่าบุคคลปริศนาที่แอบอ้างเป็นตัวมันหลายครั้งหลายคราผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในคนพวกนั้นเช่นกัน
ตัวละครอีกคนหนึ่งที่มักจะวนเวียนเข้ามาร่วมด้วยในเหตุการณ์ต่างๆ และมีความสัมพันธ์อันดีกับเตียวหุย คือหมอฮัวโต๋ หรือว่า คนผู้นี้ ก็ใช่พวกเดียวกันด้วยเช่นกัน สองสามครั้งที่ผ่านมาล้วนแต่ช่วยเหลือตัวมันให้ดีขึ้น และปลอดภัยจากอันตราย แล้วจุดประสงค์ของพวกนี้เป็นเช่นไรกันแน่
จูล่งรอคอยจะนำเรื่องราวดังกล่าว ปรึกษากับเตียวเจียว เตียวล่อ สองผู้อาวุโสในภายหลัง แต่เมื่อพรรคฟ้าเหลืองเริ่มพบเบาะแส และจับตามองคนรอบข้างอย่างหวาดระแวง การทำงานของหน่วยปักษาสวรรค์ก็ยิ่งยากลำบากมากแล้ว
กระตั้ว-กาเซี่ยงที่แทรกซึมอยู่ในตำแหน่งกุนซือใหญ่ฝ่ายโจโฉ ส่งข่าวถึงนกฮูก-ฮัวโต๋ สถานะของหมอเทพยดาในยามนี้ ถูกใส่ชื่อเพิ่มเป็นอาชญากรแผ่นดินของพวกโจโฉ เพียงแต่ไม่ประกาศออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อชื่อเสียงบารมีของฝ่ายรัฐบาลที่ยังเปราะบางอยู่
แต่คำสั่งลับที่ป่าวประกาศเป็นการลับภายในกลุ่มขุนนางทั่วไป คือ “ใครพบเห็นมีเบาะแสให้ทำการจับกุมส่งตัวเข้าราชสำนักในทันที” ซึ่งทั้งหมดนี้ อาจจะเป็นผลกระทบต่อเนื่องจากการรักษาพยาบาลโจซุนยังไม่เสร็จสิ้นนั่นเอง
ที่จริงแล้ว ฮัวโต๋ล่วงรู้ศักดิ์ฐานะของคนไข้ปริศนามาตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะเป็นการนัดแนะกันของตนเองกับกาเซี่ยง เพื่อหวังผลเก็บโจซุนคนพิการไร้พิษสงเอาไว้ใกล้ตัว เผื่อเป็นหมากเด็ดพลิกผันในยามฉุกเฉิน จึงจำเป็นต้องหลอกลวงแม้แต่สองศิษย์เอก ตั้งชื่อเล่นเหลวไหลเป็นเทียนสือ (ฟ้าประทาน)
กาเซี่ยงย้ำเตือนอีกว่า เมื่อหมอใหญ่ถูกหมายหัว การอยู่ในที่แจ้ง แม้จะอยู่ในความคุ้มครองของขุมกำลังเล่าปี่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยจากการลักลอบช่วงชิงตัว ดังนั้น สมควรจะหลบหนีไปซ่อนตัวเร้นกายตามแผนการที่เตรียมไว้จะดีกว่า
ฮัวโต๋ สำรวจขบวนติดตาม เห็นเหลือแต่อินทรีแขนขาด หัวขวาน เหยี่ยวดำ และลูกศิษย์ใกล้ชิดไม่กี่คน จึงแจ้งให้ทุกคนเตรียมพร้อมเดินทางไปสมทบกับพรรคพวกที่ครั้งก่อนได้ช่วยกันขนย้ายสิ่งของสัมภาระสำคัญจากกระท่อมรังนกเดินทางไปพร้อมกันกับกลุ่มคนคลุมหน้าในชุดพ่อค้าเร่ร่อน
หัวขวานปากไว อดไม่ได้ต้องถามไถ่ขึ้น “เรายังสงสัยเรื่อยมา คนคลุมหน้าเป็นผู้ใด ท่านพี่จึงได้ไว้วางใจนัก ถึงกับนัดแนะกันมาช่วยเหลือได้ในยามคับขัน”
“หนึ่งคือ มันเป็นคนกันเอง เราเคยช่วยชีวิตมัน มันเคยช่วยเหลือเรา แต่มันขอไว้ไม่ให้บอกชื่อเสียงให้ใครรู้ สองคือ เรามิได้นัดหมายเรียกร้อง แต่เป็นมันแวะเวียนมาพบเหตุการณ์โดยบังเอิญ” นกฮูกกล่าวอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง คล้ายมีเรื่องอันใดปกปิด อินทรียอมดูออก แต่คร้านจะขู่เข็ญเอาความจริง ยามนี้ อินทรีคล้ายจะอยู่ในช่วงเวลาหมองหม่น ทำใจที่ตนเองพิการเสียแขน ลดบทบาทให้นกฮูกตัดสินใจแทนเป็นส่วนใหญ่
“ถ้าเช่นนั้น เราจะไปที่ใดกัน” หัวขวานไม่ลดละหาคำตอบ
“เป็นกระท่อมรังนก...อีกแห่ง” ครานี้ นกฮูกกลับกล่าวขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
...
ทางฝ่ายเล่าปี่ ขงเบ้ง รับทราบข่าวความเคลื่อนไหวของโจโฉ และพวกกวนอู จูล่งด้วยความโล่งใจ สามปีคือโอกาสทองในการตั้งตัวให้ได้ ขงเบ้งประเมินสถานการณ์ที่จิวยี่บุกยึดเมืองเกงจิ๋วไปได้ และกำลังทำศึกชิงเมืองใกล้เคียงต่างๆทางตะวันตกอยู่ จึงเห็นว่าจำเป็นต้องเร่งลงมือโดยเร็ว รีบตัดสินใจเดินหมากสำคัญ ข้ามเรือไปกังตั๋งอีกครั้ง พร้อมกันกับจูล่งอีกเช่นเดิม
เป้าหมายแรกที่ขงเบ้งหมายตาไว้ก็คือเสนาบดีโลซก ผ่านการจัดการของจูกัดกิ๋น การเจรจาความกับนักการเมืองย่อมง่ายกว่านักการทหาร โดยเฉพาะนักการเมืองที่เคยเป็นพ่อค้าคหบดีมาก่อน เพราะสามารถใช้ผลประโยชน์เข้าต่อรองกันได้ ผู้ใดกล่าวกันว่าร่ำรวยแล้วจะไม่อยากได้เงินทองอีก
ขงเบ้งจึงลอบเสนอทรัพย์สินมีค่ามากมาย และสัญญาจะส่งส่วนแบ่งรายได้จากเมืองทุกเมืองที่เล่าปี่ปกครองให้เป็นประจำ กระตุ้นให้สัญชาตญาณดั้งเดิมของเจ้าสัวท้องถิ่นอย่างโลซกลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
การที่โลซกเข้าร่วมกลุ่มกับกังตั๋งตามคำสั่งของอาจารย์เกียว เพราะ หนึ่ง เชื่อมั่นในตัวผู้นำซุนเซ็ก และ สอง โดนจิวยี่ลากจูงเข้าสู่วังวน อยู่นิ่งเฉยก็เสียทุนทรัพย์ไปเปล่าๆ สู้เข้ามาร่วมวงด้วย รอวันถอนทุนคืนจะดีกว่า และนี่คือโอกาสทองแล้ว เพราะซุนเซ็กผู้เหี้ยมหาญตายไปแล้ว จิวยี่คนเก่งก็อยู่ห่างไกล เหลือแต่ซุนกวนที่ยังอ่อนประสบการณ์
พื้นฐานโลซกเป็นพ่อค้าที่มีต้นแบบทางความคิดคือลิปุดอุย (หลี่ปู้เหว่ย) เสนาบดีวาณิชผู้สร้างปฐมกษัตริย์จิ๋นซีฮ่องเต้ การครอบครองเกียรติยศ อำนาจ วาสนา ผ่านลูกนอกสมรส เป็นเรื่องเล่าที่น่าอื้อฉาวและเร้าใจทายาทคหบดีทั้งหลายในยุคสมัยนั้น โดยเฉพาะวลีเด็ด "ลงทุนในคน กำไรมหาศาล ร้อยเท่าพันทวี”
ถึงเวลาที่โลซกต้องตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตแล้ว ฤาจะอยู่ภายใต้เงาปีกของเจ้าสัวเกียวตลอดไป อย่างน้อย สกุลโลควรจะได้ยิ่งใหญ่ในภูมิภาคท้องถิ่นบ้าง
...
เมื่อซื้อตัวโลซก หนึ่งในเสาหลักกังตั๋งได้แล้ว เตียวเจียว เสาหลักฝ่ายบุ๋นอีกคนหนึ่งจึงเป็นเป้าหมายต่อไป ขงเบ้งและจูล่งจึงลอบเข้าพบเตียวเจียวในคฤหาสน์ที่พักยามวิกาลอย่างอุกอาจ เพื่อข่มขู่ให้ร่วมมือไปในทิศทางที่ตนต้องการ ขงเบ้งประเมินว่า บางคนต้องใช้เงินทอง บางคนต้องใช้กำลัง ซึ่งเตียวเจียวสมควรจะเป็นประเภทหลัง
แต่ที่จริง ขงเบ้งล่วงรู้ผ่านสายลับสองหน้า เตียวเลี้ยว อยู่แล้วว่าเตียวเจียวกับจูล่งล้วนเป็นพวกพรรคฟ้าเหลือง ดังนั้น เมื่อมันออกหน้าใช้ไม้นี้กับเตียวเจียว จูล่งย่อมต้องแอบส่งสัญญาณให้เตียวเจียวยอมร่วมมือด้วย เพื่อปิดบังความสัมพันธ์ลับ และเป็นการรักษาชีวิตไว้ก่อน
เตียวเจียวอยู่ในสถานะขุนนางใหญ่ ย่อมต้องเสแสร้งอิดออดเล็กน้อย รอคอยให้จูล่งเล่นละครข่มขู่ก่อนสักครู่หนึ่ง อวดอ้างว่า สามารถลอบสังหารเตียวเจียวได้ง่ายดายนัก ขุนนางใหญ่จึงค่อยโอนอ่อนผ่อนตาม คล้ายคนสูงวัยกลัวจะตายเปล่า
เมื่อสยบสองในสามเสาหลักกังตั๋งได้แล้ว การจัดฉากสร้างสถานการณ์ปั่นหัวของซุนกวนจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
วันรุ่งขึ้น ขงเบ้ง จูล่งจึงค่อยปรากฏกาย เดินทางเข้าเมืองต๋องง่ออย่างเปิดเผยในฐานะทูตจากฝ่ายเล่าปี่อีกครั้งหนึ่ง โดยแจ้งจุดประสงค์ในการเข้าพบอย่างเป็นทางการคือการทวงสัญญายืมใช้เมืองเกงจิ๋วสามปีที่ขุนพลจิวยี่เคยให้ไว้
เมื่อแรก ซุนกวนตั้งใจจะรอไต่ถามจากปากจิวยี่เอง แต่เตียวเจียว โลซก ช่วยกันเสนอให้ตามตัวหนึ่งบุ๋น ลกซุน ที่ป่วยไข้ ไม่ได้ติดตามกองทัพลับไปออกรบในศึกเมืองเกงจิ๋ว ให้เข้ามายืนยันเรื่องราว ซึ่งลกซุนในฐานะกุนซือคนสนิท ย่อมมีน้ำหนักไม่น้อยกว่าตัวของจิวยี่มาเอง และแน่นอนที่ลกซุนจะยืนยันในสัญญาตามที่เคยได้รับรู้มาเมื่อครั้งก่อนนั้น
ซุนกวนเรียกปรึกษาเป็นการลับกับเตียวเจียว โลซกครู่หนึ่ง จึงทำหนังสือสัญญา ยินยอมให้เล่าปี่ยืมเมืองเกงจิ๋วได้สามปี โดยตั้งเงื่อนไขต่อรองเพิ่มเติมว่า หากเล่าปี่ยึดเมืองใหญ่แห่งอื่นได้แล้ว ต้องรีบคืนเมืองเกงจิ๋วมาให้ทันที และพวกเล่าปี่ต้องช่วยเป็นหน้าด่านป้องกันกองทัพโจโฉตลอดสามปีนี้ด้วย เผื่อว่าโจโฉจะเปลี่ยนใจ ไม่ทำตามสัญญาที่ประกาศไว้
การที่ซุนกวนใจกล้า ตัดสินใจโดยไม่รอฟังจิวยี่ ที่จริงถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยของนายน้อยตระกูลซุนอยู่บ้าง หากแต่ซุนกวนรู้สึกว่า จากศึกเซ็กเพ็กที่ผ่านมา จิวยี่เริ่มฉายแววโดดเด่นเกินไป เกินล้ำกว่าตนเองผู้เป็นเจ้านคร จึงต้องการแสดงให้เห็นว่าตนเองก็มีอำนาจอยู่ในมือ และมีความสามารถในการต่อรองได้เองเช่นกัน
ในเมื่อเรื่องนี้ หนึ่งบุ๋นยืนยันว่า เคยผ่านความเห็นชอบจากจิวยี่มาแล้วรอบหนึ่ง และยิ่งได้ผ่านการกลั่นกรองจากสองเสาหลัก โลซก เตียวเจียวด้วยอีกรอบหนึ่ง ทำให้นายน้อยแห่งกังตั๋งเชื่อมั่นว่า การตกลงครั้งนี้ไม่ได้เสียเปรียบแต่อย่างใด และตนเองยังต่อรองเพิ่มเติม จนได้รับเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อขุมกำลังด้วยซ้ำ
เมื่อขงเบ้งได้หนังสือสัญญาที่มีซุนกวนลงชื่อรับรอง และเตียวเจียว โลซกเป็นพยานชัดเจน มาอ่านทบทวนดูแล้ว จึงขอคำยืนยันด้วยวาจาอีกครั้งหนึ่งว่า ต่อจากนี้ไป พันธมิตรทั้งสองจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันต่อต้านรัฐบาลโจโฉ ไม่สู้รบกันเองอย่างเด็ดขาด จนเมื่อได้ยินซุนกวนตกปากรับคำกลางที่ประชุมขุนนางแล้ว ขงเบ้งจึงค่อยประสานมืออำลากลับไปในทันที
ขงเบ้ง จูล่ง เพิ่งผ่านพ้นออกจากปราสาท เสียงฝีเท้าม้าของกองทหารขบวนหนึ่ง นำโดยจิวยี่ กำเหลง จิวท่าย และเล่งทอง ก็ตรงเข้ามาถึงพอดี และล้อมขวางทางเอาไว้อย่างประสงค์ร้าย ขงเบ้งทำใจดีสู้เสือ เลื่อนเก้าอี้ล้อหมุนออกมา กล่าวคำทักทายก่อน "ท่านขุนพลใหญ่ รีบร้อนกลับมา คงมีเรื่องชี้แนะข้าพเจ้ากระมัง”
จิวยี่มองหน้าด้วยสายตาดุดัน พลางตอบ "ยินว่าเจ้ามาเจรจาความเมืองกับท่านเจ้านคร เป็นเรื่องราวใดกัน”
"เป็นเพียงหนังสือสัญญายืนยันตามข้อตกลงของพวกเราในครั้งก่อนเท่านั้นเอง แต่นายน้อยของท่านยังเพิ่มเติมให้ด้วยว่า ต่อไปนี้ พันธมิตรเล่าปี่-ซุนกวนจะไม่รุกราน หรือสู้รบกันเองอย่างเด็ดขาด”
เหล่าขุนนางน้อยใหญ่นำโดยซุนกวน โลซก เตียวเจียว รับทราบเรื่องราวเบื้องนอก ต่างพากันออกมาสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ จิวยี่หรี่ตา ทบทวนความนัยของประโยคดังกล่าว ค่อยเบิกตากว้าง ตวาดลั่น "เจ้ากล้าทำเช่นนี้เลยหรือ ขงเบ้ง”
ขงเบ้งยิ้มพลางน้อมกายคารวะอยู่บนรถเข็น "พวกเราอยู่ในพันธะสัญญาแล้ว ไม่อาจต่อสู้กันเอง ขออภัยต่อท่านด้วย" แล้วขงเบ้ง จูล่งน้อมกายคารวะ แล้วจึงค่อยๆเดินทางออกจากวงล้อมไปอย่างไว้เชิง ปล่อยให้จิวยี่ และขุนพลน้อยใหญ่ถลึงตาจ้องมอง แต่ไม่อาจลงมือ
...
ซุนกวนทันได้ยินสองสามประโยคหลัง ยังไม่เข้าใจความหมายจึงไต่ถามขุนพลใหญ่จิวยี่โดยตรง "ปัญหาอยู่ที่ใดหรือ พี่ท่าน”
จิวยี่สะกดกลั้นโมโห ลดความดุดันของน้ำเสียงลง "หากพวกมันยึดครองหัวเมืองอื่นๆทางฝั่งโน้นไปก่อนแล้ว พวกเราก็หมดพื้นที่ในการรุกคืบขึ้นบก ไม่อาจรุกขยายขึ้นทางเหนือได้เลย เสียโอกาสตั้งหลักปักฐานในช่วงสามปีนี้ไปเปล่าๆ เท่ากับพวกเราเสียทั้งทหาร เสียทั้งอุปกรณ์การศึกไปมากมาย โดยไม่ได้อะไรกลับมาเลย”
เตียวเจียวแย้งขึ้นว่า "แต่ท่านเพิ่งยึดครองเมืองเกงจิ๋ว และหัวเมืองใหญ่ฝั่งตะวันตกได้แล้วมิใช่หรือ ถึงเสียเกงจิ๋วไป ก็ยังได้เมืองอื่นกลับมาบ้าง”
"มันปล่อยข่าวเรื่องการทวงสัญญา ล่อลวงให้เรารีบกลับมาอย่างเร่งด่วน กลายเป็นการเปิดช่องว่างให้กับพวกมันส่งคนไปยึดหัวเมืองเหล่านั้นไปหมดสิ้น พอพวกมันทำการเสร็จสิ้นแล้ว พลันเกิดพันธะสัญญาใหม่ขึ้นมา พวกเราก็ไม่อาจแย่งชิงคืนจากพวกมันแล้วน่ะสิ”
เพียงชั่วครู่ สายข่าวทะยอยเข้ามารายงานความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์รบฝั่งเกงจิ๋ว จิวยี่กล่าวได้ถูกต้องแล้วทุกประการ เพราะก่อนที่ขงเบ้งจะเดินทางมากังตั๋ง ขงเบ้งก็ได้สั่งความให้เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย เล่าฮอง กวนเป๋ง จิวฉอง นำกองทัพฝ่ายกังแฮ แยกย้ายกันไปซุ่มรอจังหวะตามหัวเมืองริมแม่น้ำไต้กังที่โดนจิวยี่ยึดครองได้เมื่อหลายวันก่อน
พอเห็นพวกจิวยี่พ้นออกจากเมืองแล้ว ก็ให้ชักธงเล่ากี๋ อ้างเป็นพวกพ้องเดียวกันเข้ามาเรียกร้องขอคืนพื้นที่กลับสู่อาณาจักรของทายาทอดีตเจ้าเมือง จึงได้รับความร่วมมือจากทหารเดิมของเล่าเปียว ช่วยกันเปิดประตูเมือง ขับไล่ฝ่ายกังตั๋ง จนรุกเข้ายึดเมืองไว้จนหมดสิ้น
แผนการเช่นนี้ ถูกกระทำซ้ำๆต่อเนื่อง ดินแดนเกงจิ๋วขึ้นตรงต่อเล่าเปียวมานาน ย่อมมีความผูกพันลึกซึ้ง และมองเห็นพวกกังตั๋งเป็นศัตรูมานาน ทุกอย่างจึงกระทำได้อย่างง่ายดาย เป็นการสร้างอาณาเขตล้อมกั้นฝ่ายกังตั๋งไว้ ไม่ให้มีดินแดนฝั่งบนของแม่น้ำเป็นที่พักในการยกพลขึ้นฝั่งได้เลย แล้วค่อยเร่งกวาดล้างเมืองอื่นๆรอบๆเกงจิ๋ว จนได้กลับคืนไปแทบครบถ้วน ตัดตอนการรุกคืบของจิวยี่เสียแล้ว
คราวนี้ พวกกังตั๋งได้แต่แค้นใจที่เหมือนถูกตบหน้าต่อยท้อง แล้วตอบโต้ไม่ได้ เพราะนายน้อยดันเสียรู้ ประกาศพันธะสัญญาออกไปแล้ว ซุนกวนสำนึกผิด กระซิบกับจิวยี่เฉพาะตัว "ข้าขอโทษที่วู่วาม ด่วนตัดสินใจ จนหลงกลมันไป หากท่านจะไม่รับพันธะสัญญานี้ ข้ายินยอมตระบัดสัตย์ให้ก็ได้"
"นายท่านเป็นผู้นำรุ่นใหม่ ต่อไปยังต้องเป็นเจ้านครที่มีดินแดนกว้างใหญ่ ควรถือวาจาสัตย์เป็นที่ตั้ง ผู้คนจึงจะยกย่องเกรงขามทั้งกายทั้งใจ แม้ครั้งนี้จะพลาดพลั้ง ก็ไม่ถือว่าเลวร้าย ใช้เวลาสามปีสะสมกำลังไปก่อนก็ยังได้อยู่ ไว้พวกเราหาทางอื่นยั่วยุจัดการกับพวกมันบ้างก็ได้” จิวยี่ฝืนกล่าวปลอบใจ
จิวยี่ จอมปราชญ์นักรบผู้เกรียงไกร ยอมเสียเปรียบทางทหาร ยอมเสียรู้กลการเมืองแก่ขงเบ้ง แต่ไม่ยอมให้นายน้อยสูญเสียสัจจะลูกผู้ชาย จึงได้แต่ส่งสายตามองขบวนของขงเบ้งจากกำแพงเมืองไปด้วยความแค้นเคืองใจ นี่มันคือมิตรสหาย หรือ ศัตรู กันแน่
...
โลซกสังเกตท่าทีของซุนกวน จิวยี่ เห็นว่าไม่ได้ระแวงมาทางตนเองก็ค่อยโล่งใจ แอบประเมินสถานการณ์ต่อไปว่า ตนเองกำลังเล่นอยู่กับไฟโดยแท้ แต่ไฟกองนี้เจิดจรัส สวยงาม และมีคุณประโยชน์ต่อมันแน่นอน เพราะรายได้ส่วนหนึ่งจากอาณาจักรเก่าของเล่าเปียวทั้งหมด กำลังจะถูกถ่ายเทมาเข้ากระเป๋าของมันแล้ว
แต่มันต้องไม่ลืมที่จะควบคุมจูกัดกิ๋นไว้เป็นตัวประกัน ตราบใดที่คนนี้ยังอยู่ในกำมือ ก็ไม่ต้องกลัวจูกัดเหลียงแล้ว ครั้งนี้ มันต้องขอบใจกุนซือบังทอง ลูกน้องเก่าที่บอกความลับนี้ให้ก่อนจะถูกใส่ร้ายป้ายสีครั้งใหญ่ ช่างน่าเสียดายนัก “อืม แล้วบังทอง หงส์ผงาด เจ้าหายไปที่ไหนหนอ”
จีหรง แฝงตัวในกลุ่มขุนนางนายทหาร เฝ้าสังเกตความผันแปรในยามเช้านี้อย่างใกล้ชิด ตระหนักถึงความผิดปกติของตัวละครสำคัญอย่างเตียวเจียว โลซก ลกซุนที่ทำให้ซุนกวนเสียรู้ จิวยี่เสียแผน ที่จริง มันอยู่ในสถานะที่ช่วยเหลือได้ แต่มิได้เอ่ยปากคัดค้าน พลางประเมินถึงคลื่นใต้น้ำที่ก่อตัวขึ้นภายในขุมกำลังสกุลซุน
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา