2 พ.ค. 2021 เวลา 23:00 • ปรัชญา
ไตร่ตรองมองหลัก(๑๗)
ในการพินิจไตร่ตรองต่อความมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของสิ่งต่างๆ นั้น คงต้องวกย้อนมาสู่ต้นเงื่อนว่า
ใครคือผู้ใตร่ตรอง? ผู้ไตร่ตรองมีอยู่หรือไม่ มีอยู่อย่างไร?
ผู้ไตร่ตรองมีสภาวะเช่นไรก็ย่อมไตร่ตรองไปในสิ่งต่างๆ ตามพื้นภาวะที่ตนเป็น
ว่าโดยหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ต่อความจริงที่เป็นกลางๆ ไม่มุ่งเข้ายึดสุดโต่งข้างมีอยู่ หรือไม่มีอยู่อันเป็นกระแสสืบต่อบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ที่ชื่อว่าหลักอิทัปปัจจยตา
การมองเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการมองที่เป็นกลางๆ เป็นอิสระจากการยึดถือข้างมี หรือข้างไม่มี เป็นการมองตรงสู่สภาวธรรมที่เป็นเอง ไม่เกี่ยวข้องกับตัวผู้ไตร่ตรอง อิสระจากผู้มองผู้ดู อันเป็นผลโดยตรงจากการเจริญภาวนาตามหลักญาณวิทยาของพระพุทธศาสนา ที่ว่าด้วยสติปัฏฐาน ๔
ซึ่งทำให้จิตสำนึกของผู้ไตร่ตรองแปรสภาพจากลักษณะจำกัด ไปสู่สภาพอิสระกว้างใหญ่ไพศาล จิตสำนึกหยั่งรู้ถึงสภาพธรรมทั้งหมด อันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทั้งหมดของจิตสำนึก ไม่ใช่บางส่วนเท่านั้น
การคิดไตร่ตรองย่อมนำไปสู่ลักษณะจำกัด อันเนื่องแต่การคิดนึกเป็นสิ่งๆ ไม่ใช่ทุกสิ่งโดยเบ็ดเสร็จ
คำว่าทุกสิ่งนั้นย่อมหมายถึงความไม่ใช่อะไรบางสิ่ง ทุกสิ่งหมายถึงไม่มีอะไรสักสิ่งเดียว
ดังนั้นจิตสำนึกของการไตร่ตรองต่อสิ่งทั้งหมดโดยไม่ใช่อะไรสักสิ่งเดียวนั่นเองที่แปรไปสู่สภาพไม่จำกัด "รู้แต่ไม่รู้อะไรเลย"
และดังนั้นผู้ไตร่ตรองก็สิ้นกิจกรรมในการไตร่ตรองลง ผู้ไตร่ตรองเลือนหายกลืนไปในความจริงที่เป็นกลางๆ อันไม่เกี่ยวกับความมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของทั้งรูปและนาม ทางกลางๆ ที่มีต้นไม่มีปลาย ไร้ร้างนิมิต
รู้แต่ไม่รู้อะไรเลยนี้ จะเป็นสิ่งเดียวกับการเข้าถึงสภาพลี้ลับ ที่เรียกว่า Unio Mystica หรือการรวมกับพระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็น The Great Infinite หรือThe Unthinkable หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับคำนิยามของแต่ละโบสถ์ของแต่ละลัทธิเอง
สภาพรู้แต่ไม่รู้อะไรเลย (The Unknowing Knowing) ย่อมไม่อยู่ในลำดับของอนุกรมแห่งเหตุการณ์และการทวีหรือลดปริมาณ
ดังนั้นจึงไม่อยู่ในวิสัยแห่งตรรกวิธีหรือการคาดการณ์ตามแนววิทยาการใดๆ ได้ ทั้งไม่ใช่การรวมศูนย์เพื่อรู้อะไรโดยจำเพาะ เรียกอิงศัพท์ทางพุทธศาสนาว่าสภาพไร้นิมิต อันหมายถึงสภาพนอกทำเนียบของภาษา
และคำนิยามเพราะภาษาก็คือนิมิตนามต่างๆ ที่นำมาประกอบเป็นประโยค เพื่อชี้บ่งความหมาย ความหมายต่างๆ ล้วนข้องเกี่ยวกับความจำหมาย อันเป็นสิ่งที่ขึ้นกับกาลเวลา จำหมายสิ่งใดไว้ สิ่งนั้นก็เป็นนิมิตอันก่อเกิดความรู้สึกด้านอาเวค (Emotion) และตรึกนึกข้องอยู่กับความรู้สึกนั้น ไม่อาจสลัดหลุดจากความมีอยู่หรือไม่มีอยู่ไปได้
สภาพขัดแย้งพื้นฐานต่อความมีอยู่และไม่มีอยู่นี่เอง ที่ทำให้จิตสำนึกไม่อาจข้ามพ้นขอบเขตอันจำกัดไปได้
บทความในการสัมมนาทางวิชาการ ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้หัวข้อใหญ่ "สภาวะสูงสุดแห่งศาสนา"

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา